รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 30 “การค้า” ขนาดเล็ก
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ไม่ได้เร่งรัดเถียนเอ้อร์เหอ ต่างพากันนั่งเงียบๆ อยู่ข้างเตาไฟราวกับว่ากำลังตั้งหน้าตั้งตารอกินมื้อเย็นกันอยู่
ผ่านไปสิบวินาที สายตาของเถียนเอ้อร์เหอก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาก้มหน้าสั่นศีรษะ
“ภายในตัวอำเภอ ทุกที่มีแต่ซากศพ ทุกที่มีแต่พวก ‘คนไร้ใจ’ ที่ไม่เหลือสติรับรู้อีกแล้ว ไม่ว่าจะบนถนน ไม่ว่าจะเป็นชุมชน ไม่ว่าจะเป็นในห้างสรรพสินค้า
“‘คนไร้ใจ’ พวกนั้นกินซากศพ เลือดเลอะเต็มปาก ดูเหมือนพวกสัตว์ร้ายป่าเถื่อน ปีนป่ายขึ้นไปตามผนังกระจกนอกตึกสูงได้อย่างกับลิง แล้วจู่ๆ ก็เหวี่ยงตัวลงมาจากที่สูงเกือบสิบเมตรโผล่มาอยู่ข้างหลัง แถมพวกมันยังใช้ปืนเป็นอีกด้วย…
“ตอนนั้นพวกเรามีกันแปดเก้าคน พอเจอสถานการณ์แบบนั้นเข้า แค่แป๊บเดียวก็ตายไปร่วมครึ่งค่อนแล้ว
“อาจเป็นเพราะตอนนั้นฉันยังเด็ก ตัวก็เล็ก ไม่สะดุดตา ก็เลยไม่ได้ถูกโจมตีในรอบแรก ทำให้รอดมาได้
“ตอนนั้นพวกเราตื่นตระหนกมาก วิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งเข้าไปในสถานีตำรวจแถวๆ นั้น
“ยังโชคดีที่พวก ‘คนไร้ใจ’ ถึงจะยิงปืนเป็น เปลี่ยนกระสุนได้ แต่พวกมันไม่ได้ค้นหาอาวุธ พวกเราเจอปืนกับกระสุนเยอะเลย เจอจากพวกศพในสถานีตำรวจน่ะ”
พูดถึงตรงนี้ เถียนเอ้อร์เหอก็ยิ้มให้ไป๋เฉินกับเจี่ยงไป๋เหมียน
“พวกคุณคงคิดว่าพวกเราเข่นฆ่าฝ่าวงล้อมด้วยอาวุธพวกนั้นสินะ
“ไม่ใช่หรอก พวกเราไม่กี่คน รวมทั้งพวกอาๆ น้าๆ สูงอายุนั่นด้วย ไม่มีใครใช้ปืนกันเป็นซักคน และเสียงปืนมีแต่จะยิ่งดึงดูดพวก ‘คนไร้ใจ’ เข้ามาเพิ่มอีก
“ตอนนั้นฉันทนไม่ไหวแล้ว ก็เลยร้องไห้ออกมา
“ยังดีที่ตอนนั้นพวกอาๆ น้าๆ ไม่กี่คนนั่นมุ่งมั่นจะเอาชีวิตรอดให้ได้ แล้วก็ไม่ทิ้งฉันด้วย พวกเราไปกันต่อ จนไปถึงลานจอดรถ
“ที่นั่นมีรถออฟโรดจอดอยู่ ประตูเปิดทิ้งไว้ มีกุญแจคาอยู่ แต่ไม่เห็นเจ้าของรถ ฉันคิดว่าเขาคงกลายเป็น ‘คนไร้ใจ’ ไปแล้วล่ะ ไม่เหลือสติรับรู้ ระหกระเหินไปที่อื่น
“พวกเราขับรถออฟโรดคันนั้น ชน ‘คนไร้ใจ’ กระเด็นไปสองสามคนแล้วรีบขับออกไปที่ถนน
“แถวนั้นมี ‘คนไร้ใจ’ อยู่ไม่มากนัก พวกเราเลยได้โอกาส รีบขับหนีออกนอกตัวอำเภอ พอไปถึงย่านชานเมืองก็ปลอดภัยกว่ามาก”
เถียนเอ้อร์เหอทอดถอนใจ
“ก่อนจะออกจากเมืองน้ำล้อม ฉันยังคิดว่าจะกลับบ้าน ไปดูว่าพ่อแม่อยู่บ้านหรือเปล่า แต่สุดท้ายแล้ว ฉันก็ไม่มีโอกาสได้เจอพวกเขาอีกเลย”
หลังจากถอนหายใจ เถียนเอ้อร์เหอมองดูหม้อเหล็กที่ค่อยๆ ร้อนขึ้น ก่อนจะเล่าต่อ
“พวกเราจำเป็นต้องกลับไปยังที่ที่จากมา ระหว่างทางก็เก็บรวบรวมเสื้อผ้าอาหารกลับไปด้วย
