รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 49 สถานที่เกิดเหตุ
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ปากถ้ำ เจี่ยงไป๋เหมียนหยุดฝีเท้าลงแล้วหันหน้ากลับมาพูดกับหลงเยว่หงที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่
“นายคอยเฝ้าตรงนี้เอาไว้”
เธอคิดอยู่อึดใจแล้วเสริม
“คอยมองไปที่ป่าด้านนอกบ่อยๆ ด้วยนะ ถ้ารถจี๊ปหายไปละก็ ไป๋เฉินกับฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่พวกนายสองคนจะได้เจอกับ ‘เรื่องหรรษา’ แน่ มนุษย์น่ะยอมรับและปรับตัวกับหลายๆ เรื่องได้ถ้าหากค่อยๆ เพิ่มระดับความไปเรื่อยๆ แต่ถ้าจู่ๆ เกิดเจอความลำบากระดับนรกแตกขึ้นมาแบบฉับพลันทันใด ส่วนใหญ่ก็สติแตกกันทั้งนั้น”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” หลงเยว่หงไม่ได้ผิดหวังที่อดเข้าไปในเมืองหนูดำ ที่จริงแล้วเขากลับโล่งอกเสียด้วยซ้ำ
จากที่เห็นชาวเมืองหนูดำสองคนเสียชีวิตอยู่ภายนอกถ้ำ เขาก็พอจะจินตนาการฉากโศกนาฏกรรมภายในถ้ำได้ คาดว่ามันต้องส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพจิตใจของตน จนกลายเป็นอาการทางจิตที่ต้องรักษาเยียวยาอย่างแน่นอน
หลังจากให้คำแนะนำหลงเยว่หงแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันกลับไปแล้วก้มตัวเดินมุดเข้าไปในรูที่มีความสูงราว 140 เซนติเมตร
ซางเจี้ยนเย่าและไป๋เฉินต่างก็ถืออาวุธของตัวเองเดินตามเข้าไปด้วย หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา เพียงแต่ว่าคนหนึ่งต้องก้มตัวย่อเข่ามากหน่อย ทำให้เดินค่อนข้างลำบาก ส่วนอีกคนหนึ่งยังไม่ถึงกับเดินลำบากมากนัก
พวกเขาไม่ได้สังเกตสถานการณ์ภายนอกก่อนจะเข้ามาตามที่ระบุไว้ในคู่มือการฝึก เนื่องจากต่างก็เชื่อมั่นในความสามารถตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าอย่างอ่อนๆ ของหัวหน้าทีมอย่างหมดใจ
ซึ่งในเรื่องนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนเคยแสดงให้เห็นมาแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้มากเพียงใด
ปากถ้ำด้านในยังคงมีแสงสว่างจากท้องฟ้าส่องให้เห็นสภาพโดยรอบอย่างชัดเจน แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปมากขึ้นก็ยิ่งมืดลงทุกขณะ จนกระทั่งไม่อาจมองเห็นได้แม้แต่นิ้วมือตนเอง
แล้วในตอนนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบเอาไฟฉายออกมา เปลือกหุ้มตัวกระบอกเป็นสีเงินมีเม็ดละเอียดเล็กๆ อย่างชัดเจน จากนั้นก็ดันสวิทช์เปิด
ลำแสงสีเหลืองสาดส่องสว่างไปยังพื้นที่เบื้องหน้า เมื่อผนวกกับแสงสว่างจากธรรมชาติทางปากถ้ำ ทำให้ซางเจี้ยนเย่าพอจะมองเห็นภายในถ้ำได้รางๆ ว่ามีลักษณะอย่างไร
ภายในถ้ำจัดว่ากว้างไม่น้อย ส่วนที่ลึกเข้าไปนั้นยังคงถูกปกคลุมด้วยความมืดจนไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุด
เดิมมีเสาหินธรรมชาติตั้งอยู่เรียงราย แต่ในเวลานี้ล้วนแต่หักโค่นล้มกองอยู่กับพื้น มีก้อนหิน ตะไคร่น้ำ และฝุ่นผงร่วงหล่นจากเพดานถ้ำลงมาปกคลุมผืนดิน
