รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 6 เจอในยามวิกาล
“สละหนึ่ง ได้รับสาม…”
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองดูร่างแสงนั้นก่อนจะเดินฝ่าทะลุผ่าน ‘เขา’ เข้าไปยังส่วนลึกของห้องโถง
‘ร่าง’ นั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงส่งเสียง ‘สละหนึ่ง ได้รับสาม…’ ดังก้องสะท้อนไม่หยุด
ไม่กี่นาทีต่อมาซางเจี้ยนเย่าก็มาถึงด้านในสุดของห้องโถง เห็นบานประตูหินบานหนักสีควันบุหรี่อยู่บานหนึ่ง
มันฝังอยู่ในผนังโลหะสีดำ อาบไล้ด้วยแสงจาก ‘หมู่ดาว’ ขับให้เห็นร่องสามร่องบนพื้นผิว
ร่องทั้งสามนี้อยู่สูงขึ้นไปสองเมตร ร่องหนึ่งอยู่บน สองร่องอยู่ล่าง เหมือนกับเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า
ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองเงียบๆ อยู่สองสามวินาที ทันใดนั้นประกายแสง ‘หมู่ดาว’ ก็สะท้อนพร่างพรายในดวงตาเขา
เขาโน้มตัวไปด้านหน้า สองมือกดทาบลงบนบานประตูหินสีควันบุหรี่
ร่องบนพื้นผิวประตูหินพลันค่อยๆ ส่องแสงสีขาวสว่างเรืองรองขึ้นทีละร่อง ราวกับเป็นดวงดาวตกลงมาจากฟากฟ้ากระแทกฝังจมเข้าไป
ภายใน ‘ดวงดาว’ ทั้งสาม มีตัวอักษรเลือนลางปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มันเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาพลิกไปพลิกมาราวกับความคิดซางเจี้ยนเย่าที่กระโดดไปกระโดดมา ไม่อาจคงสภาพอยู่นิ่งไว้ได้
บานประตูสีควันบุหรี่ที่ดูหนักมากบานนั้นพลันส่งเสียงดังแคร๊ก แต่ก็แทบจะไม่เคลื่อนตัวขยับเปิดออก
ซางเจี้ยนเย่าหยุดชั่วคราว สูดหายเข้าใจแล้วออกแรงอีกครั้งเพื่อดันไปข้างหน้า
ในตอนที่เขาหยุดนั้น ‘ดวงดาว’ ในร่องทั้งสามก็หม่นแสงลง แต่เมื่อเขาออกแรงดันมันก็พลันสว่างเรืองรองด้วยแสงบริสุทธิ์เจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้ง
ตัวอักษรเลือนลางข้างในสั่นไหวและช้าลง แต่ก็ไม่ได้หยุดนิ่ง
ประตูหินสั่นสะเทือนเบาๆ แต่ไม่ได้เคลื่อนขยับแม้แต่น้อย
ซางเจี้ยนเย่าออกแรงผลักครั้งแล้วครั้งเล่า จนเส้นเลือดที่ขมับปูดโปน สีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียดราวกับถูกรีดเร้นกำลังจนหมดตัว แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้ดีขึ้น
“ฟู่” เขาพ่นลมออก หยุดมือชั่วคราว ยืนอยู่หน้าบานประตู มองดู ‘ดวงดาว’ ทั้งสามในร่องหรี่แสงจางลงอย่างรวดเร็วแล้วก็ดับวูบหายไป
เขายืนมองอย่างเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ครู่ใหญ่
อีกชั่วครู่ต่อมาซางเจี้ยนเย่าก็เผยรอยยิ้ม ยกมือขวาขึ้นมาแล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางกดลงที่หว่างคิ้ว
วินาทีถัดมา เขาก็กลายเป็นคนที่ดูราวกับ ‘สงบนิ่งลุ่มลึก’ ขึ้นมาก
จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็สอดมือซ้ายไว้ในกระเป๋า เหยียดมือขวาไปข้างหน้า ออกแรงเบาๆ สบายสบาย ดันประตูหินสีควันบุหรี่นี้
เห็นได้ชัดเจนว่าในคราวนี้เขาแทบจะไม่ได้ออกแรงสักเท่าไหร่ แต่ ‘หมู่ดาว’ ที่สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขานั้นกลับชัดเจนขึ้นและสว่างขึ้น
