รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 48 มนุษย์ชั้นรอง
‘มนุษย์ชั้นรอง…’ เมื่อได้ยินคำนี้ ในหัวของหลงเยว่หงก็เชื่อมโยงไปถึงคำว่า ‘โหดร้าย’ ‘ชั่วร้าย’ ‘พิการ’ ‘สกปรก’ ‘แหล่งมลพิษ’ และ ‘เกลียดชังมนุษย์’
ถึงแม้ว่าเขายังไม่เคยเจอกับมนุษย์ชั้นรองตัวเป็นๆ แต่ในหนังสือเรียนและคนรอบข้างต่างก็พูดแบบเดียวกัน
เจี่ยงไป๋เหมียนราวกับจะรู้สึกได้ถึงความคิดของหลงเยว่หง เธอร้อง “เฮ้อ” ออกมาคำหนึ่ง
“มนุษย์กับมนุษย์ชั้นรองนั้นโดยพื้นฐานก็เหมือนกันนั่นแหละ อย่างน้อยในเรื่องการสืบพันธุ์มีทายาท”
จากนั้นก็พูดต่อโดยไม่ได้รอให้หลงเยว่หงกับคนอื่นพูดอะไร
“ในช่วงฤดูหนาวครั้งแรกหลังจากที่โลกเก่าถูกทำลายลงไป พวกคนในเมืองหนูดำจำต้องจับหนูกินเพื่อให้ไม่อดตาย ว่ากันว่าในตอนนั้นพวกหนูที่อยู่แถวนั้นกำลังบ้าคลั่ง พวกมันโผล่ออกมาจากใต้ดิน ขึ้นมาเต็มภูเขาจนมืดฟ้ามัวดิน บ้างก็มีบาดแผลเน่าเปื่อย บ้างก็มีตาแดงก่ำ บ้างก็จู่โจมทำร้ายสิ่งมีชีวิตโดยรอบไม่เลือกหน้า
“เอ่อ… นอกเรื่องอีกแล้ว พูดเรื่องคนในเมืองหนูดำต่อนะ
“หลังจากฤดูหนาวครั้งแรก เป็นเพราะพื้นที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่แต่เดิมนั้นมีมลพิษมากเกินไป ทำให้ประชากรล้มตายลงเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็เลยย้ายออกจากที่เก่าแล้วอพยพไปอยู่ที่นั่นกัน
“แต่น่าเสียดาย ฝันร้ายไม่ได้จบลงแค่นั้น ร่างกายพวกเขาค่อยๆ กลายพันธุ์ บางทีอาจจะเป็นเพราะพวกเขากินหนูกลายพันธุ์มากเกินไปล่ะมั้ง ก็เลยทำให้มีลักษณะคล้ายหนูขึ้นเรื่อยๆ ฮา ฉันก็แค่พูดไปอย่างนั้นแหละ เพราะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ แล้วก็ไม่เคยทำวิจัยเรื่องพวกนี้ด้วย
“สรุปก็คือพวกเขามีขนสีดำขึ้นตามตัวเต็มไปหมด หลังโค้งค่อมลง เล็บก็ทั้งแหลมขึ้นแข็งขึ้นด้วย…
“หลังจากที่มีลูกหลานสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ประชากรในเมืองหนูดำตอนนี้ส่วนใหญ่สูงไม่ถึง 140 เซนติเมตร พวกเขาชอบอาศัยอยู่ในถ้ำ และเชี่ยวชาญด้านการขุดมาก พวกอาหารต่างๆ ก็มีความหลากหลายมากขึ้นด้วย แต่ขณะเดียวกันก็กลัวแสงจ้า ทำให้พวกเขาออกจากถ้ำได้แค่ตอนเช้า เย็น และตอนกลางคืนเท่านั้น
“พวกเขายังมีการกลายพันธุ์ในด้านดีด้วยนะ อย่างเช่นมีทักษะเกี่ยวกับเครื่องยนต์กลไกและพวกอิเล็กทรอนิกส์ พวกเครื่องใช้ไฟฟ้าจากโลกเก่าที่ใช้งานไปจนเสียหายพัง ใช้การไม่ได้อีกแล้ว แต่พวกเขาก็สามารถซ่อมให้มันกลับมาใช้งานได้อีก แต่แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีพวกอะไหล่หรือชิ้นส่วนให้ด้วยน่ะ”
พูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็อุทาน “อ้าว” ออกมาคำหนึ่ง