บนพื้นดินที่ตำแหน่งใจกลางวงแสงจากไฟฉายในมือของเจี่ยงไป๋เหมียน มีรอยไหม้ที่แผ่ลามออกไปเป็นวง
หลุมที่อยู่ใกล้แสงไฟฉายมากที่สุดนั้น ศพที่อยู่ด้านในหลุมล้วนแต่ไม่มีศพใดที่มีสภาพสมบูรณ์ มีเพียงแค่เลือดและชิ้นเนื้อที่ไหม้เกรียมชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วนคลุกเคล้าปนเปไปกับก้อนหินและดิน
พื้นที่บริเวณรัศมีด้านในของวงกลมที่อยู่ถัดจากหลุมตรงกลางมีซากศพร่างเตี้ยๆ ร่างแล้วร่างเล่านอนคว่ำอยู่ ทั้งร่างถูกเผาไหม้เกรียม ซากร่างเหล่านั้นนอนเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย เสียชีวิตอย่างน่าสังเวชอเนจอนาถเป็นอย่างยิ่ง
เจี่ยงไป๋เหมียนขยับตำแหน่งไฟฉายไปเรื่อยๆ ซางเจี้ยนเย่าจึงเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นที่บริเวณใกล้กับผนังหินซึ่งเป็นรัศมีรอบนอกของวงกลมขอบหลุม
มีซากศพของชาวเมืองหนูดำนอนอยู่บนพื้นในท่าทางที่ต่างกันไป ร่างกายโดยทั่วไปยังคงสภาพสมบูรณ์ มีเพียงแค่รอยไหม้ นอกจากนี้ก็ยังมีขนสีดำดกหนาบางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่
บางศพนั้นไม่ได้มีบาดแผลภายนอกที่เห็นได้ชัดเจนนัก ขณะที่บางศพมีบาดแผลน่าสยดสยองจากกระสุนปืนปรากฏอยู่ที่แผ่นหลังและหน้าอก ซากศพส่วนใหญ่ปราศจากเสื้อผ้านุ่งห่มเอาไว้
พื้นที่ภายในถ้ำที่อยู่ในกรอบสายตาของซางเจี้ยนเย่า นอกจากชามลายครามใบเล็ก ชามปั้นดินเผา และชามดินปั้นแล้วก็ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก
ฉากเหตุการณ์เช่นนี้ ถึงแม้จะไม่มีใครอธิบายรายละเอียด แต่ทั้งซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินต่างก็เข้าใจข้อเท็จจริงได้ทันที
เมืองหนูดำถูกฆ่าล้างเมือง!
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูโดยรอบอย่างเงียบงันพลางทอดถอนใจ
“น่าจะเป็นระเบิดเทอร์โมบาริก[1]ที่ยิงออกมาจากเครื่องยิงแบบประทับบ่า…
“คนที่ไม่ตายทันทีก็จะถูกยิงซ้ำอีกครั้ง
“ลงมือได้เด็ดขาด เป็นมืออาชีพมาก”
ระเบิดเทอร์โมบาริกเป็นการผสมผสานระหว่างระเบิดแรงสูงและระเบิดเชื้อเพลิงอากาศ เป้าหมายหลักเพื่อใช้สังหารศัตรูในพื้นที่จำกัด อย่างเช่นในถ้ำหรือบังเกอร์ใต้ดิน
หลังจากระเบิดเทอร์โมบาริกระเบิดออก มันจะดูดออกซิเจนรอบข้างจนหมดแล้วปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา ทำให้เกิดลูกไฟที่ขยายตัวด้วยความเร็วสูง ซึ่งลูกไฟนี้จะมาพร้อมกับคลื่นกระแทกแรงดันสูงที่จะกวาดไปทั่วบริเวณของพื้นที่ปิด เพื่อสังหารศัตรูให้มากที่สุด และทำลายอุปกรณ์ต่างๆ ด้วย
สำหรับเมืองหนูดำที่ปากทางเข้าถ้ำมีความสูงเพียง 140 เซนติเมตรนั้น การบุกเข้ามาต่อสู้กับชาวเมืองที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมภายในถ้ำเป็นอย่างดี ถือเป็นตัวเลือกที่ไม่ฉลาดเป็นอย่างยิ่ง วิธีที่ดีที่สุดก็คือการยิงระเบิดเทอร์โมบาริกและระเบิดต่างๆ เข้าไปข้างในโดยตรง
“มีเพียงไม่กี่ทีมที่มีระเบิดชนิดนี้ ขนาดกองกำลังใหญ่บางแห่งก็ยังไม่มีเลย” ไป๋เฉินพยายามสงบสติข่มอารมณ์แล้วตอบอย่างรวบรัดออกมาประโยคหนึ่ง
