รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 31 เมื่อนานมาแล้ว
“เอาล่ะ” เถียนเอ้อร์เหอหันกลับมาแล้วพูดล้อซางเจี้ยนเย่า “ตอนนี้คุณคงรู้แล้วสินะว่าการรักษาระเบียบในนิคมแบบนี้มันยากขนาดไหน”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่อยากให้ไปกระตุ้นซางเจี้ยนเย่าต่ออีก เลยรีบถามขัดจังหวะ
“เจ้าเมือง ตะกี้ตอนพวกเรามาถึง ดูเหมือนไม่มีเด็กเยอะขนาดนี้นะ พวกเขาออกไปทำงานกับผู้ใหญ่เหรอ”
เถียนเอ้อร์เหอเอี้ยวตัวหันไปชี้ที่อาคารสามหลังที่เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัว
“พวกเขาไปเรียนกันที่นั่นน่ะ รอจนผู้ใหญ่กลับมาถึงจะเลิกเรียน”
“เรียนงั้นเหรอ” คิ้วของเจี่ยงไป๋เหมียนขมวดเล็กน้อย “พวกคุณยังรักษาระบบการศึกษาเอาไว้ด้วยเหรอ”
นี่นับว่าหาได้ยากมากสำหรับนิคมในแดนร้าง นอกเหนือจากกองกำลังขนาดใหญ่แล้ว นิคมที่เจี่ยงไป๋เหมียนเคยไป ไม่เคยมีที่ไหนทำมาก่อน
สำหรับคนที่ต้องดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด การจัดระบบการศึกษาแบบห้องเรียนนั้นถือว่าไม่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง สิ้นเปลืองทั้งพลังงานและทรัพยากร แรงงานเป็นทรัพยากรที่สำคัญมาก ครูที่ไม่ได้ออกไปทำงานและเด็กที่ไม่ได้ช่วยงานบ้านหรือในทุ่งนา นับเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยสำหรับในหลายๆ นิคม
นิคมเหล่านั้นมีเพียงพ่อแม่กับผู้สูงอายุที่คอยสอนลูกหลานตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวยในแต่ละวัน เพื่อให้เด็กๆ พอมีความรู้พื้นฐาน เรียนเรื่องการเพาะปลูก เก็บรวบรวมสิ่งของ ทำอาหาร ทำความสะอาด ยิงปืน ล่าสัตว์ และดูแลทารก
เถียนเอ้อร์เหอตอบด้วยรอยยิ้ม
“เวลามีคนนอกมาเมืองน้ำล้อมแล้วเห็นเรื่องนี้ พวกเขาก็แปลกใจกันทั้งนั้น ที่จริงแล้วสำหรับพวกเราที่ทำ ‘โรงเรียน’ อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ทุกคนต้องช่วยกันรัดเข็มขัดกระเหม็ดกระแหม่ ถึงพอจะทำให้ธรรมเนียมนี้ยังไม่สูญหายไปไหน”
เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าอย่างไม่รู้ตัว มองดูท้องฟ้ายามเย็นที่มืดครึ้มหม่นหมองโปรยปรายด้วยสายฝนพรำ แล้วพูดต่อด้วยความทรงจำผสมผสานกับความปลงอนิจจัง
“คนแรกที่เสนอให้เด็กๆ ได้รับการศึกษาอย่างเป็นทางการก็คือคุณอาคนนึง ชื่อเสิ่นหลิ่วซิน
“เขาบอกว่า ต่อให้ยากลำบากแค่ไหน พวกเด็กๆ ต้องอ่านออกเขียนได้และได้เรียนความรู้ขั้นพื้นฐาน มีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงจะทำให้พวกเขา ทำให้ลูกๆ หลานๆ ทำให้ประชากรของเมืองน้ำล้อมในภายภาคหน้ายังคงจดจำได้ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน เป็นคนกลุ่มไหน มีวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ยังไง มีเพียงการจดจำเรื่องเหล่านี้ไว้ให้ได้ ถึงจะทำให้พวกเขายังคงยืนหยัดด้วยความหวังท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายได้ ท่ามกลาง ‘ความมืดมิด’ อันสิ้นหวังได้
“ในตอนนั้นถึงแม้ว่าฉันจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของอาเสิ่น แต่ก็เพียงแค่คิดอย่างตื้นๆ เท่านั้นเอง ฉันคิดแค่ว่าทุกครั้งที่ขนข้าวของกลับมาจากซากเมือง พอเปิดหนังสือคู่มือดูก็เจอตัวหนังสือบางส่วนที่อ่านไม่ออก และถึงแม้จะอ่านออก แต่พอเอาคำมาต่อกันกลับอ่านไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจว่าหมายความว่ายังไง ทำให้ไม่สามารถใช้งานของพวกนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบบนี้ก็ไม่ไหวใช่ไหมล่ะ
