รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 63 เมือง
ก่อนหน้านี้สิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดที่ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงเคยเห็นก็คือ ‘ปล่องไฟ’ ในซากโรงงานเหล็ก ซึ่งมันเทียบไม่ได้เลยกับอาคารสูงเสียดฟ้าที่พวกเขากำลังมองดูอยู่ในตอนนี้
นี่ไม่ใช่ว่า ‘ปล่องไฟ’ จะเตี้ยกว่ามาก แต่เป็นเพราะผลจากการรับรู้ทางทัศนวิสัยต่างหาก
ไม่ว่าจะเป็นความยาวหรือความกว้างของอาคารระฟ้าเหล่านี้ก็ล้วนแต่เหนือกว่า ‘ปล่องไฟ’ ของโรงงานเหล็กอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเมื่อเอาสัดส่วนทุกอย่างมารวมกัน ย่อมเรียกได้ว่า ‘ใหญ่โตมโหฬาร’
เรื่องที่ทำให้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงตื่นตะลึงที่สุดก็คืออาคารยักษ์ไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งหรือสองอาคาร แต่มีจำนวนมากมายจนไม่อาจนับได้หมด
อาคารเหล่านี้ล้วนแต่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบตามแบบแผน ยืดยาวออกไปซ้ายขวาหน้าหลังทุกทิศทางจนสุดสายตา
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงรู้สึกราวกับตัวเองเป็นเช่นมุสิก[1]ตัวจ้อยที่จำต้องแหงนหน้าเพื่อจะมองสำรวจยามเมื่อมาถึงอาณาจักรของมนุษย์เป็นครั้งแรก
แสงอาทิตย์อัสดงตกต้องส่องกระทบกระจกหลายพันบานที่ผนังด้านนอกของตึกระฟ้า ทำให้ดูราวกับว่าพวกมันสร้างด้วยทองคำ หรือไม่ก็กำลังถูก ‘เพลิงอัคคี’ แผดเผา
ดวงตาของซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงหยีลงเล็กน้อยเมื่อต้องมองสู้แสงสว่างที่จ้าจนทำให้ตาพร่า
รถจี๊ปชะลอตัวอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจี่ยงไป๋เหมียนกำลังตกใจหรือว่าเป็นเพราะสัญชาตญาณการเตรียมตัวรับมือกับสิ่งไม่คาดฝัน
ขณะที่รถเคลื่อนไปข้างหน้า ดวงตะวันก็คล้อยต่ำลงเรื่อยๆ แสงสีส้มทองจากอาคารระฟ้าค่อยๆ จางลงไป
เพียงไม่นาน อาคารที่เมื่อสักครู่ยังสว่างกระจ่างตาก็ตกอยู่ในความมืด ค่อยๆ หม่นแสงลงทีละหลังจนดูคล้ายกับภาพถ่ายเก่าๆ ที่มีสีซีดจาง
สีสันของทั้งเมืองกลับมืดหม่นลงอีกครั้ง
หลงเยว่หงอ้าปากจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้
ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพบเห็นสิ่งก่อสร้างที่โอ่อ่าตระการและน่าตื่นตาตื่นใจกว่าสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้หรอก เพราะอาคารใต้ดินของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ เองก็มีความสูงเกินกว่าสองพันเมตร ซึ่งหากว่ามันตั้งอยู่บนพื้นโลกก็คงจะถล่มลงมาตั้งนานแล้ว เนื่องจากขาดแคลนวัสดุที่ใช้รองรับฐานราก