“เกือบลืมสนิทเลย ว่าจะเตือนพวกนายว่า อย่าพูดคำว่า ‘เมืองหนูดำ’ ต่อหน้าพวกเขาเด็ดขาด ชื่อนี้เป็นชื่อที่พวกนิคมคนเร่ร่อนแดนร้างบางกลุ่มตั้งให้ คำนี้มันมีความหมายในเชิงเหยียดหยาม คนในเมืองหนูดำนั้นมีความภาคภูมิใจในตัวเองมาก ถึงแม้ว่าคนในบริษัทพวกเราไม่ได้รู้สึกเกลียดชังมนุษย์ชั้นรองเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีความรู้สึกดูถูกดูแคลนและเหยียดหยามอยู่ไม่น้อย ก็เลยใช้ชื่อนี้เรียกพวกเขา”
ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่อดถามขึ้นไม่ได้
“ถ้างั้นทำไมบริษัทถึงยอมรับพวกเขาล่ะ”
ในฐานะที่เป็นอดีตคนเร่ร่อนแดนร้าง เธอเคยเผชิญกับความเกลียดชังของมนุษย์ชั้นรองมาก่อน ถูกจู่โจมอย่างไม่มีเหตุผลก็หลายครั้ง นอกจากนั้นพวกมนุษย์ชั้นรองบางคนก็มีรูปร่างหน้าตาที่ราวกับหลุดออกมาจากฝันร้าย ดังนั้นเธอจึงไม่มีความรู้สึกที่ดีให้กับพวกมนุษย์ชั้นรองแม้แต่น้อยนิด บางครั้งยังมองว่าพวกเขาเป็นสัตว์ร้ายที่มีสติปัญญาเสียด้วยซ้ำ
เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบ
“ชาวเมืองหนูดำไม่ได้โกรธแค้นมนุษย์จนฝังลึกซักเท่าไหร่ ปกติพวกเขาก็มักจะถือว่าตัวเองเป็นมนุษย์ธรรมดาแหละ
“ถ้าไม่ใช่เพราะประเด็นความอ่อนไหวเกี่ยวกับปมด้อย รวมไปถึงว่าพนักงานบริษัทยังคงมีอคติต่อมนุษย์ชั้นรองอยู่ ทางบริษัทคงจะดูดซับพวกเขามาแล้วล่ะ ไม่ปล่อยให้เป็นเพียงแค่นิคมบริวารชั้นนอกแบบนี้หรอก
“แต่จะว่าไปมันก็ไม่เชิงเป็นนิคมบริวารซะทีเดียว ออกไปทางความสัมพันธ์แบบพันธมิตรเสียมากกว่า เราส่งพวกอาวุธ ลูกกระสุน เสื้อผ้าเก่าๆ แล้วก็อาหารเพื่อแลกเปลี่ยนกับของมีค่าที่พวกเขารวบรวมมาได้ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ส่งข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับแดนร้างบึงดำมาให้บริษัทผ่านทางเครื่องรับส่งข้อมูลไร้สาย ถูกแล้วล่ะ ที่บริษัทเก็บเสื้อผ้าเก่าๆ ของพวกนายก็เพื่อเอามาทำการค้าอะไรแบบนี้นี่แหละ”
พูดถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยุดไปชั่วครู่
“และบริษัทก็ยังรับอาสาสมัครจากเมืองหนูดำมาทำการทดลองบางอย่างด้วย
“ในเรื่องนี้ คนเมืองหนูดำกระตือรือร้นกันมาก พวกเขายอมทุกอย่างเพื่อแลกกับโอกาสที่ลูกหลานจะได้กลายเป็นมนุษย์ปกติ”
ถึงแม้ว่าคำอธิบายของเจี่ยงไป๋เหมียนจะไม่ได้เจืออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองผสมเข้าไปด้วย แต่ไป๋เฉินก็ยังรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้ยินเรื่องพวกนี้
“ในแดนธุลีเนี่ย บริษัทมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีนัก เกี่ยวกับเรื่องการวิจัยทางชีวภาพน่ะ