“จากนั้นก็ทิ้งรถไว้ หอบเอาข้าวของที่เก็บรวบรวมมาด้วย ข้ามถนนที่ทางขาด หารถมาสองคันขับกลับมา
“แล้วพวกเราก็กลับมาถึงเมืองน้ำล้อมอีกครั้ง”
“เนื่องจากเข้าฤดูหนาวแล้ว ทีมกู้ภัยก็ไม่เห็นจะมีวี่แวว พวกเราทุกคนเลยเห็นพ้องต้องกันว่าไม่ต้องไปกังวลปัญหาเรื่องอาฟเตอร์ช็อกกันหรอก ย้ายเข้าไปอยู่ในอาคารที่ยังสภาพดีอยู่ดีกว่า ใครจะโง่ปล่อยให้ตัวเองหนาวตาย ใช่ไหมล่ะ
“ต้องขอบคุณวันปีใหม่จริงๆ ทุกบ้านทุกครอบครัวล้วนแต่เตรียมข้าวของเอาไว้ฉลองกัน ของที่ซูเปอร์มาเก็ตก็มีเยอะแยะ พวกเราเลยไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารกันตลอดฤดูหนาว
“แต่ก็มีอาๆ น้าๆ บางคนแนะนำว่าการเอาอาหารมาแจกจ่ายแบบที่เราทำอยู่นี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะมันทำให้เราเฉื่อยชาเกียจคร้านและเสียเวลาอันมีค่าไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาเสนอว่าให้ใช้แรงงานมาแลกกับอาหารดีกว่า
“คนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย ดังนั้นก่อนจะเข้าฤดูใบไม้ผลิเราก็แบ่งอาคารสองสามหลังที่นั่นออกเป็นห้องเล็กๆ มากมายหลายห้อง ซ่อมแซมกำแพงที่พัง ดูแลสภาพคลองส่งน้ำเข้าทุ่งนาที่นอกเมือง สร้างหอจ่ายน้ำประปาขึ้นมา ฝึกใช้อาวุธปืน…
“ต่อมาภายหลังก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสิ่งที่ทำมาพวกนี้มีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะเรื่องรับมือกับความอดอยาก ไม่ว่าจะเรื่องป้องกันสัตว์ป่า โจร และพวก ‘คนไร้ใจ’ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีบทบาทสำคัญทั้งนั้น”
สายตาของเถียนเอ้อร์เหอเลื่อนลอยอีกครั้ง ราวกับว่าเขากำลังย้อนกลับไปในช่วงปีแห่งการร่วมแรงร่วมใจลุยงานหนักกัน
เสียงเขาเบาลงเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว
“เมื่ออากาศเริ่มอุ่นขึ้น ฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเย็นสิ้นสุดลง ในที่สุดพวกเราก็ยืนยันได้เรื่องหนึ่ง
“ความช่วยเหลือไม่มีวันจะมาถึง…”
เถียนเอ้อร์เหอเงยหน้าขึ้น พยายามฝืนยิ้ม
“เรื่องราวของพวกเราหลังจากนั้น พวกคุณก็คงพอเดากันได้
“ไม่มีอะไรมากไปกว่าการฉวยโอกาสช่วงที่ ‘คนไร้ใจ’ ตายกันเป็นเบือในช่วงฤดูหนาว เริ่มออกไปสำรวจซากปรักของเมืองรอบๆ หลายแห่งเพื่อเก็บรวบรวมอาหาร เสื้อผ้า ปืน กระสุน แบตเตอรี่ และวัตถุจำพวกน้ำมันเชื้อเพลิง ในขณะเดียวกันก็จัดตั้งสายการผลิต ทดลองล่าสัตว์ ส่งคนออกไปที่ไกลๆ เพื่อดูว่าเมืองไหนมีคนรอดชีวิตบ้าง
“เป็นไงล่ะ ยังอยากฟังต่อไหม”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย
“อยากฟังสิ!”
