รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 36 หลวงจีน
เมื่อได้เห็น ‘หุ่นจักรกล’ ที่สูงใหญ่และแปลกประหลาดเช่นนี้ ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็ใจเต้นระส่ำ ทุกรูขุมขนล้วนหดเกร็ง ขนแขนลุกชัน ขนหัวลุกจนชาวาบ
ในใจพวกเขาตอนนี้มีชื่อหนึ่งที่ผุดวาบขึ้นมา
หลวงจีนจากชุมนุมหลวงจีน!
นี่คือสิ่งมีชีวิตในแดนธุลีที่มีอันตรายเป็นอย่างยิ่ง พวกเขายังมีอีกชื่อหนึ่งว่า
‘นิรันดร์กาล!’
หนังสือเรียนใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ อธิบายไว้ว่า ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายลงนั้น มนุษย์มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในบางสาขาอย่างก้าวกระโดด ในบรรดาเทคโนโลยีเหล่านั้น สิ่งที่โดดเด่นและทำผู้คนตื่นเต้นชื่นชมยินดีเป็นที่สุดก็คือ “ย้ายจิต – เคลื่อนย้ายจิตสำนึก”
เทคโนโลยีนี้คือการโอนถ่ายจิตสำนึกสติสัมปชัญญะของมนุษย์ไปยังชิปของหุ่นชีวจักรกลที่ออกแบบมาเป็นพิเศษผ่านอุปกรณ์จำเพาะ ซึ่งจะทำให้สามารถทลายข้อจำกัดของร่างกายที่เปราะบาง จะไม่ชราภาพ ไม่มีโรคาพยาธิ ไม่หิวกระหาย ไม่ต้องสิ้นอายุขัยเพราะกาลเวลาอีกต่อไป ทั้งหมดที่ต้องทำก็เพียงแค่คอยบำรุงรักษาหรือเปลี่ยนร่างพาหะตามระยะเวลา เพื่อให้ยังคงเป็นอมตะในระดับจิตสำนึกไปตลอดกาล
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิงนั้น เทคโนโลยีนี้ยังคงมีข้อบกพร่องอยู่มากมายจึงไม่เคยมีการใช้งานอย่างเป็นทางการ เป็นเพียงแค่วิทยาการที่อยู่ในห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น
เมื่อโลกเก่าถูกทำลายลงและเกิดกลียุคเกิดทั่วทุกแห่งหน จู่ๆ กลุ่มหุ่นจักรกลที่เรียกตัวเองว่า ‘นิรันดร์กาล’ ก็พลันปรากฏตัวขึ้นมา
พวกเขาใช้จินตภาพและวิธีการคิดที่สอดคล้องกับมนุษย์ รวมทั้งหลักฐานชัดเจนอื่นๆ มาชักจูงให้คนที่เหลือรอดชีวิตเหล่านั้นเชื่อว่าพวกเขาเป็นมนุษย์จริงๆ และเชื่อว่าจิตสำนึกสามารถดำรงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์
แต่ทว่า ‘นิรันดร์กาล’ กล่าวว่าเทคโนโลยีการ ‘ย้ายจิต’ นั้นได้สูญหายไปพร้อมกับมหันตภัย ในปัจจุบันจึงมีอุปกรณ์เหลือให้ใช้งานได้เพียงไม่กี่เครื่อง และมีโรงงานเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่สามารถผลิต ‘ชิปชีวจักรกล’[1] และหุ่นจักรกลเพื่อย้ายสติสัมปชัญญะจิตสำนึกของมนุษย์ แต่ไม่สามารถทำวิศวกรรมย้อนกลับของกระบวนการผลิตเพื่อสร้างโรงงานเพิ่มได้ พวกเขารู้เพียงแค่วิธีการใช้งาน และสร้าง ‘นิรันดร์กาล’ ได้ตามขีดจำกัดของการผลิตเท่านั้น
ดังนั้นเป้าหมายของเส้นทางสายนี้ก็คือเรียกร้องให้มนุษยชาติสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกันเพื่อทำวิศกรรมย้อนกลับ จะได้สร้างเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ทุกคนสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์ สิ้นสุดยุคมืด เข้าสู่โลกใหม่