“มันเป็นวิธีคิดที่เรียบง่ายมาก แต่พอผ่านไปไม่กี่ปี หลังจากนั้นฉันก็ค่อยๆ เข้าใจในสิ่งที่อาเสิ่นพูดมากขึ้น”
พูดถึงตรงนี้เถียนเอ้อร์เหอก็ยืนขึ้นแล้วชี้ไปยังอาคารสามหลังเรียงที่เป็นสามเหลี่ยมกลับหัว
“พวกคุณรู้ไหมว่าสมัยก่อนที่นั่นเคยเป็นอะไร”
ไป๋เฉิน เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และหลงเยว่หงส่ายหน้าพร้อมกัน
“มันเป็นโรงเรียนของเมืองน้ำล้อมมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้วล่ะ ตรงนั้นคือสนามบาสเก็ตบอล ตรงนั้นคือแท่นเสาธง ตรงนั้นคือหอพักครู ตรงนั้นคือหอพักนักเรียน ตรงนั้นคืออาคารห้องคอมพิวเตอร์ ห้องสมุด แล้วก็ห้องแล็บ ส่วนตรงนั้นคืออาคารเรียน…” เถียนเอ้อร์เหอแนะนำไปทีละห้องทีละห้อง ใบหน้าสะท้อนแสงไฟในเตาวูบวาบ
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ต่างนั่งฟังอย่างใจจดจ่อ มองดูอย่างใจจดจ่อ ถึงแม้ว่าในยามโพล้เพล้เช่นนี้จะทำให้อาคารและสถานที่เหล่านั้นแทบจะมองไม่เห็นแล้วก็ตาม
เถียนเอ้อร์เหอลดมือลงหันหน้ากลับมาและพูดคำเดิมอีกครั้ง
“ที่นั่นเคยเป็นโรงเรียนมาก่อน”
ใบหน้าเขาเคร่งขรึมจริงจัง
โดยไม่ได้รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ตอบอะไร เขาก็นั่งลงอีกครั้งและหัวเราะเยาะตัวเอง
“ชาวเมืองส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอก ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่เต็มใจดูแลรักษาโรงเรียนเล็กๆ แห่งนี้หรอกนะ แต่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกว่าควรจะสงวนไว้ให้เฉพาะชาวเมืองดั้งเดิมเท่านั้น ส่วนพวกคนเร่ร่อนแดนร้างที่เข้ามาทีหลังน่ะ แค่ให้อาหารซักคำก็ถือเป็นความกรุณาอันใหญ่หลวงแล้ว ทำไมจะต้องเสียทรัพยากรไปเปล่าๆ ด้วยล่ะ
“พวกเขาคิดว่าผืนดินนั้นควรแบ่งให้เฉพาะชาวเมืองดั้งเดิมเท่านั้น โดยเฉพาะพวกสมาชิกหลักของยามเมือง ส่วนพวกเร่ร่อนแดนร้างที่มาภายหลังก็แค่ให้เช่าที่ก็พอ และต้องจ่ายค่าเช่าเป็นผลผลิตบางส่วนที่เก็บเกี่ยวได้มา
“พวกเขายังคิดอีกว่าพวกคนเร่ร่อนที่มาทีหลังนั้นไม่ควรได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นยามเมืองหรือได้จับอาวุธคุณภาพดี”
พูดมาถึงตอนนี้ เถียนเอ้อร์เหอก็ส่ายหน้า
“เฮ้อ ตอนฉันยังมีชีวิตอยู่ก็ยังพออาศัยบารมีคอยปรามได้ ไม่มีใครกล้าค้านแบบจริงจัง อย่างมากก็แค่บ่นลับหลัง แต่ไว้พอฉันตายไปเมื่อไหร่ ไม่รู้ว่าเมืองน้ำล้อมจะเป็นยังไงบ้าง
“พอแล้ว ไม่พูดแล้ว กินเถอะ กินๆๆ”
เพราะว่าเป็นเรื่องราวภายในของเมืองน้ำล้อม เจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินจึงไม่สะดวกที่จะแสดงความคิดเห็น ทำได้เพียงแค่แสดงท่าทีของผู้มาเยือนเท่านั้น นั่งกินบิสกิตอัดแข็ง ธัญพืชอัดแท่ง เถียนเอ้อร์เหอบอกให้คนไปเอาหมั่นโถวธัญพืชมาเพื่อกินกับเนื้อย่างแดงหม้อนั้น
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้รีบร้อนที่จะร่วมวงกับพวกเขา เขายังคงป้อนเนื้อวัวในชามทีละชิ้นให้กับเด็กหญิงตัวน้อยข้างๆ
เด็กหญิงเองก็เป็นเด็กรู้ความ พอกินหมดแล้วก็ไม่ได้ร้องขออีก โค้งคำนับให้ซางเจี้ยนเย่าอย่างตั้งใจ
“ขอบคุณมากพี่ชาย!”