พูดเสร็จเธอก็ยิ้มสดใส
“คุณจะเล่าไปกินไปก็ได้นะ พวกเราก็จะฟังไปกินไปเหมือนกัน”
เนื้อย่างแดงในหม้อร้อนเกือบจะได้ที่แล้ว
มาถึงตอนนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็ลูบท้องตัวเอง
“ผมขอไปห้องน้ำก่อนนะ”
“ฉันไปด้วยดิ” หลงเยว่หงลุกตาม
“ได้ งั้นไว้รอพวกนายกลับมาก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจสมาชิกทีมทั้งสองคนที่เพิ่งออกมาสู่พื้นโลกเป็นอย่างดี
ตอนที่เธอออกจากบริษัทเข้ามาสู่แดนร้างบึงดำเป็นครั้งแรกนั้น เธอเองก็พยายามอั้นไว้จนกว่าทนจะไม่ไหวจริงๆ ถึงจะออกไปปลดทุกข์ เพราะรู้สึกประดักประเดิดที่จะไปหลบแอบทำธุระส่วนตัวหลังสุมทุมพุ่มไม้
ถ้าแค่ปล่อยเบาก็ยังดี ไม่ได้เสียเวลาซักเท่าไหร่และไม่ได้ส่งกลิ่นกระทบต่อสภาพแวดล้อมนัก ยังไม่ถึงกับทำให้ต้องอับอายขายหน้าเกินไป ส่วนการปล่อยหนักนั้น… ต้องใช้ความกล้าหาญค่อนข้างมากสักหน่อย
เท่าที่เธอสังเกตดู ตั้งแต่ออกจากบริษัทมา ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงยังไม่ได้ปล่อยหนักกันเลยสักครั้ง
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเดินไปตามทางที่เถียนเอ้อร์เหอบอก ซึ่งจะต้องเดินผ่านบริเวณที่มีสิ่งปลูกสร้างระเกะระกะก่อนถึงจะไปยังห้องน้ำสาธารณะที่สร้างขนานไปกับกำแพงเมืองด้านข้างได้
ระหว่างทางเขาได้กลิ่นสารพัดผสมปนเปเข้าด้วยกันจนไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นกลิ่นของอะไรบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ใช่กลิ่นที่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่ ต้องพยายามกลั้นหายใจเอาไว้ ไม่อย่างนั้นแล้วของในกระเพาะอาหารคงตีกลับขึ้นมาจนหมด
ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นสมาชิกสองสามครอบครัวรวมตัวกันใช้เตาทำอาหารเพื่อประหยัดถ่าน เห็นบางคนนั่งยองๆ ที่ประตูโดยไม่ได้ถอดเสื้อผ้าที่เลอะโคลนมอมแมมออก กำลังซดข้าวต้มใสๆ ที่ไม่ค่อยมีเมล็ดข้าวมากนัก เห็นคนป่วยนอนอยู่ในบ้านหลังที่ประตูเปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง นอนร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดก่อนจะขากเสลดใส่กระโถน เห็นแม่อุ้มทารกที่อายุดูยังไงก็ไม่ถึงหนึ่งขวบ ปล่อยให้เด็กฉี่อยู่ตรงนั้นเพราะกลับบ้านไม่ทัน เห็นเด็กตัวเล็กตัวน้อยอายุไม่ถึงสิบขวบช่วยพ่อแม่ก่อไฟทำอาหาร หรือไม่ก็เช็ดทำความสะอาดเสื้อผ้า…