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็ไม่รู้ว่าในตอนนั้นมันมีพัฒนาการไปถึงขั้นไหนแล้ว รู้เพียงเท่าที่ในหนังสือเรียนบันทึกไว้เท่านั้นว่า…
“เมื่อกาลเวลาผ่านล่วงไป ‘นิรันดร์กาล’ ก็ค่อยๆ เผยให้เห็นปัญหามากขึ้น ไม่ใช่เพราะพวกเขามีเจตนาร้าย แต่เป็นเพราะเทคโนโลยีนี้ยังห่างไกลจากความสมบูรณ์
“ปัญหาที่ชัดเจนที่สุดของพวกเขาก็คือ เมื่อมนุษย์สูญเสียประสาทสัมผัสเนื่องจากไม่มีร่างกาย จะส่งผลให้สูญเสียแรงจูงใจที่ทำให้มนุษย์ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
“มี ‘นิรันดร์กาล’ จำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าชีวิตช่างน่าเบื่อและไร้ความหมาย ส่งผลให้เกิดปัญหาทางจิตขั้นรุนแรง และกลายเป็นว่า ‘นิรันดร์กาล’ ที่คุ้มคลั่งนั้นกลับกลายเป็นอันตรายระลอกใหม่ของมนุษยชาติที่เปราะบางอยู่แล้ว
“แม้ว่ายังมี ‘นิรันดร์กาล’ ที่ไม่ได้คุ้มคลั่ง แต่พวกเขาก็สับสนหลงทาง จึงแสวงหาการชี้แนะแนวทางจากซากศาสนสถานต่างๆ ที่หลงเหลือจากโลกเก่า
“ท้ายที่สุดพวกเขาได้ยึดถือศาสนาหนึ่งเป็นหลัก แล้วซึมซับแนวคิดจากศาสนาอื่นมาผสมผสานสร้างเป็นศาสนาใหม่ที่สอดคล้องกับหลักคำสอนของตน เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาสภาวะทางจิตของพวกเขาเอง แต่คำสอนเหล่านั้นผิดเพี้ยนไปจากต้นตำรับเดิมอย่างมาก
“พวกเขาเรียกตนเองว่าหลวงจีน และเรียกฐานลับที่ซ่อนอุปกรณ์ ‘ย้ายจิต’ ว่า ‘แดนวิสุทธิ์มายา’[2]”
ร่างกายหุ่นจักรกลของหลวงจีนเหล่านี้ไม่หวั่นเกรงอาวุธเบา พวกเขามีพลังยิงที่รุนแรง ราวกับเป็นชุดเกราะกระดูกเสริมแรงที่ติดตั้งระบบสมองกลเข้าไป เป็นสิ่งมีชีวิตสุดอันตรายที่มนุษย์ธรรมดาเพียงกลุ่มเล็กๆ ไม่สามารถรับมือได้ถึงแม้จะมีอาวุธหนักก็ตาม ต้องเป็นคนที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีจำนวนหลายสิบหรือหลายร้อยคนร่วมมือกัน ผสานกับกลยุทธที่เหมาะสม ถึงจะมีโอกาสจัดการกับหลวงจีนจักรกลหนึ่งคนได้
ก่อนหน้านี้ที่เจี่ยงไป๋เหมียนสรุปให้ฟังเรื่องประเภทของมนุษย์ที่จัดว่าเป็นอันตรายนั้น เธอไม่ได้พูดถึง ‘นิรันดร์กาล’ เนื่องจากว่าบรรดากองกำลังขนาดใหญ่ต่างๆ และพวกคนเร่ร่อนแดนร้างต่างก็จัดให้หลวงจีนพวกนี้เป็นสิ่งมีชีวิตอีกจำพวกหนึ่งซึ่งแตกต่างจากตนเองอย่างสิ้นเชิง
แน่นอนว่าหลวงจีนจากชุมนุมหลวงจีนนั้นไม่ได้มีแนวโน้มที่มุ่งร้ายทำลายมนุษย์ อันที่จริงออกจะเป็นมิตรด้วยซ้ำ
แต่ปัญหาก็คือ จิตสำนึกของมนุษย์ไม่อาจเสกขึ้นมาจากอากาศธาตุได้ หลวงจีนจักรกลที่ไร้ความสามารถในการสืบพันธุ์สร้างทายาทเหล่านี้ เมื่อถูกทำลายลงหนึ่งคนก็เท่ากับว่าสูญหายไปหนึ่งคน
เพื่อรักษาจำนวน ‘ประชากร’ รักษานิกายให้ดำรงไว้ หลวงจีนเหล่านี้จึงต้องออกจาริกในแดนร้างเพื่อตามหา ‘ผู้ถูกลิขิต’[3]