เหนือบานประตูหินสีควันบุหรี่ ‘แสงดาว’ ภายในร่องทั้งสามเกาะตัวกันจนกลายเป็นลูกบอลสีขาว ข้อความพร่าเลือนที่พลิกไหวไปมาก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้น แต่ความเร็วที่พลิกไปมาค่อยๆ ลดลง
ในที่สุดพวกมันก็หยุดนิ่ง
จากบนลงล่าง ซ้ายไปขวา ตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ในลูกบอลแสงสีขาวคือ
‘ตัวตลกชักจูง’, ‘คนไร้เหตุผล’, ‘พันธนาการมือ’
ประตูหินสีควันบุหรี่สั่นไหวเบาๆ มีเสียงครืดดังขึ้น ขยับเคลื่อนถอยเข้าไปเล็กน้อย
ด้านหลังของช่องว่างประตูที่เผยอออกนั้นมีแสงระยับส่องประกาย บันไดโลหะสีเงินตั้งนิ่งสงบอยู่ในความมืดมิด
ซางเจี้ยนเย่าพยายามสอดมือเข้าไปในรอยแยกของบานประตู แต่ไม่สำเร็จ
เขาลองอีกครั้งโดยเปลี่ยนเป็นใช้เท้า แต่ยังคงเป็นเช่นเดิม
ใช้ทั้งมือและเท้า เปลี่ยนสารพัดท่า ไม่ว่าจะยืนกระต่ายขาเดียว[2]ไปจนตีลังกาหกสูง[3] ก็ยังคงไม่ช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
หลังจากทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า เขาทำได้เพียงแค่ยัดปลายนิ้วกับปลายจมูกลอดผ่านเข้าไปได้เท่านั้น
ไม่ว่าจะตั้งใจขนาดไหนแต่ประตูหินสีควันบุหรี่ก็ยังคงไม่ขยับเปิดออก
หลังจากทำซ้ำไปซ้ำมา ร่างของซางเจี้ยนเย่าก็ค่อยๆ เลือนรางลง
สุดท้ายเขาก็หยุดเคลื่อนไหว พลางมองดูร่างตัวเองค่อยๆ เลือนหายไป
ในห้อง 196 เขต B ชั้น 495 ซางเจี้ยนเย่าที่นอนอยู่บนเตียงก็ลืมตาขึ้น
เขามองเห็นไฟถนนส่องทะลุผ่านบานหน้าต่างสี่ช่องอาบไล้โต๊ะด้วยแสงสลัว และ ‘ห้องนั่งเล่น’ ที่ค่อยๆ มืดลง ปลายม้านั่งยาวและขอบเตียงเก่าจมลงสู่ความมืดมิด
รอบข้างเงียบสงัด
ทันใดนั้นลำโพงที่แขวนห้อยอยู่บนเพดานถนนก็ส่งเสียงออกมาพร้อมๆ กัน มีเสียงสดใสไพเราะราวกับเสียงเด็กดังขึ้น
“สวัสดีตอนค่ำค่ะ ฉัน…ผู้ประกาศข่าว ‘โฮ่วอี๋’ นะคะ ขณะนี้เวลายี่สิบนาฬิกา…
“เวลา 17.20 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้เล็กน้อยในโรงงานชั้น 102 มีผู้เสียชีวิตหนึ่งราย บาดเจ็บสามราย ไฟถูกควบคุมไว้ได้แล้ว กำลังประเมินความเสียหายอยู่ ผู้อำนวยการและรองประธานบอร์ดบริหาร จี้เจ๋อ ได้ย้ำเตือนอีกครั้งว่า ‘เพลิงไฟไร้ปรานี อัคคีต้องระวัง’[1]
“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป หน่วยเครื่องปฏิกรณ์หมายเลข 2 ของเขตพลังงานจะหยุดเดินเครื่องเพื่อซ่อมบำรุงอย่างเป็นทางการ การปันส่วนพลังงานสำหรับพนักงานทุกคนจะถูกลดลงหนึ่งในสี่ ยังไม่มีกำหนดเวลาว่าจะกลับสู่สภาพปกติเมื่อไหร่…
“หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ ‘สถาบันวิจัยความร้อนใต้พิภพ’ ซุนฉู่ฉือ กล่าวว่าความพยายามในการสร้างแบบจำลองความร้อนใต้พิภพให้ดีขึ้นนั้นสำเร็จแล้ว นี่จะทำให้สามารถเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของ ‘เขตที่พักอาศัย’ ในเวลากลางคืนได้โดยที่ยังคงประสิทธิภาพที่ดีที่สุดของสภาพแวดล้อมของ ‘นิเวศน์ภายใน’ ไว้ได้อยู่…