“ก่อนที่ฉันจะได้ติดต่อกับพวกคุณอย่างใกล้ชิดแบบนี้ ฉันก็เคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับการทดลองพวกนั้นมาบ้าง มันทำให้ฉันกลัวมาก กลัวว่าสักวันหนึ่งจะถูกพวก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จับตัวไปเป็นหนูทดลองในห้องวิจัยลับ เอาไปทำการทดลองที่เลวร้ายอะไรทำนองนั้น
“ฉันกลัวว่าจะต้องถูกทรมานจนสติแตก ทุกข์ทรมานจากโรคประสาท กลายเป็นสัตว์ประหลาด กลัวว่าแม้แต่ตาย ก็ไม่ได้ตายแบบมนุษย์
“พอคิดถึงว่าคนเมืองหนูดำพวกนั้นสมัครใจมาเป็นอาสาสมัครในการทดลองแล้ว…”
หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงได้ยินคำพูดของไป๋เฉิน ถึงได้รู้ว่าภาพลักษณ์ของบริษัทในสายตาของคนนอกนั้นเป็นเช่นนี้เอง ราวกับเป็นจอมวายร้ายในละครวิทยุเลยทีเดียว
นี่ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเรื่องที่พวกเขาได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก
พวกเขาเชื่อมาตลอดว่าบริษัทนั้นเป็นแดนสวรรค์ ส่วนโลกภายนอกนั้นคือแดนน้ำลึกเพลิงผลาญที่มีแต่ความทุกข์ทรมาน
พอได้ฟังเช่นนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็ยิ้มออกมา
“เธอคงอัดอั้นสะกดข่มความกลัวในเรื่องนี้มานานแล้วสินะ ถึงได้ระบายออกมารวดเดียวแบบนี้”
เธอยกแขนซ้ายขึ้นมาแล้วงอข้อศอก
“แขนชีวภาพพลังไฟฟ้าข้างนี้เป็นผลมาจากการทดลอง การดัดแปลงพันธุกรรมเองก็เช่นกัน
“เป็นไงบ้างล่ะ พอเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว รู้สึกว่ามันน่ากลัวน้อยลงบ้างไหม”
ไป๋เฉินยังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้ตอบอะไร
“…เข้าใจแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเยาะตัวเอง “พอเห็นฉันเป็นแบบนี้ก็เลยยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีกสินะ”
เธอถอนใจเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
“มีเรื่องหนึ่งที่เธอพูดถูก อาสาสมัครส่วนใหญ่มีจุดจบไม่ดีนัก…”
บรรยากาศในรถจี๊ปเริ่มอึมครึม ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเป็นเวลานาน
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปมองซางเจี้ยนเย่าแล้ว ‘กล่าวโทษ’
“ไหงเวลาแบบนี้นายไม่ยักทำตลกล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“ในฐานะคนที่มีปณิธานจะช่วยเหลือมนุษยชาติ ผมไม่เคยเอาเรื่องแบบนี้มาทำตลก”
“…นั่นก็จริง” เจี่ยงไป๋เหมียนกลับขึ้นมานั่งตัวตรงใหม่
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งก็ชี้ไปด้านหน้าแล้วบอก
“เลี้ยวซ้ายเข้าไปในภูเขา”
พอมาถึง พวกเขาก็เห็นเนินเขาเล็กๆ ทอดยาวไปในแดนร้างบึงดำ บางลูกก็พอจะเรียกว่าเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ ได้ และเมืองหนูดำก็ตั้งอยู่ข้างในภูเขานั้น
หลังจากขับรถไปตามถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่ออยู่พักหนึ่ง เจี่ยงไป๋เหมียนอดลดกระจกลงไม่ได้
“จริงๆ เลยนะ ที่ต้องขับขึ้นๆ ลงๆ แบบนี้มันไกลยิ่งกว่าวิ่งทางราบที่เราขับกันมาก่อนหน้านี้ซะอีก
“แค่ออกเดินทางมารอบเดียวนี่ พอกลับไปถึงบริษัทแล้วสงสัยคงต้องส่งรถไปยกเครื่องใหม่…”
ขณะที่กำลังบ่นอยู่ ฉับพลันเจี่ยงไป๋เหมียนก็ปิดปากลงทันที
เธอเอียงศีรษะเล็กน้อย พยายามตรวจจับอย่างระมัดระวังหนึ่งรอบ ก่อนจะค่อยๆ ขมวดคิ้ว
“มีสัญญาณไฟฟ้าแผ่วๆ มาจากทิศทางของเมืองหนูดำ”
การที่เข้ามาถึงระยะการรับรู้สัญญาณไฟฟ้าของเธอได้นั้น แสดงว่าเมืองหนูดำอยู่ใกล้มากแล้ว
ซางเจี้ยนเย่ายกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ ขึ้นมาพาดที่หน้าต่างรถโดยสัญชาตญาณทันที
“เป็นผลกระทบจากความผิดปกติที่เกิดขึ้นทางเหนือของสถานีเยว่หลู่หรือเปล่า”
สถานที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ใกล้กับสถานีเยว่หลู่ แต่ก็ไม่ได้ไกลมากนัก ใช้เวลาเดินทางราวครึ่งวันเท่านั้น
“ก็อาจจะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้า น้ำเสียงเคร่งเครียดกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“หัวหน้า ต้องสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงหรือเปล่า” หลงเยว่หงถามอย่างใจเย็น ไม่ได้ประหม่าร้อนรนเหมือนเมื่อสองสามวันก่อนอีกแล้ว
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ดูแคลนในสิ่งที่ยังไม่รู้กระจ่าง
เธอออกคำสั่ง
“นายเป็นคนสวม”
“ทำไมไม่ให้ซางเจี้ยนเย่าสวมล่ะ” หลงเยว่หงโพล่งถามออกมา
“ซางเจี้ยนเย่าต้องตามฉันเข้าไปในเมืองหนูดำ ชุดเกราะเข้าไปไม่ได้ เอ่อ… ก็เข้าได้แหละ แต่ไม่มีประโยชน์น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนอธิบายอย่างรวบรัดเพียงสองประโยค
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้โต้แย้งแม้แต่น้อย ยังคงนิ่งเงียบ รักษาความตื่นตัวคอยระแวดระวังสิ่งผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
หลังจากหลงเยว่หงสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเสร็จแล้ว รถจี๊ปก็ขับต่อไป
สองสามนาทีถัดมา เจี่ยงไป๋เหมียนก็ออกคำสั่ง
“จอดรถ”
เธอชี้ไปที่ป่าและพุ่มไม้เบื้องหน้า
“เมืองหนูดำอยู่ทางนั้น
“หลงเยว่หง เปิดทางที”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงเปิดประตูลงจากรถไปเป็นคนแรก
หลังจากที่ทั้งสี่เข้าไปในป่าที่ค่อนข้างทึบโดยมีหลงเยว่หงเป็นคนนำ พวกเขาใช้เวลาหลายนาทีเดินเท้าเข้าไป และทันใดนั้นก็ได้กลิ่นที่คุ้นเคย
นั่นก็คือกลิ่นเลือด!