ถึงแม้ว่าเธอจะเคยเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างที่มีประสบการณ์โชกโชนและคุ้นเคยกับการต่อสู้สังหารศัตรู แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้พบกับการฆ่าล้างเมืองทั้งเมือง ฆ่าคนนิคมทั้งนิคมจนหมดเช่นนี้
ซากศพและเศษเนื้อบนพื้นนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นมนุษย์ชั้นรองก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้เธอเกิดความตระหนกและหวาดกลัวเกินกว่าจะพรรณนาออกมาได้
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นอกจากส่วนสูง เล็บ และขนที่ปกคลุมร่างกายแล้ว ชาวเมืองหนูดำก็แทบไม่ต่างไปจากมนุษย์ทั่วไปเลย
ไป๋เฉินเคยพบกับนิคมที่ถูกฆ่าล้างนิคมมาแล้ว เพียงแต่ว่ากว่าที่เธอจะไปพบนั้น โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นก็ผ่านไปนานแสนนาน มีเพียงแค่เศษกระดูกไม่กี่ชิ้นกับบ้านเรือนที่ทรุดโทรมไร้ผู้คนอาศัยอยู่ ไม่มีร่องรอยอะไรหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้า
“หยิบไฟฉายออกมาแล้วแยกกันไปหาเบาะแส
“บางที… บางทีอาจมีผู้รอดชีวิตก็ได้”
ซางเจี้ยนเย่ารีบดึงไฟฉายกับปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’ ออกมาจากเข็มขัดทันที มือหนึ่งส่องไฟฉาย อีกมือหนึ่งถือปืน เดินตรงไปยังบริเวณรอบนอก
เขาไม่คิดว่าพื้นที่ใจกลางแรงระเบิดหรือรัศมีรอบข้างจะยังมีใครรอดชีวิตมาได้
หลังจากตรวจสอบซากศพแต่ละร่างแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนขดตัวหันหลังให้เขา
ผู้หญิงคนนี้ยังคงสวมเสื้อผ้าติดตัวอยู่ มือเท้างอเหมือนกำลังกอดอะไรเอาไว้แน่นและกดซุกไว้ใต้ร่าง
ขนดกดำบนแผ่นหลังของซากศพยังคงมองเห็นได้เลือนลาง มีบาดแผลและเลือดสีแดงเข้มที่แห้งกรังแล้ว เห็นได้ชัดว่าเธอถูกยิงซ้ำเพื่อให้มั่นใจว่าตายสนิท
ซางเจี้ยนเย่าที่ก้มตัวอยู่ก็นั่งยองลงไปแล้วใช้กระบอกไฟฉายเขี่ยพลิกร่างของชาวเมืองหนูดำคนนี้ให้หงายขึ้นมา
เมื่อลำแสงไฟฉายส่องต้องร่าง ซางเจี้ยนเย่าก็มองเห็นเด็กหญิงตัวน้อยอยู่ในอ้อมกอด
เธอสวมชุดเดรสสีขาวที่เก่าคร่ำคร่าแต่ยังคงมีบางส่วนที่สะอาดสะอ้าน ร่างของหญิงสาวกอดเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้ที่บริเวณทรวงอกและหน้าท้องอย่างแนบแน่น มองในแว่บแรกนั้นไม่เห็นร่องรอยบาดแผลใดๆ
ซางเจี้ยนเย่าวางไฟฉายลงกับพื้นและพยายามตรวจดูสภาพของเด็กหญิง แต่ก็ไม่อาจง้างมือของหญิงสาวออกได้
ดังนั้นเขาจึงได้แต่เลิกล้มความพยายามอันเกิดขึ้นตามสัญชาตญาณนี้ไป ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นใบหน้าของเด็กหญิงเป็นสีเขียวคล้ำ มีเลือดสีแดงก่ำไหลออกมาจากบริเวณทรวงอกและหน้าท้องของหญิงสาว
เขารีบใช้นิ้วเพื่อตรวจสอบลมหายใจกับอุณหภูมิร่างกายของอีกฝ่ายทันที
แต่เพียงไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ค่อยๆ ชักมือกลับมา