แล้วพวกเขาก็เดินมาถึงห้องน้ำสาธารณะภายใต้การจับจ้องของสายตาที่ระแวดระวัง เตรียมป้องกัน และสงสัย
ซ้ายมือเป็นรูปวาดผู้หญิงในชุดกระโปรง ด้านขวาเป็นรูปผู้ชายที่วาดแบบง่ายๆ
ครั้นพอเลี้ยวขวาเท่านั้นแหละ ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็ถึงกับตาถลน
ห้องน้ำสาธารณะนั้นช่างแตกต่างไปจากที่เขาคิดไว้อย่างสิ้นเชิง เมื่อเทียบกับห้องน้ำสาธารณะของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ แล้วมันไม่มีอะไรเหมือนกันแม้แต่นิดเดียว
ที่ชิดกับผนังด้านหน้านั้นเป็นรางยาวเอาไว้สำหรับปัสสาวะ ส่วนที่ชิดกับผนังด้านหลังก็เป็นรางยาวเท่ากัน แต่มีขนาดกว้างกว่า เอาไว้สำหรับขับถ่ายหนัก
ตำแหน่งทางแยกที่เชื่อมต่อไปยังห้องน้ำหญิงติดตั้งอุปกรณ์จ่ายน้ำที่จะปล่อยทำความสะอาดตามเวลา ตรงกลางไม่มีอะไรกั้น เมื่อปล่อยน้ำชำระแล้วก็จะทำความสะอาดห้องน้ำชายหญิงทั้งสองฝั่งได้ในเวลาเดียวกัน
เหมือนกับเป็นธารน้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน
สิ่งเดียวที่ทำให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงรู้สึกดีใจก็คือเมืองน้ำล้อมให้ความใส่ใจกับสุขอนามัยของห้องน้ำสาธารณะมาก มันจึงค่อนข้างสะอาด
“เข้าไหม” หลงเยว่หงลังเลเล็กน้อย
“เข้าสิ” ซางเจี้ยนเย่าเดินนำ พอเลือกตำแหน่งที่นั่งได้ก็ปลดกางเกงแล้วนั่งยองลงไป
หลงเยว่หงเลือกตำแหน่งที่ค่อนข้างห่างจากเขา ค่อยๆ ปลดเข็มขัดอย่างอิดออด
“นี่มัน… รู้สึกแปลกๆ แฮะ…” เขาอดหันไปมองซางเจี้ยนเย่าที่ด้านข้างไม่ได้
ไม่มีอะไรกั้นกลางระหว่างคนทั้งสอง
ซางเจี้ยนเย่าบีบจมูกตัวเอง
“ช่วงนี้นายธาตุไฟแรงนะ”
“…” หลงเยว่หงพูดไม่ออก
ขณะที่พวกเขาคิดว่านี่คือฉากที่น่ากระอักกระอ่วนที่สุดแล้ว แต่ทันใดนั้นก็มีชาวเมืองน้ำล้อมกลุ่มหนึ่งทะลึ่งพรวดพราดเข้ามาจากข้างนอก
พวกเขามองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงสองสามครั้ง บางคนเดินไปที่รางปัสสาวะ บางคนหาที่ลงไปนั่งยอง
“นี่ทำเอารู้สึกแปลกยิ่งกว่าเก่าอีก” ซางเจี้ยนเย่าพูดสิ่งที่หลงเยว่หงกำลังคิด
จากนั้นความคิดเขาก็เหมือนจะหลุดเข้าไปในสถานการณ์ประหลาด
“ถ้าเจ้าเมืองเถียนมานั่งยองๆ อยู่นี่ด้วย งั้นแต่ละคนที่เข้ามา พอเจอหน้าเขาก็ต้องทักทาย หวัดดีเจ้าเมือง…”