“นี่เป็นปัญหาใหญ่แล้วล่ะ…” จู่ๆ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พึมพำขึ้นมาราวกับว่าจินตนาการถึงสิ่งที่จะได้พบเจอไว้เรียบร้อยแล้ว
เธอที่ถือปืนยิงระเบิดอยู่ในมือก็พลันเร่งฝีเท้าขึ้น เดินไปยังสุดเขตป่าอีกฟากหนึ่ง
มีผนังภูเขาหินสีเหลืองอมเทา ด้านหลังที่ต้นไม้กับวัชพืชปกคลุมบดบังเอาไว้มีถ้ำลึกอยู่ กลิ่นคาวเลือดคลุ้งเล็ดลอดออกมาจากข้างในนั้น
“ที่นั่นคือเมืองหนูดำ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยเสียงทุ้มแต่ไม่ต่ำ
เมื่อหลงเยว่หงมองเห็นก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงถึงไร้ประโยชน์ในเมืองหนูดำ
ทางเข้าถ้ำนั้นสูงเพียง 140 เซนติเมตรเท่านั้น ถึงจะปรับย่อหดชุดยังไงก็ไม่มีทางจะลดความสูงให้เหลือเท่านั้นได้ และพื้นที่ภายในถ้ำจะยิ่งเตี้ยกว่านี้อีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเมื่อเข้าสู่เมืองหนูดำซึ่งมีลักษณะเป็นถ้ำ ก็จะต้องก้มตัวไว้ตลอดเวลา นี่ย่อมทำให้ประสิทธิภาพการต่อสู้ลดลงเป็นธรรมดา
ยังไม่ทันจะเข้าไปในถ้ำ ทันใดนั้นทั้งซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียนต่างก็มองไปทางซ้ายมือพร้อมกัน แล้วก็เห็นศพสองร่างอยู่ใต้ต้นไม้
ศพทั้งสองนั้นเตี้ยมาก ร่างกายเหมือนงอตัว เสื้อผ้าถูกลอกคราบออกจนเกลี้ยงไม่มีเหลือ
เล็บของทั้งคู่ทั้งแข็งทั้งแหลมและมีสีเหลืองอย่างชัดเจน ร่างกายมีขนสีดำปกคลุมอยู่ทั่ว มองแว่บแรกดูคล้ายเป็นหนูยักษ์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีมลพิษขนาดหนัก
เพียงแต่ว่าขนนั้นไม่ได้ดกหนา ยังพอมองเห็นผิวหนังสีซีดที่อยู่ข้างใต้ได้
ศพทั้งสองดวงตาเบิกกว้าง สีหน้ายังหลงเหลือความหวาดกลัวและเกลียดชัง ร่างกายและพื้นดินรอบข้างชุ่มโชกด้วยเลือด ดูแล้วไม่ได้แตกต่างไปจากมนุษย์ทั่วไป
พูดตามตรงแล้ว นอกจากขนที่ขึ้นดกปกคลุม ร่างกายที่ค่อนข้างเตี้ย เล็บที่ดูประหลาด และผิวหนังที่ค่อนข้างซีดจางแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ไม่ได้รู้สึกว่าซากศพชาวเมืองหนูดำทั้งสองร่างนี้ต่างไปจากตนเองเท่าใดนัก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลงเยว่หงเห็นศพ ดังนั้นถึงแม้ว่ายังกลัวและคลื่นเหียนอยู่บ้างจนไม่กล้ามองดูตรงๆ แต่เขาก็ยังควบคุมตัวเองได้
เขาร้อง “ซี้ด” ออกมาคำหนึ่ง
“คงไม่ใช่ว่าพวกเขาตายกันหมดแล้วนะ…”
เจี่ยงไป๋เหมียนหันหน้าไปมองยังถ้ำลึกโดยอัตโนมัติ ชั่วขณะนั้นเธอไม่มีความกล้าพอที่จะเข้าไปข้างใน
ราวกับว่าเธอคาดเดาได้ว่าภายในนั้นจะมีสภาพเช่นไร
ในตอนนี้ไป๋เฉินที่นั่งยองลงไปตรวจสภาพศพ แหงนหน้าขึ้นมาพูดด้วยเสียงทุ้ม
“เสียชีวิตเพราะถูกยิง”
เจี่ยงไป๋เหมียนหรี่ตาลงเล็กน้อย พูดกับตัวเอง
“ฝีมือใครกันนะ…”
พูดเสร็จเธอก็ผ่อนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปยังทางเข้า ‘เมืองหนูดำ’
ซางเจี้ยนเย่ารีบตามประชิดอยู่ด้านหลังทันทีโดยไม่จำเป็นต้องให้ออกคำสั่ง
* * * * *