รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 45 คืนที่สาม
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ คล้อยลงต่ำ ขอบฟ้าอาบไล้ด้วยแสงสีส้มทอง ในแดนร้างผืนดินสีเทาแก่มีต้นไม้ปรากฏให้เห็นเพียงประปราย
หลงเยว่หงมองเห็นร่างคนสองสามคนจากที่ไกลๆ กำลังมุ่งหน้าขึ้นเหนือจึงถามด้วยความสงสัย
“ทำไมนักล่าบางคนถึงเดินเท้าล่ะ
“แบบนี้ก็ไม่ทันพวกที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วน่ะสิ”
ตั้งแต่พวกเขาแยกกับกลุ่มของอู๋โส่วสือเพื่อมุ่งหน้าไปเมืองหนูดำ ระหว่างทางก็เห็นกลุ่มนักล่าซากอารยะหลายกลุ่มเดินทางไปยังด้านเหนือของสถานีเยว่หลู่
พวกนักล่าเหล่านี้ บ้างก็ขับรถดัดแปลง บ้างก็ขี่มอเตอร์ไซค์เสียงกระหึ่ม บ้างก็ปั่นจักรยาน บ้างก็ขี่ม้าที่ฝึกจนเชื่องแล้ว แม้ว่ายวดยานพาหนะจะร้อยแปดพันเก้า บางทีก็หน้าตาประหลาดไปบ้าง แต่ก็ล้วนใช้พาหนะ
ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่ เหลือบมองเขาแล้วตอบแบบสั้นๆ
“พวกเขามาเพื่อเก็บของเหลือน่ะ”
“หมายความว่าไง” หลงเยว่หงถาม
เจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่เบาะด้านข้างคนขับ กำลังเอาปืนพกขึ้นมาตรวจเช็คสภาพ พูดโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง
“พวกเขาเจตนาเดินเท้าเพราะไม่อยากจะไปถึงซากเมืองเป็นกลุ่มแรกๆ น่ะ
“ปล่อยให้พวกที่ไปถึงก่อนช่วยเหยียบระเบิด[1] และขจัดพวกอันตรายสารพัดให้เรียบร้อยก่อน
“แม้ว่าวิธีนี้จะทำให้พวกเขาหมดสิทธิ์ได้รับข้อมูลชุดแรกและเลือกพวกข้าวของมีค่าก่อน แต่ก็ปลอดภัยมากขึ้น ตราบใดที่ไม่บุกลุยเข้าไปในส่วนลึกใจกลางเมืองก็มีโอกาสอยู่รอดปลอดภัย แล้วเมืองใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้เป็นทีมจากกองกำลังใหญ่เข้าไปก็ไม่มีทางกวาดเอาทุกอย่างจากย่านชานเมืองของซากปรักไปจนเกลี้ยงได้หรอก และไม่สามารถป้องกันทางเข้าได้หมดทุกทางด้วย”
หลงเยว่หงเข้าใจมากยิ่งขึ้น ก่อนจะถามต่ออีก
“แต่แบบนี้พวกเขาก็ขนข้าวของกลับไปได้ไม่มาก ของที่พกติดตัวหรือแบกขึ้นบ่า จะเอาไปได้ซักเท่าไหร่เชียว จะคุ้มไหมล่ะนั่น แบบนี้ไม่ต้องไปก็ได้”
เจี่ยงไป๋เหมียนเงยหน้าขึ้นมาหัวเราะเยาะ
“ดูท่าแล้วนายไม่เข้าใจเกี่ยวกับซากเมืองจริงๆ นั่นแหละ
“ที่นั่นมีรถเก่าอยู่เพียบ รวมทั้งอะไหล่อีกสารพัดชนิด ขอเพียงแค่นายซ่อมรถเป็น ก็สามารถ ‘เตรียม’ พาหนะบรรทุกของออกจากที่นั่นได้ ฮ่า ฮ่า แค่ตัวพาหนะบรรทุกนั่นก็ถือว่าเป็นกำไรมากโขแล้วเหมือนกัน
“ที่จริงแล้วเมื่อเทียบกับคนที่ขับรถไปเอง นี่เรียกได้ว่ากอบโกยได้เยอะกว่าอีกนะ เยอะกว่ามากๆ เลยล่ะ”
หลงเยว่หงคิดใคร่ครวญตามแล้วก็รู้สึกว่าเป็นตามนั้นจริงๆ
