รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 68 การตรวจสอบ
เสียงหอนคำรามที่แหบแห้งอ้างว้างยังคงดังก้อง จากนั้นเสียงอื่นที่คล้ายกันก็ดังก้องสะท้อนตามมาจากทั่วทุกแห่งหนในซากเมือง
เสียงเหล่านี้ไม่ได้ดังมาก แต่ทว่าคลื่นเสียงที่ออกมานั้นทำให้ผู้คนถึงกับหนังศีรษะชา
ที่น่ากลัวก็คือเสียงหอนนับไม่ถ้วนเหล่านี้อยู่ห่างจากซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ เพียงแค่ร้อยเมตร
ในขณะนี้ผืนเมฆบนฟ้าราวกับถูกการเคลื่อนไหวเหล่านี้ทำให้กระจัดกระจายออกไปชั่วคราว ดวงจันทร์สีเหลืองเผยโฉมออกมาให้เห็นครึ่งดวง
แสงสว่างไสวสาดส่องไปยังอาคารสูงนับสิบนับร้อยเมตรที่อยู่สุดปลายถนน
ท่ามกลางสีสันแห่งรัตติกาลนั้น บานหน้าต่างสะท้อนแสงจันทร์ เผยให้เห็นเงาร่างจำนวนนับไม่ถ้วน
พวกเขาไม่อาจเห็นรูปลักษณ์ของเงาร่างพวกนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ที่มั่นใจได้ก็คือเงาร่างพวกนั้นกำลังจ้องมองซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียน และคนอื่นๆ อยู่ เงาร่างพวกนั้นมีร่างกายค้อมลงเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติทันที แต่ละคนต่างก็มีการเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันไป รีบใช้สิ่งกำบังใกล้ตัวเพื่อหลบซ่อน แม้แต่หลงเยว่หงเองก็ไม่ได้ชักช้าเกินไปนัก หลังจากที่ผ่านประสบการณ์ทำนองนี้มาหลายครั้ง เขาก็แสดงผลของการฝึกฝนออกมาให้เห็น
เมฆเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วแล้วบดบังดวงจันทร์จนเกือบมิดอีกครั้ง อาคารที่อยู่ปลายสุดถนนก็กลับจมอยู่ภายใต้ความมืดมิดอีกครั้ง เหลือเพียงโครงร่างที่ยังพอมองเห็นได้อย่างเลือนราง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเฉียวชูซึ่งสวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่นั้นไม่เห็นว่ามีการโจมตีเกิดขึ้น เขาก็ออกมาจากจุดซ่อนตัวเป็นคนแรก
แต่ทว่าแทนที่จะเดินอยู่กลางถนน เขากลับเดินชิดฝั่งซ้ายถนนซึ่งเป็นบาทวิถีที่ปูพื้นด้วยอิฐสีแดงเข้มและมีต้นไม้ที่ใบไม้กำลังร่วงหล่นคอยกีดขวางบดบังมุมสายตา เผื่อว่าอาจจะมีการซุ่มยิงมาจากปลายสุดของถนน
เจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็ทยอยเดินมาหาเฉียวชูทีละคน
ซางเจี้ยนเย่าแหงนหน้ามองฟ้า พอเห็นแสงจันทร์และแสงดาวหม่นสลัวอ่อนแสงลง ก็พุ่งม้วนตัวสองรอบมาที่ด้านข้างเฉียวชู
จากนั้นก็ก้มตัวลากศพไปยังด้านซ้ายของถนน รีบเข้าไปในร้านหลังหนึ่งที่เปิดประตูทิ้งไว้
ป้ายของร้านนี้ห้อยเอียง หักไปครึ่งแผ่น มีตัวอักษรภาษาแดนธุลีสี่ตัวเขียนเอาไว้ว่า ‘หุ้นส่วนของว่าง’
ภายในร้านมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวยาวที่เต็มไปด้วยฝุ่น ตั้งเรียงต่อกันเป็นสองแถว
