รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 39 โบกมือลา
หลังจากนิ้วชี้มือซ้ายของเจี่ยงไป๋เหมียนสอดเข้าไปในรูที่ลำคอของจิ้งฝ่าแล้ว ร่างกายของหลวงจีนจักรกลก็แข็งทื่ออยู่ที่เบาะนั่งราวกับสูญเสียแหล่งจ่ายพลังงานไป
ในขณะเดียวกันไป๋เฉินก็ปล่อยเท้าขวาที่เหยียบคันเร่ง ก้มตัวไปด้านข้างพยายามหยิบปืนยิงระเบิดบนตักเจี่ยงไป๋เหมียน
เมื่อหลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าเห็นเช่นนี้ ต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองแทบจะพร้อมกันทันที
หลงเยว่หงรีบยกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นมาจ่อที่ท้ายทอยของจิ้งฝ่า
ส่วนซางเจี้ยนเย่าเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย นัยน์ตาดำมืดลงโดยพลัน
“อาจารย์เซน ท่านดู…”
เพิ่งพูดออกไปได้สี่คำ เขาก็เห็นร่างของเจี่ยงไป๋เหมียนทรุดฮวบลงไปกับเบาะที่นั่ง
มือซ้ายเธออ่อนแรงร่วงหลุดจากลำคอของจิ้งฝ่า ดวงตาเลื่อนลอยสับสน พึมพำถ้อยคำแปลกๆ ออกมา
“ฉันเป็นใคร… มาทำอะไรที่นี่…”
ผัวะ!
ร่างหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่ากลับคืนสู่สภาวะปกติ เขาก้มตัวลงเหยียดมือซ้ายไปข้างหน้าจับคอไป๋เฉินล็อคเอาไว้ ทำให้เธอไม่สามารถหยิบปืนยิงระเบิดขึ้นมาได้
แคร้ง! แคร้ง!
กระสุนของหลงเยว่หงพุ่งเข้าสู่ท้ายทอยจิ้งฝ่าอย่างแม่นยำแต่มีเพียงแค่ประกายไฟกระจายออกมาพร้อมกับรอยบุบตื้นๆ สองรอยแค่นั้น
ไม่เพียงเท่านั้น กระสุนที่เด้งสะท้อนกลับมายังเฉียดใบหน้าหลงเยว่หงแล้วแฉลบค้ำซี[1]พุ่งปลิวออกไปนอกหน้าต่างรถจี๊ป
เมื่อเห็นเช่นนั้น ม่านตาของซางเจี้ยนเย่าก็ขยายออก รีบพูดคำพูดที่เตรียมไว้ออกมาเป็นชุดอย่างต่อเนื่องไม่ตะกุกตะกัก
“ท่านมีจิตสำนึกของมนุษย์ ผมก็มีจิตสำนึกของมนุษย์”
จิ้งฝ่าที่หัวเข่าข้างหนึ่งวางอยู่บนกล่องพักแขนและจับคอไป๋เฉินล็อคไว้ก็หมุนคอหันหน้ามามองซางเจี้ยนเย่า
บางทีอาจเป็นเพราะว่าซางเจี้ยนเย่าเคยถามคำถามและพูดคุยสนทนากันฉันท์มิตรมาก่อน หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะซางเจี้ยนเย่าไม่ใช่ผู้หญิง หลวงจีนจักรกลจึงไม่ได้หยุดยั้งอีกฝ่ายในทันที เพียงแค่จ้องมองซางเจี้ยนเย่าด้วยดวงตาเรืองแสงสีแดงเท่านั้น
ซางเจี้ยนเย่ารีบพูดต่อ
“ท่านเป็นผู้ตื่นรู้
“ผมก็เป็นผู้ตื่นรู้
“ดังนั้น…
เมื่อหลงเยว่หงได้ยินก็หันหน้ามาด้วยความงุนงง และความสับสนในดวงตาของเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็จางลงไปเล็กน้อย
แสงสีแดงในดวงตาของจิ้งฝ่ากะพริบอย่างรวดเร็วอยู่ชั่วอึดใจก่อนกลับคืนเป็นปกติ
น้ำเสียงเย็นชาไร้อารมณ์ของเขาเจือความลังเล