แต่เนื่องจากหลงเยว่หงนั้นอาศัยอยู่ในอาคารใต้ดิน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็นอาคารทั้งหลังจากภายนอก ดังนั้นเขาย่อมไม่อาจสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่อลังการของตัวอาคาร
ด้วยเหตุนี้อาคารระฟ้าที่ตั้งเป็นแถวเรียงรายอยู่เบื้องหน้าจึงสร้างความประทับใจให้เขาเป็นอย่างยิ่ง
“นี่คือโลกเก่าอย่างงั้นเหรอ” เสียงของซางเจี้ยนเย่าแผ่วเบาลงราวกับว่ากำลังถามตัวเองอยู่
“แหงล่ะ พวกนายไม่เห็นหรือไงว่ามันคล้ายกับรูปภาพในหนังสือเรียน” เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับตอบกลับมา
‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงทำให้เธอซึ่งมีความบกพร่องด้านการฟัง สามารถได้ยินชัดเจนว่าซางเจี้ยนเย่ากำลังพูดอะไรถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใช้เครื่องช่วยฟังก็ตาม
“ระหว่างดูรูปภาพกับเห็นของจริงด้วยตาตัวเองนี่มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย…” หลงเยว่หงมองดูใบหน้าด้านข้างของเฉียวชูแล้วพูดพึมพำเบาๆ
เมื่อเขาและซางเจี้ยนเย่าสงบสติอารมณ์ลงได้แล้วและรถก็เคลื่อนเข้าใกล้อาคารมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตอนนี้พวกเขามองเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้มากขึ้น
อาคารสูงเสียดฟ้าเหล่านี้ บ้างก็เป็นสีดำ บ้างก็เป็นสีน้ำเงินเข้ม บ้างก็เป็นสีเหลืองแก่ บ้างก็มีสีสันสดใส อาคารแต่ละหลังล้วนแตกต่างกันไปในระดับหนึ่ง
แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นอาคารผนังกระจกหรือผนังธรรมดาก็ล้วนแต่สกปรกเป็นฝ้าและมีคราบเปื้อนเป็นรอยดำด่าง หรือกระทั่งชำรุดหลุดหายไป
มีต้นไม้สีเขียวงอกออกมาจากรอยแตกและเลื้อยแผ่ขยายออกไป ฝูงนกสารพัดชนิดบินวนเวียนอยู่ภายใต้แสงสายัณห์สุดท้ายของดวงตะวัน แล้วกลับไปยังรังที่อยู่ในแต่ละชั้นของอาคาร
ต้นไม้ใบทึบสองฟากฝั่งถนนส่วนใหญ่เหี่ยวแห้งเป็นสีเหลือง ยามเมื่อลมพัดผ่านพวกมันก็ร่วงหล่นราวกับสายฝน
บนพื้นมีใบไม้ร่วงลงมากองสุมเป็นหย่อมๆ บ้างก็เน่าเปื่อยย่อยสลาย
ป้ายโฆษณาริมถนนบางส่วนหล่นลงมากองอยู่ที่พื้น บางส่วนก็แขวนเอียงห้อยอยู่ที่ประตู มีหลายป้ายที่ตัวหนังสือหลุดหายไปหลายตัว
เมื่อกวาดตามอง ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็เห็นบางคำที่เหลืออยู่เขียนว่า ‘แช่เท้า’ ‘ทำผม’ ‘ซูเปอร์มาร์เก็ต’ ‘ผัด’ ‘บาร์บีคิว’ ‘หม้อไฟ’ ‘น้องสาวคนรอง’ ‘สัตว์เลี้ยง’ ‘บริการประชาชน’ และตัวหนังสืออะไรประเภทนี้ แต่ว่าทุกร้านล้วนแต่ชำรุดทรุดโทรม เต็มไปด้วยฝุ่น ไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว
บนถนนมีรถจอดระเกะระกะกีดขวางการจราจร ตัวถังและกระจกรถล้วนมีคราบเปื้อนเกาะแน่นซึ่งเกิดจากถูกฝนชะล้างแล้วก็แห้งเป็นคราบ ซ้ำไปซ้ำมา…
ทุกสิ่งล้วนเงียบสงบ มีเพียงสายลมโชยแผ่วเบา
เป็นเมืองที่ตายไปเนิ่นนานแล้ว
“มีบางอย่างผิดปกติ…” ขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูข้างหน้าเธอก็เปิดใช้ ‘ระบบเตือนภัยรอบทิศ’ ของชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเพื่อรวบรวมรายละเอียดรอบด้าน
ก่อนที่ไป๋เฉินจะทันได้เอ่ยปากถามออกมา เฉียวชูก็มองออกไปในระยะไกล เห็นดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าตรงช่องว่างระหว่างอาคาร แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เกือบมืดแล้ว
“ก่อนจะหาที่พักที่ปลอดภัยได้ ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาก็พยายามอย่าพูดอะไร
“แต่ถ้าจะพูด ก็พูดเบาๆ”
เขาชี้ไปทางซ้ายมือ ลดเสียงลง
“เลี้ยวเข้าไปที่ประตูนั่น”
มันเป็นประตูที่กว้างขนาดให้รถสองคันแล่นเคียงคู่กันไปได้ มีป้อมยามอยู่ตรงกลางซึ่งแบ่งถนนออกเป็นสองฝั่งเท่าๆ กัน ดูเหมือนว่าจะให้ด้านหนึ่งเข้า อีกด้านหนึ่งออก
รั้วโลหะที่เอาไว้กั้นรถนั้นวางนอนอยู่บนพื้นมานานเท่าใดแล้วก็ไม่อาจรู้ได้ มีสนิมเกาะเต็มไปหมด
หลงเยว่หงมองดูที่บานประตูอย่างไม่รู้ตัว และเห็นว่ามีลักษณะโครงสร้างคล้ายกับซุ้มประตูที่เขียนไว้ในหนังสือเรียน เป็นซุ้มประตูที่ทำจากหิน มีสีน้ำตาลอ่อน
กลางซุ้มประตูนั้น ตัวอักษรสีทองได้ซีดจางไปเกินครึ่ง มีเพียงตัวอักษรสองตัวที่ยังพอแยกแยะออก
“สวน… …หยาง”
รถจี๊ปแล่นผ่านซุ้มประตูอย่างรวดเร็ว ผ่านประตูทางเข้าเข้าไปด้านใน
พื้นที่บริเวณนี้ล้อมรอบด้วยอาคารสูง 7-8 หลัง มีสนามหญ้าที่หญ้าโตจนรก มีสระน้ำสกปรกที่มีขยะลอยอยู่เต็ม มีศาลาที่ดูเหมือนเอาไว้ใช้หลบฝน มีต้นไม้ที่เหมือนกับออกผลมาหลายผล
“เลี้ยวขวาที่ตึกแรก” เฉียวชูดูราวกับว่าคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มาก
เจี่ยงไป๋เหมียนขับตามที่เขาบอก รถแล่นผ่านช่องว่างระหว่างรถสองคันที่จอดทิ้งขวางทาง แล้วก็หยุดอยู่ที่ด้านนอกของอาคารหลังแรกที่มีผนังด้านนอกเป็นสีน้ำตาลอ่อน
“เข้าไปในอาคาร เอาอาหารติดไปด้วย” เฉียวชูลงจากรถเป็นคนแรก
ซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉินรีบตามลงมาจากรถอย่างไม่ลังเล ต่างก็หยิบฉวยอาหารจากท้ายรถมาด้วย
เนื่องจากหลงเยว่หงนั้นลงมาช้ากว่าคนอื่นจนไม่อาจคว้างานนี้ไว้ได้ทัน จึงทำได้เพียงแค่เดินตามเฉียวชูกับเจี่ยงไป๋เหมียนตรงไปยังทางเข้าด้านขวาสุด