ซางเจี้ยนเย่าไม่สนว่ามันจะสกปรกหรือไม่ เขาวางอู๋โส่วสือไว้บนโต๊ะตัวหนึ่ง จากนั้นก็ทำตามขั้นตอนการปฐมพยาบาลที่เจี่ยงไป๋เหมียนเคยสอนไว้ ปลดกระดุมเสื้อของอีกฝ่ายแล้วเริ่มกดลงไปเพื่อปั๊มหัวใจ
“คงช่วยไม่ได้แล้วล่ะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนที่ไม่รู้ว่าเดินตามเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มองดูซางเจี้ยนเย่าทำตามขั้นตอนจนเสร็จสิ้นกระบวนการ
โดยไม่เปิดโอกาสให้ซางเจี้ยนเย่าพูดอะไร เธอออกคำสั่งด้วยความเคยชิน
“ตรวจสภาพร่างกายเพื่อหาเบาะแสดู”
เฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเดินเข้ามาถึงประตูที่เปิดค้างไว้ เขาเม้มปากมองดูเหตุการณ์ภายในอยู่สองวินาที
“ไม่จำเป็น รีบไปต่อกันได้แล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับไปมองเฉียวชูแล้วพูดออกมาจากใจ
“ถ้าเรารู้สาเหตุว่านักล่าคนนี้ไปเจออะไรมา แล้วทำไมถึงมานอนหลับอยู่กลางถนน ก็อาจจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงอันตรายจากปฏิบัติการต่อจากนี้ได้
“ที่นี่มันแปลกมาก สัตว์ประหลาดก็น่ากลัวว่าที่ฉันคิดเอาไว้เยอะ
“แล้วจำนวนของ ‘คนไร้ใจ’ นั่นก็ด้วย มีเยอะมาก พวกมันกินอะไรถึงได้อยู่รอดมาจนป่านนี้”
ถึงแม้ว่าพวก ‘คนไร้ใจ’ จะมีสัญชาตญาณในการแพร่พันธุ์และจำนวนไม่ได้ลดลงจากการล้มตายไปทีละคน แต่พวกมันก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิต จึงต้องกินอาหารเช่นกัน ซึ่งในซากเมืองที่สูญเสียการสนับสนุนทางภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมไปแล้ว เพียงแค่การล่าพวกเดียวกัน ล่าหนู ล่าแมลงเป็นอาหาร ย่อมไม่เพียงพอที่จะรักษาจำนวนประชากรที่มากขนาดนี้ไว้ได้
สภาพแวดล้อมในระบบนิเวศน์จะค่อยๆ รักษาความสมดุลเอาไว้
“บางทีเมืองนี้อาจจะมีเสบียงสำรองเก็บเอาไว้มากพอ… พวก ‘คนไร้ใจ’ ที่มีสัญชาตญาณเอาตัวรอดก็เลยดิ้นรนขวนขวายหาจนเจอ” ไป๋เฉินที่เพิ่งเข้ามาในร้าน คาดเดาถึงสาเหตุ
ส่วนเรื่องที่ว่าอาหารสำรองที่เก็บเอาไว้นั้นจะหมดอายุไปนานหลายปีแล้วหรือไม่ ยังมีคุณภาพหรือเปล่า พวก ‘คนไร้ใจ’ ไม่สนเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว พวกมันแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพวกไร้สมอง
“ก็เป็นไปได้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปฏิเสธความเป็นไปได้ในข้อนี้
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่รู้ว่าซากเมืองนี้นั้นคือสถานที่ใดในโลกเก่า ที่นี่อาจจะมีโกดังเก็บอาหารเหมือนกับที่เจอในซากปรักอื่นๆ ก็เป็นได้
ยิ่งกว่านั้นแล้ว ‘คนไร้ใจ’ ที่สืบพันธุ์มาหลายชั่วรุ่นก็อาจจะวิวัฒนาการให้สามารถกินข้าวสารและแป้งดิบเป็นอาหารได้
หลังจากที่ได้ฟังบทสนทนาของสองสาว หลงเยว่หงก็อดพูดขึ้นไม่ได้
“ที่นี่มี ‘คนไร้ใจ’ อยู่เพียบเลย สถานการณ์ก็ประหลาดพิลึก เราถอยกันก่อนดีกว่าไหม
“แค่ขนเอาข้าวที่อยู่ของข้างถนนพวกนี้กลับไปก็ถือว่าเก็บเกี่ยวได้ยอดเยี่ยมแล้ว!”