ขอบคุณเสร็จเธอก็กอบเอากองของจิปาถะกระโดดไปมากลับไปยังบริเวณที่มีสิ่งปลูกสร้างตั้งระเกะระกะอยู่อย่างร่าเริง ซึ่งในอดีตพื้นที่ตรงนั้นเคยเป็นสนามบาสเก็ตบอลมาก่อน มีสนามเรียงเป็นแถวหน้ากระดานอยู่หลายสนาม
“โค้งคำนับได้เป็นมาตรฐานมาก” ซางเจี้ยนเย่ากล่าวชมเชยตามหลัง
“ครูสอนเอาไว้น่ะ” เถียนเอ้อร์เหอตอบด้วยความภาคภูมิใจ
ซางเจี้ยนเย่ายังไม่ได้กินเนื้อวัวย่างแดง เขากินหมั่นโถวธัญพืชลูกสีเหลืองอย่างเงียบๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ไม่ได้ชวนเขา ระหว่างกินไปก็ถามเถียนเอ้อร์เหอเกี่ยวกับประสบการณ์หลังจากโลกเก่าล่มสลายไปพลาง
ประสบการณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ออกจะน่าเบื่ออยู่บ้าง ที่สุดแล้วก็เป็นเพราะเมืองน้ำล้อมอาศัยความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์จึงทำให้เผชิญความยากลำบากไม่มากนัก แต่เจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ต่างก็ตั้งอกตั้งใจฟัง ทำให้เถียนเอ้อร์เหอเล่าอย่างออกรสออกชาติ เขายังเล่าถึงเรื่องที่ตัวเขากับภรรยาค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์กันในตอนที่ออกไปล่าสัตว์อีกด้วย
เมื่อทุกคนกินกันจนใกล้เสร็จแล้ว ซางเจี้ยนเย่าถึงค่อยเริ่มจู่โจมจัดการเนื้อย่างแดงส่วนที่เหลือ ใช้มือหยิบหมั่นโถวธัญพืชจุ่มน้ำเนื้อย่างแดงเข้าปาก
“ไม่ได้มีความสุขแบบนี้มาตั้งนานแล้ว” เถียนเอ้อร์เหอลูบท้อง มองดูขี้เถ้าบุหรี่ที่ร่วงหล่นบนพื้น “ฉันต้องกลับห้องแล้วล่ะ ยังมีเรื่องในเมืองที่รอให้ฉันตัดสินใจอยู่”
จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็นึกอะไรขึ้นมาได้ รีบถามขึ้นทันที
“เจ้าเมือง ฉันยังมีอีกคำถาม”
“อะไรเหรอ” เถียนเอ้อร์เหอกำลังกระชับเสื้อคลุมทหารสีเขียวบนร่าง
เจี่ยงไป๋เหมียนเรียบเรียงความคิดแล้วค่อยๆ พูดออกมา
“พวกคุณเคยเจอคนลักษณะแบบนี้ไหม
“ผู้ชาย ผมสีดำตาสีทอง สูงราว 180 เซนติเมตร หน้าตาหล่อเหลามาก น่าจะหล่อกว่าเขาอีก”
เธอบุ้ยหน้าเพื่อบอกว่ากำลังเปรียบเทียบกับซางเจี้ยนเย่า เสร็จแล้วก็พูดต่อ
“ชอบสวมเสื้อเทรนช์โค้ท สวมถุงมือ หวีผมเรียบร้อย แล้วก็ชอบสวมรองเท้าบูท”
เถียนเอ้อร์เหอคิดอยู่ชั่วครู่
“ในเมืองน้ำล้อมมีแทบไม่มีคนนอกเลย แล้วฉันเองก็ไม่ได้ออกนอกเมืองมาตั้งนานนมแล้ว นึกถึงคนที่คุณพูดไม่ออก
“เจ้าลูกหมา ไปถามคนที่ออกไปล่าสัตว์ช่วงนี้ทีซิว่ามีใครเจอคนแบบนี้บ้างไหม แล้วก็กลับมาบอกยายหนูไป๋กับพวกเขาด้วย”
“ทราบแล้วเจ้าเมือง” เมื่อสบโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถ สมาชิกหน่วยยามเมืองที่ชื่อเล่นว่า ‘ลูกหมา’ ก็รีบวิ่งออกไปอย่างเร็วจี๋