ที่นี่ปูพื้นด้วยกระเบื้องสีน้ำตาล มีหญ้างอกออกมาจากรอยต่อระหว่างแผ่น เหมือนถูกปล่อยทิ้งไว้ไม่มีใครดูแลมานานแล้ว
เมื่อหลงเยว่หงเดินผ่านห้องโถง เขารีบก้าวเดินนำหน้า ตรงไปยังลิฟต์สีดำเงินสามตัว
เขากดปุ่มเรียกลิฟต์ตามความเคยชิน จากนั้นเบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อเชิญให้เฉียวเข้าไปก่อน
แต่ทว่าปุ่มเรียกลิฟต์นั้นไม่ตอบสนอง ไม่มีไฟติดขึ้นมา
หลงเยว่หงงุนงงไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้
“ไม่มีไฟฟ้า…”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูลิฟต์ที่ค่อนข้างเก่า แต่ปุ่มกดที่ไม่มีสนิมเกาะ ก่อนจะพูดคำเดิมอีกครั้ง
“นี่มันไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่…”
คราวนี้ทั้งซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ต่างก็มองเห็นแล้วว่ามีอะไรผิดปกติ โดยที่เธอไม่จำเป็นต้องอธิบาย
สภาพลิฟต์ ปุ่มกด กระเบื้องปูพื้น หญ้าที่งอกขึ้นมา พวกนี้มันดูไม่เหมือนว่าถูกทิ้งร้างมาหลายทศวรรษ ว่ากันตามจริงแล้ว นี่เหมือนถูกทิ้งมายังไม่ถึงปีมากกว่า
“หรือว่าก่อนหน้านี้มีพวกคนเร่ร่อนเข้ามาอาศัยอยู่ที่นี่” ไป๋เฉินเสนอแนวคิดที่น่าจะเป็นไปได้
แต่เพียงแค่วินาทีเดียว เธอก็ปัดความคิดนี้ทิ้งไปทันที
“ไม่สิ พวกคนเร่ร่อนไม่มาดูแลของที่ไร้ประโยชน์พวกนี้หรอก
“นอกจากนั้น ซากเมืองนี้ก็เพิ่งจะถูกค้นพบด้วยนี่นา”
“ไม่ใช่เพียงแค่นั้นด้วยนะ” เมื่อเห็นว่าเฉียวชูไม่ได้แย้ง เจี่ยงไป๋เหมียนจึงพูดเสริม “ปริมาณของใบไม้ที่สุมเป็นกองอยู่ริมถนนกับสภาพความเสียหายของอาคารบ้านเรือนแต่ละหลัง ล้วนแต่อธิบายถึงเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ… ก่อนหน้านี้ไม่นานเท่าไหร่ มีคนคอย ‘ดูแล’ เมืองนี้อยู่”
เธอหยุดไปอึดใจ ก่อนจะพูดในสิ่งที่คาดเดาไว้
“หรือว่าจะมีคนคอย ‘ดูแล’ เมืองนี้เป็นระยะ”
“หุ่นสมองกลหรือเปล่า ถึงมนุษย์จะไม่อยู่แล้ว แต่หุ่นสมองกลยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่” หลงเยว่หงถามขึ้นมาทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนสั่นศีรษะ
“ไม่น่าจะใช่นะ
“เท่าที่ฉันรู้ ก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลาย เทคโนโลยีหุ่นสมองกลของจริงนั้นพัฒนาไปไกลมากแล้ว ผลิตภัณฑ์จำพวกนี้เรียกได้ว่าเป็นของหรู ไม่น่าจะเอามาใช้ทำอะไรไร้ประโยชน์แบบนี้ แต่ถ้าเป็นที่ ‘สวรรค์จักรกล’ ก็ยังจะพอเป็นไปได้
“อืม แต่ก็ไม่แน่นะ ที่นี่อาจมีอะไรพิเศษก็ได้”
เฉียวชูฟังพวกเขาปรึกษากันอยู่พักหนึ่งโดยไม่ได้พูดอะไร เขาหันกลับไปแล้วเดินขึ้นบันได
เมื่อเดินไปจนถึงชั้นหก เขาจึงได้หยุดฝีเท้า แล้วก็เลี้ยวขวาไปตามทาง เข้าไปในห้องที่อยู่ด้านในสุด