เมื่อพลิกซากศพของทั้งสองร่างที่กอดกันแนบแน่นให้หงายขึ้นมาแล้ว ด้วยความช่วยเหลือจากแสงไฟฉาย ทำให้ซางเจี้ยนเย่ามองเห็นได้แทบจะในทันทีว่าบริเวณพื้นด้านล่างที่ร่างทั้งสองเคยนอนอยู่นั้น ช่วงรอยต่อระหว่างผนังถ้ำและพื้นดินมีรอยขุดลึกลงไป ปากหลุมนั้นเห็นเป็นรอยเล็บได้อย่างชัดเจน
จากรอยขุดนี้ ซางเจี้ยนเย่าสามารถจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้
ระหว่างที่ศัตรูบุกจู่โจมเข้ามา หญิงสาวชาวเมืองหนูดำคนนี้เร่งรีบใช้ทักษะการขุดดินเพื่อสร้างพื้นที่หลบภัยให้กับลูกน้อยของตนเอง
แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจขุดได้เร็วกว่าระเบิด
เมื่อซางเจี้ยนเย่ายื่นมือออกไปแตะรอยขุดนั้นก็พบว่ามีโพรงเล็กๆ ที่เกิดตามธรรมชาติอยู่ ในโพรงนั้นมีวัตถุที่เขาไม่รู้จัก เมื่อสัมผัสโดนก็รู้สึกถึงความเย็น
เขาหยิบวัตถุนั้นออกมา เมื่อมีแสงจากไฟฉายจึงเห็นว่ามันเป็นวัตถุสี่เหลี่ยมสีดำ ขนาดยาวกว่านิ้วกลางเล็กน้อย
ด้านบนของวัตถุนี้มีจอแสดงผลขนาดเล็กคล้ายกับจอ LCD มีปุ่มอยู่ตรงกลางหลายปุ่ม ด้านล่างเป็นลำโพงที่มีตะแกรงปิดอยู่
ตอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย ซางเจี้ยนเย่าศึกษาในภาควิชาอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะจำแนกว่าวัตถุล้าสมัยที่ดูมอมแมมชิ้นนี้คืออะไร
นี่คือเครื่องบันทึกเสียงขนาดเล็กของโลกเก่าที่ถูกชาวเมืองหนูดำซ่อมแซมและดัดแปลง
มันอาจจะหล่นลงไปในซอกตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการณ์ หรือไม่ก็อยู่ค่อนข้างห่างจากรัศมีระเบิดและมีร่างกายมนุษย์บังไว้ จึงไม่มีร่องรอยของความเสียหายเกิดขึ้นกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนี้
ซางเจี้ยนเย่าคุกเข่าข้างหนึ่ง สำรวจตรวจตราของสิ่งนี้เล็กน้อยก่อนจะกดปุ่มลงไปเพื่อเล่นเสียงที่บันทึกเอาไว้
ท่ามกลางเสียงปืนและเสียงอึกทึกวุ่นวายสารพัด มีเสียงอ่อนเยาว์เอ่ยถามด้วยความกลัวและความสับสนไม่เข้าใจ
“แม่จ๋า แม่จ๋า ทำไมพวกเขาต้องฆ่าเราด้วย”
มีเสียงแหบห้าวและสั่นเทิ้มตอบกลับมา
“เพราะพวกเราเป็นมนุษย์ชั้นรองน่ะจ้ะ”
เสียงอ่อนเยาว์ถามต่อ
“มนุษย์ชั้นรองคืออะไรเหรอ”
เสียงที่แหบห้าวเงียบไปอึดใจก่อนจะตอบกลับ
“ก็คือ… ก็คือคนที่เป็นโรค”
เสียงอ่อนเยาว์ทวีความสงสัย
“แต่ว่า… แม่จ๋า เป็นเพราะพวกเราเป็นโรค พวกเขาก็เลยจะฆ่าเรางั้นเหรอ
“หนู… หนูซ่อมพวกอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้นะ หนูทำประโยชน์ได้เยอะแยะเลย…”
ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังใกล้เข้ามาราวกับว่าศัตรูเข้ามาถึงปากถ้ำแล้ว ตามด้วยเสียงวัตถุหล่นกระแทกพื้น แล้วเสียงที่บันทึกก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างเงียบงัน ก่อนวาดสายตากลับมามองที่ซากศพทั้งสองอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นหญิงสาวหรือเด็กหญิงตัวน้อย บนใบหน้าไม่ได้มีขนดกดำปกคลุม มีร่องรอยว่าถูกโกนออกจนหมดจดเกลี้ยงเกลา
ดูแล้วไม่ได้แตกต่างไปจากพนักงานหญิงของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เลย