ทีมนักล่าของอู๋โส่วสือมีสี่คน พวกเขาขับรถออฟโรดสีเทา พอไปถึงซากเมืองแล้ว ถ้าหากพวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงหรือกำจัดอันตรายต่างๆ ได้ อย่างมากสุดก็เอารถกลับมาเพิ่มได้อีกเพียงแค่สามคันกับข้าวของที่บรรทุกเต็มรถสี่คัน ของอื่นๆ มากกว่านั้นก็ไม่สามารถขนออกมาได้แล้ว
แต่ถ้าเป็นนักล่าสี่คนที่เดินเท้าเข้าไป แบกเต็นท์สะพายอาวุธ พวกเขาสามารถนำรถกลับออกมาได้ถึงสี่คันกับข้าวของเต็มรถสี่คัน
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดแล้วพึมพำออกมา
“ประเด็นสำคัญของการขับรถก็เพื่อประหยัดเวลาเดินทางและไม่ให้เหน็ดเหนื่อยเพื่อจะได้รักษาความแข็งแกร่งของร่างกายเอาไว้ไม่ใช่เหรอ”
เจี่ยงไป๋เหมียนเหน็บปืน ‘ยูไนเต็ด 202’ กลับคืนไว้ที่เข็มขัด และชี้ไปยังกลุ่มคนที่อยู่ไกลออกไป “ถูกต้อง เพราะฉะนั้นพวกที่เดินเท้าเข้าไป พอถึงสถานีเยว่หลู่ก็จะต้องพักผ่อนอย่างน้อยก็วันนึงล่ะ พวกเขาไม่จำเป็นรีบร้อนเข้าไป”
เธอหันมองดูรอบตัว
“เกือบค่ำแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้คงไปไม่ถึงเมืองหนูดำแล้วล่ะ
“ไปหาเนินดินเพื่อใช้เป็นที่ตั้งค่ายกันก่อนก็แล้วกัน รอถึงรุ่งสางค่อยออกเดินทางต่อ”
“รับทราบ” “ทราบแล้ว” ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ตอบรับทีละคน
ไม่นานนักพวกเขาก็พบเนินดินขนาดเล็กในแดนร้างสีเทาแก่ แล้วตั้งเต็นท์บริเวณใต้ลมด้านหลังเนินดิน
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูกองไฟ จากนั้นก็ตบมือแล้วพูดขึ้นมา
“ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง ภารกิจของพวกนายเมื่อตอนบ่ายยังไม่ลุล่วง!”
“หือ” หลงเยว่หงรู้สึกงุนงงเล็กน้อย
ต้องใช้เวลาสองสามวินาทีถึงจะจำได้ว่าภารกิจที่ซากปรักโรงงานเหล็กยังไม่สำเร็จเรียบร้อยดี ภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างแรกก็คือให้หาอาหารด้วยความสามารถตัวเอง และอีกเรื่องคือวาดแผนผังของซากปรักโรงงานเหล็ก
“แต่ว่าการสำรวจของพวกเราถูกจิ้งฝ่าเข้ามาขัดจังหวะ ตอนนี้กลับไปไม่ได้แล้ว และต้องไปเมืองหนูดำกันต่ออีก” หลงเยว่หงรีบปกป้องตัวเอง
ซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้างเขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยรอยยิ้ม รู้ดีว่าหัวหน้าทีมของพวกเขานั้น ‘เจตนาหาเรื่อง’
เจี่ยงไปเหมียนมองไปรอบๆ แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม
“ดังนั้นฉันก็จะมอบหมายภารกิจอื่นที่พวกนายสามารถทำให้ลุล่วงได้ในตอนนี้แทน”
จากนั้นเธอก็ก้มมองดูนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์เรือนสีดำบนข้อมือตัวเอง
“ก่อนมืดพวกนายจะต้องล่าสัตว์มาให้ได้ ตัวเล็กตัวใหญ่ก็ได้ทั้งนั้น”