บานประตูสีแดงเข้มของห้องนี้แง้มอยู่ ไม่ได้ล็อคไว้ ผิวของลูกบิดประตูลอกออก เห็นสนิมได้อย่างชัดเจน
ขณะที่เฉียวชูซึ่งสะพายปืนไรเฟิลสีเงินไว้ที่หลังและพกปืน ‘ยูไนเต็ด 202’ กำลังจะเดินผ่านประตูเข้าไป เขาก็พลันเหลียวหน้ากลับไปมองซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ที่เดินตามมา
เขามีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเป็นปกติวิสัย แต่ทว่าดวงตาของเขานั้นกลับเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
“พักกันที่นี่แล้วกัน
“เวลานอนก็ให้คนนึงคอยยืนเฝ้าระวังอยู่ที่หน้าต่างสูง[2]เอาไว้ สอดส่องตรงทางออกอุโมงค์ให้ดี ส่วนอีกคนก็ลาดตระเวนอยู่ในห้อง คอยจับตาดูอาการของคนอื่นเอาไว้ ถ้ามีอะไรผิดปกติก็ให้รีบปลุกทุกคนทันที”
“คุณก็รู้เรื่องของฝันร้ายที่กลายเป็นจริงด้วยงั้นเหรอ
“เรื่องนี้… เรื่องนี้มันเกิดเพราะสาเหตุอะไร”
“เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ชนิดพิเศษที่ชื่อว่าม้าฝันร้าย ถ้าความฝันของคุณได้รับผลกระทบจากมัน การตายในฝันก็เท่ากับว่าตายในความจริงด้วย” เฉียวชูตอบเรียบๆ “มันไล่ตามผมมาร้อยกว่ากิโลแล้ว”
“แล้วทำไมมันถึงไล่ตามคุณล่ะ” ไป๋เฉินไม่เคยเจอสัตว์ประหลาดที่มีความมุ่งมั่นอุตสาหะถึงขนาดนี้มาก่อน
เฉียวชูเดินเข้าไปในห้องโดยไม่ได้ตอบอะไร
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มออกมา
“ฉันรู้! รู้ว่าทำไมมันถึงไล่ตาม
“มันอยากปล้ำเขาน่ะสิ!”
หลงเยว่หงกับคนอื่นๆ พากันเงียบกริบ ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา
เฉียวชูขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองซางเจี้ยนเย่า
“นี่คุณเอาหัวสมองไปแลกเปลี่ยนกับพลังพิเศษที่ ‘ห้องโถงดารา’ มาหรือไง
“ตอนนี้มันยังไม่เป็นปัญหามากนักหรอก แต่ไว้เข้าไป ‘ทะเลต้นกำเนิด’ เมื่อไหร่ อาการมีแต่จะยิ่งแย่ลงไปเรื่อยๆ ช่างมันเถอะ ยังไงคุณก็ไม่มีโอกาสได้เข้าไปอยู่แล้ว”
“คุณรู้เรื่องเยอะมาก… น่าประทับใจจริงๆ” เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวชู เจี่ยงไป๋เหมียนก็อุทานออกมาจากใจจริง “คุณมาจากไหนเหรอ”
เฉียวชูคิดอยู่สองสามวินาทีก่อนจะดึงเสื้อเทรนช์โค้ทให้ตึงเรียบ แล้วโค้งคำนับเล็กน้อย
“งั้นผมขอแนะนำตัวสักหน่อย
“เฉียวชู เจ้าหน้าที่พิเศษของสถาบันวิจัยที่แปด”
* * * * *
[1] มุสิก (老鼠) แปลว่า หนู
[2] หน้าต่างสูง (落地窗) ชื่อที่เรียกในภาษาไทยคือ “หน้าต่างฝรั่งเศส” (French Window) เป็นหน้าต่างที่สูงจากพื้นจรดติดเพดานเพื่อให้เห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้อย่างกว้างขวาง จากบริบทของเนื้อเรื่อง จึงใช้คำว่า “หน้าต่างสูง” แทน