หากได้พบ ก็จะทำการ ‘เปลี่ยนผ่าน’[4] เป้าหมายแล้วนำกลับไปยังแดนวิสุทธิ์มายา จัดการทำให้พวกเขาละทิ้งกายเนื้อ[5] เคลื่อนย้ายจิตสำนึกไปยังชิปชีวจักรกลของหุ่นจักรกล
มีเพียง ‘ผู้ถูกลิขิต’ จำนวนน้อยที่มิได้ต่อต้านขัดขืนเพราะมีความปรารถนาใน ‘ชีวิตนิรันดร์’ อยู่แล้ว แต่คนส่วนมากไม่กล้าลองเพราะข่าวลือเรื่องข้อบกพร่องของ ‘นิรันดร์กาล’
ทว่าหากถูกเลือกจากหลวงจีนแล้ว ไม่ว่าจะยินยอมพร้อมใจหรือไม่ นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถเลือกได้
เรื่องนี้ทำให้ชื่อเสียงของชุมนุมหลวงจีนตกต่ำลงอย่างรวดเร็วจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นชื่อเสียงอันเลวร้าย
ในขณะเดียวกัน อาจเป็นเพราะข้อบกพร่องของเทคโนโลยี ‘นิรันดร์กาล’ จึงทำให้หลวงจีนจักรกลจำนวนมากล้วนมีปัญหาและเป็นปัญหาที่แตกต่างกันออกไป เมื่อพวกเขาถูกกระตุ้นโดยสถานการณ์บางอย่างหรือคำพูดบางประโยค ก็จะสูญเสียการควบคุมตนเองกลายเป็นคุ้มคลั่งทันที ต้องใช้เวลาเพื่อสงบจิต คล้ายกับการถูกกระตุ้นอาการป่วยทางจิต หรือความบกพร่องทางบุคลิกภาพ
สภาวะที่ไม่เสถียรนี้จึงทำให้มนุษย์ส่วนมากบนแดนธุลีมองหลวงจีนจักรกลเป็นดั่งน้ำไหลบ่าสัตว์ป่าบุก[6]
ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงมีปฏิกิริยารุนแรงเมื่อพบกับหลวงจีนจักรกลเบื้องหน้า
มีเพียงหลวงจีนจักรกลจากชุมนุมหลวงจีนเท่านั้นที่จะสวมชุดหลวงจีนและห่มจีวร หุ่นสมองกลทั่วไปไม่ได้มีความต้องการ และ ‘งานอดิเรก’ เช่นนี้
หลงเยว่หงและซางเจี้ยนเย่ามีเหงื่อเย็นเยียบปรากฏบนหน้าผาก รีบยกปากกระบอกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ เล็งไปยังหุ่นจักรกลสีดำห่มจีวรแดงทันที
ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าอาวุธในมือไม่อาจคุกคามอีกฝ่ายได้ และนอกจากนั้น สิ่งที่แตกต่างไปจากหัวหน้าโจรที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงก็คืออีกฝ่ายนั้นไม่มีจุดอันตรายให้เล็งยิงเลย
การเผชิญหน้ากับหลวงจีนจักรกลในขณะนี้ ในด้านอุปกรณ์แล้วพูดได้ว่าไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย แต่เหตุที่เล็งปืนไปนั้นเป็นเพราะปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติเท่านั้น
ในตอนนี้พวกเขาได้แต่สวดอธิษฐานอยู่ในใจ หวังว่าตนเองจะไม่ใช่ ‘ผู้ถูกเลือก’
วินาทีถัดมา หุ่นจักรกลร่างสูง 190 เซนติเมตรสวมชุดหลวงจีนรุ่งริ่งห่มจีวรแดงหันใบหน้าสีดำที่เย็นชากวาดมองพวกเขาด้วยดวงตาสีแดงที่กะพริบเป็นระยะ
หลวงจีนจักรกลไม่ได้พูดอะไร เดินเข้าไปหาคนที่ตกลงมาเสียชีวิตอย่างเงียบๆ
เสียงที่เย็นชาไร้อารมณ์ดังขึ้น
“สรรพสัตว์ทุกข์ยาก ไยจึงลุ่มหลงยึดติด
“กลับแดนวิสุทธิ์กับอาตมา ละทิ้งกายสังขาร บรรลุโพธิญาณอันประเสริฐสุด แล้วประสกก็จะเข้าใจได้ว่าสรรพสิ่งล้วนว่างเปล่า ผู้รู้แจ้งคงอยู่นิรันดร”
เมื่อพูดจบหลวงจีนจักรกลก็ประนมมือแล้วสวดมนต์ด้วยเสียงต่ำ