เมื่อพูดจบก็เงยหน้ามองซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
“เอาแผนผังที่วาดเสร็จแล้วมาให้ดูหน่อยซิ”
ซางเจี้ยนเย่ารีบส่งกระดาษวาดแผนผังซึ่งมีเพียงแค่ตำแหน่งของโรงพยาบาลกับสถานีวิทยุไปให้ทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนยื่นมือออกไปรับแล้วคลี่กระดาษออกมาดู ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นประหลาดพิกล
“เขียนกำกับห้องส้วมไว้ทำไม ไม่ได้กลับไปใช้สักหน่อย”
หัวหน้า ไหงพูดทะแม่งทะแม่งแบบนี้ล่ะ… หลงเยว่หงไม่กล้าพูดสิ่งที่คิดไว้ออกมา
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ความพิถีพิถันและสมจริงคือมาตรฐานการวาดแผนผังของผมครับ”
“นายเคยวาดแผนผังมาแล้วเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนข้องใจนิดหน่อย
“ไม่เคย” ซางเจี้ยนเย่าส่ายหน้าเรียบๆ
“ถ้างั้นทำไม…” เจี่ยงไป๋เหมียนกลืนคำพูดที่เหลือลงคอทันที จากนั้นก็โบกมือไล่ “ออกไปล่าเถอะ”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่รอช้า ต่างก็ถือปืนไรเฟิลจู่โมเดินไปยืนบนเนินดินเตี้ยๆ หันมองไปรอบๆ
ในสายลมยามเย็น วัชพืชในแดนร้างพลิ้วไหวเบาๆ สะท้อนแสงที่กระเจิงมาจากดินสีเทาแก่และโขดหินรายรอบ
ทั้งคู่กวาดสายตามองแว่บแรก ก็เห็นเพียงแค่ต้นไม้นับสิบนับร้อยต้น ไม่ต้องพูดถึงบรรดาสิงสาราสัตว์ต่างๆ เลย
นี่หมายความว่าทั้งซางเจี้ยนเย่าและหลงเยว่หงต่างก็ไม่เจอสัตว์อะไรให้ล่า
“ไปทางไหนกันดี” หลงเยว่หงถามด้วยความเคยชิน
ซางเจี้ยนเย่ามองไปที่ลำน้ำสายเล็กๆ ข้างเนิน
“เดินเลาะทางน้ำไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน ไปหาแม่น้ำ ที่นั่นน่าจะมีปลาให้จับ”
“อืม” สีหน้าหลงเยว่หงเริ่มผ่อนคลาย
แต่แล้วก็รู้สึกลังเลก่อนจะพูดขึ้นมา
“แบบนี้จะนับเป็นการล่าสัตว์หรือเปล่าเนี่ย”
“ถ้าดูที่วัตถุประสงค์ก็ถือว่าใช่แหละ” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ปัญหาก็คือต้องไปไกลถึงไหนถึงจะหาปลาได้”
“…ถ้างั้น เราก็ล่าสัตว์อื่นข้างทางไหมล่ะ” จู่ๆ หลงเยว่หงก็เกิดความคิดพิสดารขึ้นมา “ซางเจี้ยนเย่า นายใช้พลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ เรียกเหยื่อมาให้จับได้ไหม”
ซางเจี้ยนเย่ามองหลงเยว่หงหัวจรดเท้า
“ก่อนอื่นนายต้องทำให้มันฟังฉันพูดรู้เรื่องซะก่อน ต่อจากนั้นนายต้องทำให้มันอยู่กับที่แล้วฟังฉันพูด”
“…ก็จริงนะ” หลงเยว่หงอ้าปากอยากถามอะไรอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
พอคิดสักพักก็เสนอขึ้นมา
“จะทะเล่อทะล่าเดินไปเรื่อยเปื่อยคงไม่เข้าท่า พวกเราไปปรึกษากับไป๋เฉินก่อนดีกว่า”
“ก็ดี” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ใส่ใจ เขากลับหลังหันเดินตรงไปยังรถจี๊ปที่จอดอยู่ใกล้กองไฟ