เสียงที่บันทึกไว้นี้ค่อนข้างดัง เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินที่แยกกันเดินเข้าไปสำรวจด้านในล้วนแต่ได้ยินอย่างชัดเจน
พวกเขาต่างก็เงียบงัน เวลาผ่านไปเนิ่นนานโดยที่ไม่มีใครพูดอะไร ไม่มีใครขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่งเจี่ยงไป๋เหมียนก็ค่อยๆ ระบายลมหายใจออกมา
“ค้นหาเบาะแสต่อไป”
ซางเจี้ยนเย่าหย่อนเครื่องบันทึกเสียงลงในกระเป๋าด้วยความเคร่งขรึม จากนั้นก็หยิบไฟฉายแล้วลุกขึ้นยืน
ลำแสงไฟฉายกราดส่อง เขาเห็นข้อความบางอย่างเขียนอยู่บนผนังถ้ำ
เป็นข้อความที่เขียนด้วยภาษาแดนธุลี ลักษณะบ่งบอกว่าเขียนเอาไว้หลายปีมากจนข้อความบางส่วนเลือนลางไปนานแล้ว แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่ใช่ข้อความที่ชาวเมืองหนูดำเขียนไว้ตอนที่ถูกบุกโจมตี
ซางเจี้ยนเย่าส่องไฟฉายเพื่อพยายามอ่านข้อความเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง หลังจากผ่านไปเกือบสิบวินาทีก็พอที่จะจำแนกบางคำออกมาได้
“…เดินทางมาถึงที่นี่…”
“…จินและ…ไม่พรากจากกันชั่วนิรันดร์…”
ในขณะนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนเองก็เหมือนกับว่าเห็นอะไรที่คล้ายคลึงกัน เธอโบกไฟฉายและถอนใจด้วยความสะเทือนใจ
“ดูเหมือนว่าที่นี่น่าจะเป็นจุดท่องเที่ยวตั้งแต่ก่อนที่โลกเก่าจะล่มสลายสินะ ถ้ำเตี้ยๆ แบบนี้ยังมีคนอยากเข้ามาเที่ยวกันด้วยเหรอเนี่ย”
หลังจากพูดจบเธอก็จ้องมองไปยังผนังหินอยู่เนิ่นนาน
ครู่หนึ่งเจี่ยงไป๋เหมียนก็ละสายตา มองหาเบาะแสอื่นๆ ต่อไป
ราวสิบนาทีถัดมา ทั้งสามก็กลับมาเจอกันที่ปากถ้ำที่มีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามา
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยความเห็นอกเห็นใจ
“ก่อนหน้านี้ชาวเมืองหนูดำได้ขุดเส้นทางหลบหนีเตรียมไว้สองสาย แต่น่าเสียดายที่ระเบิดเทอร์โมบาริกหรืออะไรทำนองนั้นมาเร็วเกินไป”
“พวกที่มาโจมตีไม่ได้ทิ้งเบาะแสอะไรไว้เลย” ไป๋เฉินพูด
เจี่ยงไป๋เหมียนสั่นศีรษะ
“ไม่ใช่เป็นเพราะคนพวกนั้นไม่ได้ทิ้งเบาะแสเอาไว้หรอก แต่หลังจากที่การต่อสู้จบลง พวกมันยอมเสียเวลาเพื่อเก็บกวาดเบาะแสต่างๆ จนหมดเกลี้ยงไม่ให้เหลือต่างหาก”
* * * * *
[1] ระเบิดเทอร์โมบาริก (温压弹 Thermobaric Bombs) เป็นอาวุธระเบิดทำลายล้างอานุภาพสูงชนิดหนึ่ง ซึ่งถูกตั้งชื่อมาจากคำในภาษากรีกที่มีความหมายว่า “ความร้อน” และ “แรงกดดัน” บางทีก็นิยมใช้เรียกว่า Vacuum Bombs (ระเบิดสูญญากาศ) หรือ Fuel-air Explosives (ระเบิดเชื้อเพลิงอากาศ) อาวุธชนิดนี้เป็นระเบิดที่ใช้ออกซิเจนจากอากาศโดยรอบเพื่อสร้างความรุนแรงของการระเบิดที่อุณหภูมิสูง ส่งผลให้เกิดแรงอัดอากาศและมวลคลื่นที่มีความรุนแรงอย่างมาก หากถูกใช้กับสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นแนวสนามเพลาะ ภายในอาคาร ช่องอุโมงค์ จะยิ่งทวีความรุนแรงของคลื่นแรงอัดอีกหลายเท่าตัว ผลของคลื่นที่ถูกอัดกระจายจากแรงระเบิดนั้น อาจทำลายหรือพังอาคารที่มีลักษณะโครงสร้างไม่แข็งแรงได้ในพริบตาเดียว