“เวลา 18.40 น. มีเหตุทะเลาะวิวาทที่ ‘โรงอาหารพนักงาน’ ในชั้น 577 มีพนักงานคนหนึ่งกล่าวหาว่าพนักงานบริการอาหารในโรงอาหารแบบไม่ยุติธรรม อาหารแบบเดียวกันแต่เขาได้รับน้อยลงหนึ่งในสิบส่วน ทาง ‘ทีมควบคุมระเบียบ’ ประจำชั้นกำลังสืบสวน…
“ระหว่างเวลา 19.20 ถึง 19.30 น. พนักงานชายสองคนก่อเหตุชกต่อยกันที่บริเวณ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ชั้น 414 ‘ทีมควบคุมระเบียบ’ ได้เริ่มสืบสวนแล้วแต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด พนักงานคนอื่นๆ บอกว่าสาเหตุมาจากผลการจัดสรรจับคู่…
“…
“…ข่าววันนี้ยุติลงแต่เพียงเท่านี้ เราจะเปิดดนตรีอะแคปเปลลา[5]เหมือนเช่นเคย หวังว่าทุกท่านจะชอบ ขอบคุณค่ะ
“…”
ซางเจี้ยนเย่านอนอยู่บนเตียงในตำแหน่งที่แสงจากไฟถนนส่องมาไม่ถึง เขาฟังการรายงานข่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ก่อนจะทันรู้ตัวก็ผล็อยหลับไป
เมื่อตื่นขึ้นมา ไฟถนนด้านนอกก็ดับลงแล้ว บริเวณโดยรอบมืดสนิท
อากาศเย็นไหลเวียนอยู่ในห้อง ซางเจี้ยนเย่าพบว่าก่อนหน้านี้ตนเองถอดเสื้อออกแล้วซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่ม คลุมทับด้วยเสื้อคลุมจากผ้าฝ้ายตัวหนาสีเขียวแก่อยู่ข้างเตียง
เขาไม่มีนาฬิกาจึงไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่มั่นใจว่ายังไม่ถึงเวลาเช้าตรู่ เพราะว่าไฟถนนยังไม่เปิด จะเปิดในเวลา 6.30 น.
เขาคาดว่าเมื่อคืนนี้ตนเองน่าจะหลับไปก่อนสองทุ่มครึ่ง ซึ่งนอนเร็วกว่าปกติสองชั่วโมงก็เลยตื่นเร็วกว่าทุกที
รู้สึกถึงท้องน้อยที่ป่องออกมา ซางเจี้ยนเย่าควานหาไฟฉายที่มีเปลือกพลาสติกสีดำจากข้างหมอนแล้วดันสวิทช์ไปด้านหน้า
ลำแสงควบแน่นยิงออกมาสะท้อนกับอ่างล้างจานฝั่งตรงข้ามในแนวทแยง
“ฉันลืมล้างหน้าแปรงฟันแช่เท้า…” ซางเจี้ยนเย่าพึมพำ เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วก็ลุกพรวดออกจากเตียง
ในบริษัทนั้น นอกจากพนักงานระดับสูงและผู้จัดการที่ได้รับการจัดสรรห้องน้ำแยกต่างหากแล้ว ทุกคนต้องไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำสาธารณะขนาดใหญ่ที่อยู่ติดกับ ‘ศูนย์กิจกรรม’ เท่านั้น
นอกจากพนักงานในบางตำแหน่งงานที่จำเป็นต้องอาบน้ำทุกวันแล้ว ทุกคนที่เหลือจะมีโควต้าให้อาบน้ำได้เพียงสัปดาห์ละสองครั้ง หากไม่ได้ใช้ก็ถือว่าสละสิทธิ์ ไม่สามารถเก็บสะสมไว้ได้
หลังจากลุกขึ้นจากเตียง ซางเจี้ยนเย่าไม่รอช้า สวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายตัวหนาสีเขียวแก่แล้วหยิบไฟฉายรีบเปิดประตูจ้ำอ้าวพุ่งตรงไปยังห้องน้ำสาธารณะที่อยู่สุดถนน
แบตเตอรี่ไฟฉายก็เป็นส่วนหนึ่งของโควต้าพลังงาน เขาไม่กล้าปล่อยให้มันเสียเปล่า มีพนักงานจำนวนไม่น้อยที่เตรียมถังไม้ กระโถน หรืออื่นๆ เอาไว้เพื่อจะได้ไม่ต้องออกนอกบ้านตอนกลางคืน แต่ของพวกนั้นล้วนต้องใช้แต้มส่วนร่วมแลกมาทั้งสิ้น
ในเวลานี้ห้องน้ำสาธารณะไม่มีคน หลอดไฟเซ็นเซอร์สว่างขึ้นตอบสนองเสียงฝีเท้าของซางเจี้ยนเย่า แต่ก็ค่อนข้างสลัว
หลังจากแก้ปัญหาทางสรีรวิทยาเสร็จแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็เดินออกจากห้องน้ำสาธารณะและกำลังจะกลับบ้าน