“ดังนั้น… พวกเรา… ก็เป็นมิตรกันสินะ”
“ใช่ครับ!” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างแรง
จิ้งฝ่าลังเลอยู่สองวินาทีก่อนจะคลายมือซ้ายที่จับคอของไป๋เฉินออก
ตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนดูเหมือนว่าหลุดออกจากสถานะผิดปกติเมื่อก่อนหน้าแล้ว เธอมองกลับไปกลับมาระหว่างซางเจี้ยนเย่ากับจิ้งฝ่าด้วยความแปลกใจและสับสน
ขณะที่กำลังจะหยิบปืนยิงระเบิดอย่างเงียบเชียบโดยไม่คำนึงถึงว่าแรงระเบิดจะส่งผลต่อตัวเองกับคนอื่นๆ หรือไม่ เธอก็เห็นซางเจี้ยนเย่าสั่นศีรษะสองครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความนัย จึงคลายมือจากปืนยิงระเบิด
ในขณะเดียวกันเธอก็ปิดปากแน่นไม่ส่งเสียงอะไรออกมา เพื่อไม่ให้ไปดึงความสนใจของจิ้งฝ่า
ในระหว่างนี้เธอก็ชูนิ้วชี้มือขวาไว้ที่ปากเพื่อส่งสัญญาณบอกไป๋เฉินว่าห้ามขยับเด็ดขาด
ซางเจี้ยนเย่ายังคงจ้องมองจิ้งฝ่าแล้วพูดอย่างจริงใจ
“อาจารย์เซน ความปรารถนาดีของท่าน พวกเราขอรับด้วยใจ
“ส่งกันพันลี้ ยังคงต้องจาก เช่นนั้นเราแยกกันตรงนี้ดีไหม”
จิ้งฝ่าคิดแล้วคิดอีก แล้วผงกหัวขึ้นลง
“ได้”
ซางเจี้ยนเย่ารีบเอี้ยวตัวไปด้านข้างเพื่อเปิดประตูรถทันที แล้วก็เดินออกไปก่อนเพื่อเปิดทางให้
จิ้งฝ่าเองก็ไม่ได้รีรอ ลงจากรถจี๊ปอย่างรวดเร็ว
หลงเยว่หงที่เห็นเหตุการณ์มาโดยตลอดถึงกับอ้าปากค้าง รู้สึกราวกับว่าตนเองกำลังฝันไป
นี่มันพิลึกพิลั่นสุดๆ!
เมื่อลงจากรถไปแล้ว จิ้งฝ่ากำลังจะประนมสองมือ แต่ซางเจี้ยนเย่ารีบยื่นมือขวาออกมาเสียก่อน
จิ้งฝ่าลังเลอยู่อึดใจ แต่สุดท้ายก็ยื่นมือขวาออกมา
หนึ่งอุ้งมือเนื้อหนังของมนุษย์ หนึ่งอุ้งมือขนาดใหญ่ที่สร้างจากโลหะสีดำ ก็ประสานเข้าด้วยกันในลักษณะนี้
ซางเจี้ยนเย่าเขย่ามือเบาๆ สองครั้งแล้วปล่อย
จากนั้นก็กลับเข้ามานั่งที่เบาะด้านหลังของรถจี๊ปแล้วปิดประตู
เมื่อเห็นว่าหลวงจีนจักรกลจิ้งฝ่ายังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ซางเจี้ยนเย่าก็ยกมือขวาขึ้นมาโบกมือลาผ่านหน้าต่างรถที่เปิดกระจกไว้
“ลาก่อน!” เขาตะโกนออกมาอย่างจริงใจ
จิ้งฝ่าในชุดหลวงจีนห่มจีวรแดงก็รีบโบกมือตอบรับ
“ลาก่อน”
โดยไม่ต้องรอให้ซางเจี้ยนเย่าเตือนสติ ไป๋เฉินซึ่งนั่งอยู่ในตำแหน่งคนขับเรียบร้อยแล้ว ก็แตะคันเร่งให้รถจี๊ปพุ่งทะยานออกไปทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่พูดอะไรและก็ไม่ให้ไป๋เฉินส่งเสียงด้วย เธอเพียงแค่มองร่างหลวงจีนจักรกลผู้สวมชุดหลวงจีนสีเหลืองห่มจีวรสีแดงจากกระจกหลังที่ค่อยๆ เล็กลงและห่างออกไปเรื่อยๆ