หลังจากมองดูเถียนเอ้อร์เหอที่สวมเสื้อคลุมทหารสีเขียวและหมวกขนสัตว์เดินออกจากเพิงไม้ตรงไปยังบริเวณที่มี
สิ่งปลูกสร้างตั้งระเกะระกะแล้ว ไป๋เฉินก็มองไปรอบๆ เพื่อดูตำแหน่งยืนของยามเมืองที่คอยเฝ้าระวังอยู่
จากนั้นเธอก็นั่งลงพูดพึมพำกับตัวเอง
“ทำไมเจ้าเมืองถึงเล่าเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในของเมืองน้ำล้อมให้พวกเราฟังนะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองแสงไฟในเตาแล้วยิ้ม
“ก็เขาหวังว่ากองกำลังใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังเราจะยอมรับเมืองน้ำล้อมน่ะสิ
“ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนั้น เธอคิดว่าทำไมเขาเชิญเรามาเป็นแขกล่ะ
“ถึงเขาจะเชื่อใจเธอมาก แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำแบบนี้ซักหน่อย เขาแสดงน้ำใจและความห่วงใยด้วยวิธีอื่นก็ได้”
เธอหันไปมองหลงเยว่หงที่ดูเหมือนยังดูงุนงงอยู่บ้าง และซางเจี้ยนเย่าที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แล้วพูดต่อ
“ดูท่าแล้วความขัดแย้งในเมืองน้ำล้อมนี่คงสร้างความกังวลให้เจ้าเมืองเถียนมานานแล้วล่ะ เขาห่วงว่าหลังจากตัวเองตายไปแล้ว สถานการณ์ของเมืองน้ำล้อมจะตกอยู่ในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก หรืออาจถึงขั้นล่มสลายก็ได้
“ด้วยความกังวลแบบนี้ แล้วอยู่ๆ เขาก็ได้เจอคนเร่ร่อนแดนร้างที่รู้จักกันและเชื่อใจได้ อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าคนเร่ร่อนแดนร้างผู้นี้ไปพึ่งพาอาศัยอยู่กับกองกำลังใหญ่ ดูแล้วไม่เลวทีเดียว
“ถ้าเป็นพวกนายจะหวั่นไหวกันไหม จะสร้างความสัมพันธ์กับกองกำลังที่ไม่ได้มุ่งร้ายต่อคนเร่ร่อนแดนร้างเพื่อให้เมืองน้ำล้อมสามารถพึ่งพากองกำลังใหญ่นี้ได้ใน
อนาคตหรือเปล่า
“ด้วยความพึ่งพาเช่นนี้ มีทั้งความร่วมมือและแผนการจากกองกำลังใหญ่ ความขัดแย้งเล็กน้อยในเมืองน้ำล้อมก็ไม่ได้เป็นปัญหาใหญ่อะไร”
ในที่สุดหลงเยว่หงก็เข้าใจกระจ่าง
“แบบนี้นี่เอง…
“หัวหน้า แล้วบริษัทจะยอมรับพวกเขาหรือเปล่า
ประโยคนี้ก็เป็นสิ่งที่ไป๋เฉินต้องการจะถามเช่นกัน ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่เปรยออกมาให้คนอื่นได้ยินตั้งแต่แรก
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกถึงสายตาของไป๋เฉินที่จ้องมองมา เธอจึงเลี่ยงไปมองที่เตาไฟเบื้องหน้าอีกครั้ง
เธอพูดเจือรอยยิ้ม
“รอไว้กลับบริษัทก่อนแล้วฉันจะรายงานไปตามขั้นตอนปกติ ส่วนเรื่องที่จะรับหรือไม่รับนั้นก็อยู่ที่การตัดสินใจของคณะผู้บริหาร เรื่องแบบนี้นั้นไม่ว่าจะเป็นแผนกความมั่นคงหรือว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ก็ตาม ทำได้เพียงแค่ยื่นคำเสนอแนะเท่านั้น