หลงเยว่หงมองดูแผ่นหลังเขาแล้วนิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“ไป๋เฉิน แถวนี้จะไปหาเหยื่อกันที่ไหนดี” พอมาถึงรถจี๊ป ซางเจี้ยนเย่าก็ถามออกมาตรงๆ
ไป๋เฉินชี้ไปยังบริเวณที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ประปราย
“ลองไปแถวนั้นดูสิ น่าจะมีกระต่ายอยู่นะ
“ลองดูสังเกตดูว่ามีรอยเท้ายหรือกองอึ…”
เธอสอนเทคนิคการล่ากระต่ายแบบรวบรัดให้ฟัง แล้วพูดต่อ
“ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป ฉันจะแนะนำให้วางกับดักและใช้เครื่องมือ แต่พวกนายเป็นนักแม่นปืน ทำแค่รออย่างใจเย็นก็พอแล้ว”
“อืม” หลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าพลันรู้สึกมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
* * * * *
หนึ่งชั่วโมงถัดมา แสงตะวันรอนอ่อนแรง ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเดินกลับมาที่กองไฟ สีหน้าดำทะมึนราวถ่านไม้
คนแรกนั้นในมือถือกระต่ายสีขาวหม่น มีเลือดไหลหยดตลอดทาง
เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังนั่งผิงไฟก็ลุกยืนขึ้นมา “พวกนายหายไปตั้งนาน แต่จับกระต่ายมาได้แค่ตัวเดียวเนี่ยนะ”
“กระต่ายมันมีความรู้สึกไวมาก วิ่งก็เร็ว แถมยังมีตั้งหลายโพรงให้มุดหนีอีก…” หลงเยว่หงแสดงสีหน้าลำบากใจ
เจี๋ยงไป๋เหมียนยิ้มและช่วยต่อประโยคให้เขา
“นอกจากนั้นแล้ว วันนี้ยังมีคนผ่านไปผ่านมาตั้งเยอะแยะ ทำให้พวกมันตื่นตกใจ ก็เลยยิ่งจับยากเข้าไปอีก”
“ใช่ ใช่ ใช่!” หลงเยว่หงรีบขานรับ
ซางเจี้ยนเย่าขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“พวกเราเองก็ดูถูกกระต่ายมากเกินไป คิดว่าจะจับพวกมันได้ง่ายๆ”
“ถูกต้อง ประสบการณ์ครั้งนี้จะเป็นบทเรียนต่อไปในวันข้างหน้า” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่กองไฟ “จับมันถอนขน รินเลือดทิ้ง แล้วเอาไปย่าง”
หลังจากนั้นไม่นาน เจ้ากระต่ายก็ถูกจับมัดไว้กับกิ่งไม้ขนาดใหญ่ ย่างไว้เหนือเปลวไฟสีแดง
ไป๋เฉินโรยเกลือลงบนเนื้อกระต่ายเป็นครั้งคราว ทำให้หนังมันค่อยๆ กลายเป็นสีทองอร่าม ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมา เป็นกลิ่นที่ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
“ท่าทางน่าอร่อย…” หลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าพูดเป็นเสียงเดียวกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ตอนนี้ทำได้แค่นี้แหละ
“พอไม่มีน้ำมันทา ไม่มีเครื่องเทศโรย เนื้อกระต่ายจะแห้งมาก กินยากไปหน่อย”
“หรูเกินไปแล้ว” ทั้งซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงต่างก็พูดออกมาอย่างไม่รู้ตัว
เอาน้ำมันมาทาเวลาย่าง นี่มันสิ้นเปลืองเกินไปแล้ว!
เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงจ้องมองกระต่ายโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองพวกเขา
“บางทีเราก็ไม่มีภาชนะที่เอามารองน้ำมันที่หยดลงมา เลยต้องจัดการแบ่งชิ้น แล้วย่างกันเป็นส่วนๆ ไป
“ในแดนร้างแบบนี้ ต้องรู้จักปรับตัวประยุกต์ไปตามสภาพ”
ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังพูด จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปยังอีกฟากของเนินดินเล็กๆ
“มีสองคนกำลังตรงเข้ามา”
หลงเยว่หงที่กำลังเฝ้าระวังบริเวณโดยรอบ ก็พลันยกปากกระบอกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นมาทันที ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินเองก็มองตามไปเช่นกัน
ไม่กี่นาทีต่อมาก็เห็นคนทั้งคู่
เป็นคู่ชายหญิง ฝ่ายชายสูง 180 เซนติเมตร วัยเกือบสี่สิบปี ผมยาวสีดำ ไว้เคราที่ดูแล้วมีสง่าราศี ถึงแม้ว่าอายุจะเกือบเข้าวัยกลางคนแล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเคยเป็นหนุ่มรูปงามมาก่อน
ฝ่ายหญิงสูงราว 170 เซนติเมตร ผมบลอนด์ ตาสีฟ้า โครงหน้าชัดเจน แลดูงดงามอย่างยิ่ง
สิ่งที่ทั้งคู่เหมือนกันก็คือสวมเสื้อคลุมค่อนข้างหลวมแบบที่ไม่ค่อยได้พบเห็นมากนัก ตัวหนึ่งสีดำ อีกตัวหนึ่งสีน้ำเงินหม่นและเต็มไปด้วยลวดลายแปลกตาซึ่งเป็นสัญลักษณ์เชิงนามธรรม
เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกคิ้วถามเสียงดัง
“ทั้งสองท่านมีธุระอะไรเหรอ”
หญิงสาวผมบลอนด์ตาสีฟ้าสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินหม่นหยุดฝีเท้าทันที มือซ้ายประสานกุมมือขวายกขึ้นมาในระดับคิ้วก่อนโค้งคำนับ
“มหาเทพทรงประทานพร[2]”
เธอใช้สำเนียงภาษาแดนธุลีที่ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ได้ใช้ภาษาแม่น้ำแดงตามรูปลักษณ์ของเธอ
ชายวัยกลางคนพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับชี้ไปทางหญิงสาวผมบลอนด์ตาสีฟ้าข้างกาย
“ฉันไม่รู้จักเธอหรอก เพิ่งจะได้เจอกันไม่นาน ก็เผอิญได้กลิ่นหอมฉุยลอยมาจากทางนี้ เลยลองเสี่ยงโชคดูเผื่อว่าจะมีใครใจดีมีเมตตาอยู่แถวนี้บ้างน่ะ”
“คงใจดีไม่ได้หรอก มีแค่นี้เอง” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้กระต่ายตัวเล็กบนกองไฟ พูดตอบอย่างสุขุมเยือกเย็น
“ไหนๆ ก็ได้มาเจอกันแล้ว มานั่งคุยกันซักหน่อยดีไหมล่ะ” ชายวัยกลางคนยังคงรักษารอยยิ้มไว้ “ไม่ใช่ว่าอยากจะโอ้อวดหรอกนะ แต่ใครๆ ก็ชมว่าฉันมีความรู้กว้างขวาง ประสบการณ์มากมาย”
พอได้ยินแบบนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ส่งสัญญาณบอกใบ้ให้ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ คอยระวังไว้
แล้วเธอก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้สิ”
* * * * *
[1] เหยียบระเบิด (踩雷) เปรียบเปรยถึง การเสี่ยง ลองผิดลองถูก
[2] มหาเทพทรงประทานพร (福生无量天尊) เป็นพระนามขององค์เทพสูงสุดของลัทธิเต๋า มีนัยแฝงถึงการอวยพรให้ชีวิตมีโชคลาภอย่างหาที่สุดมิได้ เทียบได้กับคำพูดหลวงจีนฝ่ายมหายานว่า อมิตาพุทธ (阿弥陀佛) ซึ่งเป็นการเอ่ยพระนามของพระอมิตาภะพุทธเจ้า