หลังจากที่มองไม่เห็นร่างของสมาชิกซึ่งสุดแสนจะน่าหวาดหวั่นจากชุมนุมหลวงจีนแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนคำนวณระยะห่างในใจอย่างคร่าวๆ จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยเสียงต่ำ
“ผลนี้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้กังวลอะไร เขาตอบอย่างใจเย็น
“ถ้าคนรอบข้าง เหตุการณ์รอบข้าง และสภาพแวดล้อมรอบข้าง ยังคงสร้างคำตอบเดิมให้เขา เขาจะไม่มีทางสังเกตเห็นความผิดปกติได้ จนกว่าเขาจะพบจุดขัดแย้งหรือว่าผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามนั่นแหละ
“แต่ว่าตอนนี้รอบข้างเขาไม่มีใครหรือไม่มีอะไรที่บอกเขาว่าพวกเราเป็นมิตร ดังนั้นจึงไม่สามารถคงสภาพข้อพิสูจน์แบบวนลูปต่อเนื่องไปได้ อีกภายในห้านาทีหรืออาจจะน้อยกว่านั้น เขาก็น่าจะรู้สึกถึงความผิดปกติและจำได้ว่ามีผู้หญิงสองคนอยู่ในทีมเรา รู้ว่าตัวเองมีทัศนคติยังไงต่อผู้หญิง”
หลงเยว่หงยังคงอ้าปากค้างไม่ยอมหุบ การได้ฟังคำอธิบายของซางเจี้ยนเย่าทำให้เขารู้สึกเหมือนว่ากำลังฟังเรื่องเล่าจากรายการวิทยุอย่างไรอย่างนั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่เสียเวลา รีบหันหน้าไปหาไป๋เฉินทันที
“ไป๋เฉินจอดรถก่อน เปลี่ยนกันขับ”
“หัวหน้า ฉันคุ้นกับทางในแดนร้างบึงดำมากกว่า” ไป๋เฉินให้เหตุผล แต่ขณะเดียวกันก็แตะเบรคเบาๆ โดยไม่ได้ยืนกราน
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รีบร้อนอธิบายออกมา เธอเปิดประตูรถก่อนจะสลับที่กับไป๋เฉินเข้าไปที่นั่งคนขับ
หลังจากรถจี๊ปเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง เธอมองตรงไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้น
“ฉันเข้ารับการดัดแปลงพันธุกรรมและได้ความสามารถพิเศษบางอย่างมา”
พอได้ยินคำพูดนี้ ทั้งไป๋เฉิน หลงเยว่หง และซางเจี้ยนเย่า ต่างก็พากันอึ้งไป
ถึงแม้จะเป็น ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ก็ตามที แต่เทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรมนั้นยังคงห่างไกลจากความสมบูรณ์อยู่อีกมาก ความล้มเหลวก็ค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงไม่มีใครอยากอาสาเป็นหนูทดลอง
“ที่ตอนนั้นทำแบบนั้นก็เพื่อช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ซึ่งทำพร้อมกับขั้นตอนการปลูกถ่ายแขนชีวภาพ” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ในร่างกายฉันมีเซลล์พิเศษที่สามารถจับสัญญาณสนามไฟฟ้าในรัศมีใกล้ตัวได้ เวลาที่มนุษย์และสัตว์ขยับตัวเคลื่อนไหว การหดตัวของกล้ามเนื้อและปฏิกิริยาที่เกี่ยวเนื่องจะทำให้เกิดสัญญาณไฟฟ้าอ่อนๆ ดังนั้นตราบใดที่ศัตรูเข้ามาในระยะทำการ ไม่ว่าจะซ่อนตัวอยู่หรือไม่ ฉันก็สามารถตรวจหาตำแหน่งและสภาวะเขาได้อย่างง่ายดาย”