“แต่ว่านะ ฉันจะปิดบังตำแหน่งที่แน่นอนของสถานที่ตั้งเมืองน้ำล้อมเอาไว้ จะบอกเพียงแค่ว่าได้เจอกับทีมล่าสัตว์ของพวกเขาในแดนร้างเท่านั้นพอ”
ไป๋เฉินถอนใจโล่งอก พูดออกมาเบาๆ
“เท่านี้ก็ดีแล้วล่ะ… ดีแล้ว”
หลงเยว่หงงุนงงอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมถึงต้องปิดบังตำแหน่งที่ตั้งของเมืองน้ำล้อมด้วยล่ะ”
ก็ในเมื่อจะรายงานต่อบริษัทของพวกเราเองนี่นา
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขาด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้ตอบคำถาม ไม่มีคำอธิบาย เพียงแค่พูดว่า
“นายดูสิ ซางเจี้ยนเย่ายังไม่ถามอะไรเลย”
ซางเจี้ยนเย่าได้ยินชื่อตัวเอง เลยมองไปที่หัวหน้าทีม
“หือ คุยกันเรื่องอะไรอยู่เหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามฝืนยิ้ม
“กำลังคุยว่านายดูไม่เลวนะ”
“ไม่เท่าไหร่หรอก” ซางเจี้ยนเย่าถ่อมตัว
ทั้งวงเงียบกริบลงในทันที หลังจากนั้นไม่นานยามเมืองที่ชื่อเล่นว่า ‘ลูกหมา’ ก็วิ่งกลับมาแล้วมายืนที่ข้างเจี่ยงไป๋เหมียน
“มีคนเคยเจอคนที่คุณพูดถึง
“เขาไปทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ เป็นคนแปลกมาก ในตอนนั้นทุกคนในทีมล่าสัตว์ต่างก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์มาก จนอดคอยเอาใจเขาใกล้ชิดเขาไม่ได้ แต่เขาก็เย็นชาสุดๆ จงใจเว้นระยะห่างกับคนอื่นๆ แล้วก็หายตัวไปในแดนร้าง”
“แปลกจริงด้วย…” หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พึมพำกับตัวเองราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นพูดด้วยรอยยิ้มสดใส
“ขอบคุณมาก”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” ยามเมืองที่มีชื่อเล่นว่า ‘ลูกหมา’ รีบตอบรับอย่างตื่นเต้น
หลังจากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ยามเมืองผู้นี้จึงจำใจเดินออกจากเพิงไม้ไป
สายตาซางเจี้ยนเย่าทอดมองออกไปข้างนอก เห็นเพียงท้องฟ้ามืดมิด เมฆครึ้มลอยต่ำ เมืองน้ำล้อมทั้งเมืองตกอยู่ในความมืด
เสียงเครื่องปั่นไฟพลังน้ำมันดังขึ้น หลายห้องในอาคารสามหลังที่เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวพลันส่องสว่างขึ้นมา หลอดไฟบนกำแพงเมืองก็ทยอยส่องสว่างทีละดวง ช่วยให้พวกยามเมืองมองเห็นพื้นที่ด้านนอก แสงเทียนและแสงไฟวูบวาบในบริเวณบ้านชั้นเดียวกับบริเวณสิ่งปลูกสร้างที่สร้างระเกะระกะพากันดับวูบลงอย่างรวดเร็ว เกือบทั้งเมืองจมอยู่ในความมืดมิดของรัตติกาล
ซู่! ซู่! ซู่! ฝนที่ตั้งเค้ามาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็เริ่มปลดปล่อยออกมาในค่ำคืนอันมืดมิด
* * * * *