แล้วในขณะนั้นเองเขาก็เห็นลำแสงที่พุ่งออกมาจากไฟฉายจากมุมทางเดิน
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น มีชายในเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีเขียวแก่แบบเดียวกับที่ซางเจี้ยนเย่าสวมอยู่ เขารีบเดินอย่างเร็วแล้วเลี้ยวที่หัวมุมมุ่งหน้าไปฝั่งตรงข้ามกับห้องน้ำสาธารณะ
ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองเป็นเวลาสองวินาที หลังจากนั้นก็ปิดไฟฉายแล้ววิ่งเหยาะๆ อย่างแผ่วเบาในความมืดมุ่งตรงไปยังกลุ่มแสงที่อีกฝ่ายเป็นคนสร้างขึ้น
เพียงไม่นานก็ไปถึงชายคนนั้น และพบว่าเขาเป็นพนักงานวัยกลางคนที่อาศัยอยู่ในละแวกนั้น ชื่อลุงเสิ่นตู้
“เฮ้!” ซางเจี้ยนเย่ากระโดดพรวดออกมาจาก ‘ความมืด’ แล้วตบบ่าเสิ่นตู้
เสิ่นตู้สะดุ้งเฮือก มือกระตุกจนเกือบโยนกระบอกไฟฉายทิ้ง
เขามองดูซางเจี้ยนเย่าด้วยความหวาดกลัวก่อนถอนหายใจโล่งอก
“เสี่ยวซางนั่นเอง เกือบทำฉันตกใจตาย!
“ดึกดื่นป่านนี้ อย่าโผล่พรวดพราดมาทักทายแบบนี้สิ!”
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มแล้วพูดว่า
“ลุงเสิ่น สวัสดีตอนกลางคืน ถามหน่อยสิ ตอนนี้กี่โมงแล้วครับ”
“ยังไม่ถึงหกโมงเช้า” เสิ่นตู้ตอบไปโดยอัตโนมัติ
นอกบ้านเขาเป็นสี่แยกมีนาฬิกาติดผนังแขวนไว้
“ลุงเสิ่น นี่ลุงจะไปไหนเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ามองไปรอบๆ
“จะไป… ไปห้องน้ำ…” เสิ่นตู้พูดแล้วก็หยุดกลางคัน เพราะว่าทิศทางที่เขากำลังมุ่งไปนั้นมันเป็นคนละทางกับห้องน้ำสาธารณะที่ใกล้ที่สุด
ภายใต้แสงสว่างจากไฟฉาย สีหน้าอ่อนโยนของเขามีทั้งขาวซีดและเขียวคล้ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศหนาวเย็นยามค่ำคืน หรือว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่น
หลังจากเรียบเรียงคำพูดใหม่ได้แล้ว เสิ่นตู้ก็ฝืนยิ้ม
“ฉันจะไปห้องน้ำสาธารณะในเขต C น่ะ เฮ้อ เมื่อคืนตอนอยู่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ฉันทำของหล่นไว้ พอตื่นขึ้นมาก็เพิ่งรู้ตัว เลยว่าจะรีบไปหา”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาดำมืดลงราวกับถูกย้อมด้วยความมืดรอบกาย
เขาหัวเราะแล้วพูดขึ้น
“ลุงเสิ่น… ดูสิ ลุงสวมเสื้อคลุมสีเขียว ผมก็สวมเสื้อคลุมสีเขียว ลุงเป็นผู้ชาย ผมก็เป็นผู้ชาย”
เสิ่นตู้งงไปชั่วขณะ จากนั้นก็พลันกระจ่างขึ้นมาทันที
“ดังนั้นพวกเราต่างก็เป็นสาวกนิกาย!”[2]
เขากระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“เธอก็จะไปฟังเทศน์จาก ‘ผู้ชี้นำ’ ด้วยเหรอ”
“ใช่ครับ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม
* * * * *
[1] เพลิงไฟไร้ปรานี อัคคีต้องระวัง (烈火无情,警钟长鸣) คำขวัญเตือนให้ระวังไฟไหม้ในประเทศจีน ต้องระวังไฟตลอดเวลา ประเทศจีนตั้งแต่สมัยโบราณใช้ระฆังเคาะเพื่อแจ้งเหตุไฟไหม้
[2] สาวกนิกาย (教友) ความหมายตามภาษาจีนคือ “สหายธรรม” แต่เพื่อให้สอดคล้องกับเนื้อหาในตอนต่อๆ ไปและเข้าใจง่าย จึงเลือกแปลด้วยคำว่าสาวกนิกาย