“มิน่าล่ะ ตอนที่นักล่าที่ใส่ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเข้ามาใกล้ คุณถึงได้รู้สึกตัวเร็วกว่าฉัน…” ไป๋เฉินนึกออกทันที
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็ได้รับคำตอบที่เคยสงสัยเมื่อก่อนหน้านี้เช่นกัน
ย้อนกลับไปตอนที่เฝ้ายามกลางคืนเป็นครั้งแรก เมื่อซางเจี้ยนเย่าได้พบร่องรอยของมนุษย์ แต่เจี่ยงไป๋เหมียนกลับไม่ได้สงสัยอะไร แล้วก็ไม่ได้สั่งให้พวกเขาออกไปค้นบริเวณโดยรอบด้วย เธอคงรับรู้ถึงลักษณะของมนุษย์และสภาวะของเขาได้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ถึงได้ตัดสินใจแบบนั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนรีบพูดต่อในขณะที่กำลังขับรถ
“งูเหล็กบึงดำตัวนั้นน่าจะอยู่ในสภาวะกึ่งจำศีล สัญญาณไฟฟ้าที่แผ่ออกมาก็เลยอ่อนมาก ตอนนั้นฉันก็เลยคิดว่าเป็นแค่สัตว์ธรรมดา เลยไม่รู้ตัวล่วงหน้า
“แต่ว่าจิ้งฝ่าเป็นหลวงจีนจักรกล ทุกการเคลื่อนไหวของร่างกายล้วนต้องอาศัยพลังงานไฟฟ้าอย่างมาก ดังนั้นฉันก็เลยตรวจจับได้ตั้งแต่ไกลๆ และประเมินว่าเขากำลังทำอะไร
“เมื่อกี้ตอนที่เขาจู่โจมเรา ฉันได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ฉันจงใจให้ไป๋เฉินลดความเร็วลงเพื่อล่อให้เขาโจมตีใส่ หวังว่าจะฉวยโอกาสทำลายหรือไม่ก็ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส
“ฉันไม่ได้บอกพวกนายก่อนหน้านี้ว่าจิ้งฝ่าเป็นหลวงจีนจักรกลที่ดันทุรังมาก ถ้าถูกเขาตามกัดเมื่อไหร่ จะไม่มีทางยอมเลิกราเด็ดขาด ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเขาทิ้งเท่านั้น แต่นั่นมันอันตรายเกินไป ทางที่ดีที่สุดก็คือทำให้เขาบาดเจ็บและสูญเสียความสามารถในการไล่ล่าเราชั่วคราว แต่น่าเสียดาย ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะเป็นผู้ตื่นรู้ด้วย เป็นหลวงจีนจักรกลแถมยังเป็นผู้ตื่นรู้อีก ครั้งนี้พวกเราอาจตายกันหมดยกทีม
“เรื่องนี้ ฉันต้องขอโทษทุกคนจริงๆ
“ถ้าจิ้งฝ่าตามมาทัน เขาต้องโจมตีระยะไกลแน่นอน ที่นี่มีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ตัวก่อนล่วงหน้า สามารถขับรถหลบได้ทันเวลา อ้อ… ถ้าใช้คำพูดบอกมันจะไม่ทันการน่ะ”
ไป๋เฉินพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจ
“งั้นฉันจะช่วยสังเกตถนนข้างหน้ากับสภาพถนนให้นะ จะได้คอยบอกแต่เนิ่นๆ ว่าทางไหนไปไม่ได้
“ใช้ตำแหน่งนาฬิกาบอกดีไหม”
ด้านหลังลำคอของเธอมีรอยนิ้วมือห้ารอยสีแดงก่ำปรากฏอยู่ ซึ่งดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนชะลอความเร็วเพื่อให้รถจี๊ปหลบสิ่งกีดขวางได้ราบรื่นขึ้น
ขณะเดียวกันก็มองกระจกหลังไปด้วย
“ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง รีบตกลงกันว่าใครจะสวมเกราะกระดูกเสริมแรงเพื่อเป็นกำลังหลักในการรับมือจิ้งฝ่า”
ก่อนที่หลงเยว่หงจะอ้าปาก ซางเจี้ยนเย่าก็พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผมเอง”
เขามองหลงเยว่หงที่กำลังจะแย้ง อธิบายแบบรวบรัดว่า
“จิ้งฝ่าเองก็เป็นผู้ตื่นรู้ ในเรื่องนี้นายเทียบเขาไม่ได้ ฉันต้องใช้ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเพื่อย่นระยะห่าง”
“…ตกลง” หลงเยว่หงยืดตัวแล้วก้มลงไปช่วยซางเจี้ยนเย่าลากเอาลังใส่ชุดเกราะกระดูกเสริมแรงออกมาจากใต้ที่นั่ง
จากนั้นก็ช่วยซางเจี้ยนเย่าสวมชุดเกราะ
“อย่าลืมเปลี่ยนแบตสำรองประสิทธิภาพสูงด้วยล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเตือน
กองกำลังขนาดใหญ่ที่สามารถผลิตแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงได้จริงนั้นมีจำนวนน้อยมาก ในขณะนี้มีเพียง ‘ออเรนจ์คอมพานี’ กับ ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’[2] สองแห่งเท่านั้นที่ผลิตออกมาได้ ผลิตภัณฑ์จากกองกำลังอื่นๆ ทำได้มากสุดก็เพียงแค่อุปกรณ์เกรดรองที่มีประสิทธิภาพด้อยกว่า ซึ่งเหมาะสำหรับใช้ในภาคครัวเรือนในรัศมีเขตอิทธิพลของกองกำลังเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้อุปกรณ์ทางทหารสารพัดชนิดจึงต้องออกแบบให้สามารถใช้งานแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงร่วมกันได้อย่างน้อย 50% และในครั้งนี้ทีมสำรวจเก่าก็ค่อนข้างโชคดีที่แบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงของรถจี๊ปกับของเกราะเสริมแรงทางทหารนั้นเป็นผลิตภัณฑ์มาตรฐานเดียวกันซึ่งผลิตโดย ‘ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์’
“ครับ” ซางเจี้ยนเย่าเองก็ไม่กล้าประมาทเรื่องนี้
หลังจากเปลี่ยนแบตเตอรี่เสร็จแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็สวมกล่องพลังงานสะพายหลังและชุดเกราะเสริมแรง ก้มตัวเพื่อคาดสายรัดหัวโลหะสำหรับจุดข้อต่อต่างๆ แล้วก็ถามขึ้นมา
“หัวหน้า ก่อนหน้านี้ที่คุณแฮคเข้าไปในระบบของจิ้งฝ่า ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ล้มเหลวล่ะ”
เขาคาดว่านั่นคงเป็นหนึ่งในพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้ของจิ้งฝ่า
ในตอนนี้เขารู้จักพลังของจิ้งฝ่าอยู่สองชนิด นั่นคือ
‘เปรตหิวโหย’ และ ‘ประสานใจ’
* * * * *
[1] ค้ำซี (C柱) C-pillar เป็นตำแหน่งค้ำในบริเวณประตูด้านหลังของรถยนต์ บางแห่งก็เรียกเสาซี
[2] ฟิวเจอร์อินเทลลิเจนซ์ (未来智能 Future Intelligence) หมายถึง ระบบปัญญาเทียมหรือปัญญาประดิษฐ์