ชาวเมืองน้ำล้อมที่อยู่ถัดจากซางเจี้ยนเย่าตอบโดยอัตโนมัติทันที
“ที่ห้องของเจ้าเมืองมีห้องน้ำส่วนตัวอยู่น่ะ”
จากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยสนทนากันท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่แปลกประหลาด ทำให้หลงเยว่หงถึงกับทึ่ง
ในที่สุดหลงเยว่หงก็ปลดปล่อยปัญหาตัวเองเสร็จ เขาสวมกางเกงแล้วเดินไปล้างมือที่อ่างล้างมือข้างนอก
เขาสูดอากาศบริสุทธิ์ลึกเต็มปอด และก็เป็นอีกครั้งที่ทำให้เข้ามั่นใจในเรื่องๆ หนึ่ง นั่นก็คือ
เมื่อเทียบกับนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างข้างนอกแล้ว อาคารใต้ดินของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นช่างงดงามราวกับสรวงสวรรค์
ผ่านไปอีกหนึ่งถึงสองนาที ซางเจี้ยนเย่าก็เดินออกมาล้างมือ
พวกเขาไม่ได้คุยกันเรื่องห้องน้ำสาธารณะ ต่างพากันนิ่งเงียบอย่างเป็นอันรู้กัน ขากลับก็เดินผ่านพื้นที่ที่ระเกะระกะอีกครั้ง บริเวณมีทั้งบ้านอิฐ บ้านดิน และเต็นท์
ทันใดนั้นก็มีเด็กหญิงตัวน้อยวิ่งเข้ามาหาซางเจี้ยนเย่า
อายุน่าจะราวๆ เจ็ดแปดขวบ ผมนุ่มยาวประบ่า ด้านในสวมเสื้อถักไหมพรมสีเขียวอ่อนมีลายลูกบอลอยู่มากมาย และมีรูสองรูที่เห็นได้อย่างเด่นชัด ตัวนอกเป็นเสื้อแจ็คเก็ตที่ซักจนซีดยาวถึงเข่า มีรอยปะอยู่หลายแห่ง
ที่เธอสวมอยู่ที่ขานั้นเป็นกางเกงที่ดูไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไร เป็นสีน้ำเงินอมเทาและปะชุนด้วยเศษผ้าสีอื่นๆ ส่วนที่เหยียบไว้ที่เท้าก็เป็นรองเท้าสีดำที่ทำจากเศษผ้าเย็บเข้าด้วยกัน ใบหน้าซูบเหลือง แต่ดวงตากระจ่างสดใส
ในอุ้งมือเด็กหญิงตัวน้อยเป็นของจิปาถะกองหนึ่ง ทั้งม้วนด้าย เศษผ้า กระดุมสีซีด เชือกรัดผมที่ขาดแล้ว ลูกแก้วที่มีกลีบอยู่ข้างใน กล่องไม้ขีดเปล่า และดินน้ำมันอีกก้อนหนึ่งที่คีบไว้ที่นิ้ว
เธอเงยหน้ามองซางเจี้ยนเย่าทำตาปริบๆ
“พี่ชาย หนูเอาของพวกนี้แลกของกินของพี่สักนิดได้ไหม แค่นิดเดียวก็พอ ได้ไหม ได้ไหม”
ที่มุมของเพิงไม้มีกลิ่นหอมของเนื้อย่างแดงลอยอบอวล
ซางเจี้ยนเย่ามองเด็กหญิงตัวน้อยเงียบๆ อยู่สองวินาที แล้วนั่งยองลงก่อนที่เธอจะพูดซ้ำ ยื่นนิ้วออกไปแล้วคุ้ยของจิปาถะในกองนั่นสองสามที
เขาหยิบลูกแก้วที่มีกลีบสีเหลืองอยู่ข้างในออกมา จากนั้นยิ้มแล้วก็ยืนขึ้น
“งั้นเอาอันนี้ละกัน”