“นโม อนุตตรสัมมาสัมโพธิ[7]”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างมองหน้ากัน เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ใส่ใจพวกเขา ก็ค่อยๆ ขยับก้าวถอยออกไปอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้นเอง หลวงจีนจักรกลห่มจีวรแดงซึ่งยังคงรักษาท่าทางไว้ไม่เปลี่ยนก็เปล่งเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง
“ประสกทั้งสองไฉนไม่รอสักครู่
“แม้ว่าประสกจะไร้บุญสัมพันธ์ต่อพุทธะ มิใช่ผู้ถูกลิขิต แต่สรรพสัตว์ล้วนมีพุทธจิต[8] การฟังพระสูตรมิใช่เรื่องเลวร้าย”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘มิใช่ผู้ถูกลิขิต’ ทั้งซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงต่างรู้สึกยินดีและถอนหายใจอย่างโล่งอก
แต่ในขณะเดียวกันก็หวาดกลัวความเกรี้ยวกราดของอีกฝ่าย จึงได้แต่ชะงักเท้าไว้เพียงเท่านั้น
เนื่องจากหลวงจีนนั้นไม่ได้มีเจตนาทำร้ายหรือเปลี่ยนผ่านพวกเขา เพียงแค่คิดอยากจะเทศน์เท่านั้น ก็ฟังๆ ไปเถอะ ดีกว่าไปเสี่ยงชีวิตสู้ตาย
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงหยุดชะงักเท้า หลวงจีนจักรกลก็มองดูศพบนพื้นแล้วพูดต่อ
“แม้ประสกยังลุ่มหลงไม่รู้ตื่น แต่องค์ตถาคตพุทธะโพธิ[9]นั้นเปี่ยมเมตตาจิต มิอาจทนเห็นร่างสังขารของประสกถูกทอดทิ้งในแดนร้าง ไม่อาจหลุดพ้นสู่วิมุตติ[10]
“อาตมาจะช่วยส่งวิญญาณของประสก หวังเพียงประสกสามารถละทิ้งกายสังขาร เกิดใหม่ในแดนวิสุทธิ์”
หลงเยว่หงกำลังเฝ้าดูอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเสียงของซางเจี้ยนเย่าก็ดังขึ้นข้างหู
“แล้วท่านตั้งใจจะส่งยังไง”
หลวงจีนจักรกลยื่นมือขวาขึ้นมาเล็งไปยังซากศพ
จากนั้นก็ยกมือซ้ายขึ้นประนมมือข้างเดียว สวดภาวนาด้วยเสียงต่ำ
“นโม อนุตตรสัมมาสัมโพธิ มหาเมตตา มหาการุญ ฉุดช่วยมวลเวไนย เพลิงวิสุทธิ์แผดเผาบ่วง…”
ขณะที่สวดภาวนา ฝ่ามือขวาของหลวงจีนจักรกลก็พ่นเปลวไฟสีขาวที่รุนแรงออกมา ทำให้ศพลุกไหม้ทันที
เปลวไฟนี้ราวกับเกาะแน่นติดกับผิวศพจนไม่อาจจะดับลงได้
เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว หลวงจีนจักรกลห่มจีวรแดงก็หันกลับมาแล้วเดินตรงมายังซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
“ประสกทั้งสอง หลวงจีนยากไร้ผู้นี้มีนามทางธรรมว่า ‘จิ้งฝ่า’ เป็น ‘หลวงจีน’”
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่ได้ตอบสนองอะไร เขาก็นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นทันที สะบัดผ้าคลุมอย่างนุ่มนวลแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์
“นั่งลงเถิด”
ซางเจี้ยนเย่าลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วนั่งลงบนพื้นด้วยท่านั่งที่พร้อมจะกระโดดหนีได้ตลอดเวลา
หลงเยว่หงช้ากว่าไม่กี่วินาที เขาเดินไปตำแหน่งเดียวกันแล้วนั่งลง
แสงสีแดงในดวงตาของหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่าที่เรียกตนเองว่า ‘หลวงจีน’ สว่างวาบขึ้น เขาผงกศีรษะเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ
“ไม่ทราบว่าประสกทั้งสองรู้อะไรเกี่ยวกับพระพุทธะโพธิตถาคตบ้าง”
ซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงพร้อมใจกันส่ายหน้า
จิ้งฝ่าหลวงจีนจักรกลผู้นี้ไม่ได้มีโทสะ น้ำเสียงเย็นชาอันยากอธิบายของเขาฟังดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
“พระพุทธะโพธิตถาคตคือหนึ่งในผู้ครองกาลทั้งสิบสามพระองค์ที่ปกครองกาลเวลาปกครองดูแลโลกใบนี้
“พระองค์เป็นผู้ปกครองเดือนหนึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง เป็นต้นกำเนิดและศูนย์รวมแห่งจิตสำนึกสติสัมปชัญญะ”
* * * * *
[1] ชิปชีวจักรกล (仿生芯片) หรือชิปไบโอนิก เป็นเทคโนโลยีการผสมผสานระหว่างร่างกายแบบชีวภาพเข้ากับชิ้นส่วนของแมคคานิกส์ (จักรกล) และอิเล็กทรอนิกส์ (ไฟฟ้า)
[2] แดนวิสุทธิ์ (净土) แปลว่า “ดินแดนอันบริสุทธิ์” ซึ่งในพุทธศาสนาฝ่ายมหายานหมายถึง แดนสุขาวดีแห่งฟ้าประจิมอันเป็นที่พำนักของพระอมิตาภพุทธเจ้า
[3] ผู้ถูกลิขิต (有缘人) หมายถึง คนที่มีวาสนาสัมพันธ์ต่อกัน คนที่มีบุญสัมพันธ์ต่อกัน คนที่มีบุพเพสันนิวาสต่อกัน
[4] เปลี่ยนผ่าน (渡化) คำว่า“渡”หมายถึง การข้าม เช่น ข้ามคลอง ข้ามแม่น้ำ ข้ามทะเล ข้ามทวีป คำว่า“化” หมายถึงการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนสภาพ รวมคำแล้วความหมายคือ การข้ามเพื่อเปลี่ยนสภาพ
[5] กายเนื้อ กายสังขาร คำศัพท์ทางศาสนาพุทธ ใช้เรียกร่างกายมนุษย์ว่าเป็น กายเนื้อ กายสังขาร กายหยาบ ควบคู่กับ จิตวิญญาณ หรือ กายวิญญาณ
[6] น้ำไหลบ่าสัตว์ป่าบุก (洪水猛兽) หมายถึง ภัยพิบัติใหญ่หลวง
[7] นโม อนุตตรสัมมาสัมโพธิ (南无阿耨多罗三藐三菩提) เป็นคำสวดภาวนาของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน
[8] พุทธจิต (佛性) หมายถึง จิตแห่งพุทธะ ตามแนวคิดของพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ที่กล่าวไว้ว่ามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายล้วนมีจิตเช่นเดียวกับพุทธะ คือ จิตแห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม จึงสามารถบรรลุพุทธะได้เช่นเดียวกับพระพุทธองค์
[9] พุทธะโพธิตถาคต (我佛菩提)
คำว่า ตถาคต(我) คือ คำที่พระพุทธเจ้าใช้ตรัสถึงพระองค์เอง
คำว่า “พุทธะ” (佛) คือ สภาวะพุทธะแห่งพระพุทธองค์ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม
คำว่า “โพธิ” (菩提) แปลว่า ความตรัสรู้ คำว่าโพธิ ยังขยายเป็น โพธิญาณ พระโพธิสัตว์
รวมกันเป็นคำว่า “佛菩提”หมายถึง อีกพระนามหนึ่งของพระศากยมุนีพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า
[10] วิมุตติ (解脱) หมายถึง ความหลุดพ้น หรือพระนิพพาน