“…ขอบคุณพี่ชาย ขอบคุณพี่ชาย” เด็กหญิงตัวน้อยตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปมองเพิงไม้ที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ นั่งอยู่
“ตามพี่มาสิ”
เด็กหญิงรับคำอื้อไปสองครั้ง แล้วเดินตามเขาไปติดๆ
หลงเยว่หงไม่รู้จะพูดอะไร มองซ้ายมองขวาแล้วเดินตามไป
ไม่นานพวกเขาก็กลับมาถึงบริเวณที่รถจี๊ปจอดอยู่
“นี่คืออะไร” เจี่ยงไป๋เหมียนมองมาที่เด็กหญิงตัวน้อย สีหน้าแสดงความสงสัย
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มกว้างก่อนตอบ
“เธอเอาของชั้นยอดมาแลกกับเนื้อย่างแดงของผมชิ้นนึงน่ะ”
เขานั่งลงแล้วหยิบชามกับตะเกียบขึ้นมา
“เริ่มกันเลยไหม”
“ได้สิ” เจี่ยงไป๋เหมียนกับเถียนเอ้อร์เหอได้แต่มองหน้ากัน
ซางเจี้ยนเย่ารีบคีบเนื้อวัวชิ้นหนึ่งใส่ชามแล้วยื่นให้เด็กหญิงตัวน้อย
เด็กหญิงกลืนน้ำลาย รีบรับมาแล้วเตรียมจะยัดเนื้อวัวทั้งชิ้นเข้าปาก
แต่ทว่าในตอนนั้นซางเจี้ยนเย่ากลับดึงชามดึงตะเกียบคืนมา
เด็กหญิงตัวน้อยเงยหน้ามองเขาด้วยความรู้สึกทั้งงุนงงและทั้งคับข้องใจ
“ระวังหน่อย มันร้อน” ซางเจี้ยนเย่าพูดเบาๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ขณะที่พูดเขาก็เอาต้นขาหนีบชามแล้วก็ถือตะเกียบด้วยมือข้างหนึ่ง ค่อยๆ ฉีกแบ่งเนื้อชิ้นใหญ่ให้เป็นชิ้นเล็กๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ
พอฉีกเสร็จก็คีบเนื้อชิ้นเล็กป้อนเข้าปากเด็กหญิง
ดวงตาเด็กน้อยเปล่งประกาย เธอกัดแล้วรีบเคี้ยวอย่างรวดเร็ว
“อร่อยไหม” ซางเจี้ยนเย่ามองดูจนเธอเคี้ยวเนื้อชิ้นเล็กชิ้นนั้นจนหมดแล้วถามขึ้น
เด็กหญิงตัวน้อยผงกหัวอย่างแรง
“อร่อยมาก!”
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มขึ้นทันที แล้วคีบให้เธออีกชิ้น
เห็นแบบนี้แล้วเจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้แต่ถอนใจ
“นายนี่มัน…”
เธอถอนใจพลางพยักพเยิดไปที่ข้างนอก
ซางเจี้ยนเย่าเงยหน้ามองตามไป เห็นเด็กร่วมยี่สิบคนจากบ้านที่ปลูกระเกะระกะบนลานกำลังเข้ามาใกล้ แต่ละคนท่าทางกระตือรือร้น ในมือกอบข้าวของจิปาถะเอาไว้
ซางเจี้ยนเย่าตัวแข็งทื่อทันที
เถียนเอ้อร์เหอร้อง “เฮ้อ” ออกมาหนึ่งคำ หันหน้าไปอย่างยิ้มแย้มแล้วร้องตวาดออกไป
“กลับไปให้หมด! ไปให้หมดเลย!”
บรรดาเด็กๆ ต่างแสดงความผิดหวังออกมา ระหว่างที่เดินอ้อยอิ่งกลับบ้านไปนั้นก็เหลียวกลับมามองแล้วมองอีก
* * * * *