ขณะที่พูด สายตาเขาก็จับจ้องที่เฉียวชู
เฉียวชูไม่สนใจเขา พูดเร่งซางเจี้ยนเย่า
“เร่งมือหน่อย”
ดูเหมือนว่าเขาจะเห็นด้วยกับเจี่ยงไป๋เหมียน รู้สึกว่าควรจะตรวจสอบดูว่าอู๋โส่วสือไปเผชิญกับอะไรมา ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นอันตรายต่อตัวเขาเองเช่นกัน
เมื่อพูดเสร็จเฉียวชูก็ตบปัดฝุ่นบนร่างอย่างเป็นจริงเป็นจัง
ซางเจี้ยนเย่าถือไฟฉายและตรวจสอบอีกครั้ง เขาไม่พบบาดแผลชัดเจนบนร่างของอู๋โส่วสือ แต่ใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นบิดเบี้ยวราวกับว่าเขาได้เห็นอะไรที่น่ากลัวมาก หรือไม่ก็เผชิญกับเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
นี่เหมือนกับที่นักล่าหัวล้านแฮร์ริส บราวน์ เล่าให้ฟัง เรื่องที่ว่าทางทิศเหนือของสถานีเยว่หลู่ มีคนเสียชีวิตในลักษณะที่ประหลาดพิสดาร
เมื่อผนวกเข้ากับคำพูดของเฉียวชู ซางเจี้ยนเย่าก็พอจะประเมินขั้นต้นได้ว่าพวกเขาเสียชีวิตเพราะถูกม้าฝันร้ายโจมตี
ส่วนเรื่องที่ว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นอยู่ที่ไหน และอยู่ห่างจากที่นี่เพียงใดนั้น เขาไม่อาจรู้ได้เลย
จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อผ้าของอู๋โส่วสือออกเพื่อหาร่องรอยเบาะแสอื่นๆ
“ผิวหนังรอบข้อมือซีดกว่าส่วนอื่นๆ แสดงว่าเขาเคยสวมนาฬิกาเอาไว้ แต่อาจจะหล่นหายไป… ไม่มีร่องรอยเข็มฉีดยาในช่วงที่ผ่านมา… น่าเสียดายที่เราตรวจเลือดที่นี่ไม่ได้ จึงยากจะระบุได้ว่าเขาดมแก๊สยาสลบเข้าไปหรือเปล่า…” เจี่ยงไป๋เหมียนขยับเข้าไปใกล้เพื่อช่วยซางเจี้ยนเย่าให้ชันสูตรได้เร็วขึ้น
จากนั้นเธอก็ยืดกายขึ้น และมองที่เฉียวชู ไป๋เฉิน และหลงเยว่หงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“มีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่เขาถูกบังคับให้หลับด้วยพลังบางอย่างที่คล้ายกับม้าฝันร้าย
“แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของม้าฝันร้ายหรือว่าสัตว์ประหลาดตัวอื่นกันแน่”
“ไม่ใช่ม้าฝันร้าย” เฉียวชูยืนยันอย่างหนักแน่น
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้า
“เอ่อ… งั้นคุณรู้ไหมว่าม้าฝันร้ายมันร้องยังไง”
เฉียวชูอ้าปากจะเลียนเสียงมัน แต่ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเลยเลิกล้มความคิดนี้ไป
ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็ยืดกายขึ้นมา
เขาถือไฟฉายไว้แล้วถามอย่างจริงจัง
“แบบนี้หรือเปล่า”
พอพูดเสร็จเขาก็เลียนแบบเสียงที่ดังที่สุดและน่ากลัวที่สุดที่เพิ่งจะได้ยินเมื่อสักครู่โดยไม่ได้รู้สึกเขินอายแม้แต่น้อย
แน่นอนว่าเขาควบคุมระดับความดังเสียงเอาไว้ด้วย
“ไม่ใช่” เฉียวชูส่ายหน้าทันทีโดยไม่ลังเล
เจี่ยงไป๋เหมียนขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ดูท่าแล้ว สัตว์ประหลาดที่น่ากลัวที่สุดในซากเมืองนี้จะไม่ใช่ม้าฝันร้ายซะแล้วสิ”
คำถามเมื่อครู่ของเธอก็คือต้องการจะยืนยันให้แน่ใจ ว่าม้าฝันร้ายนั้นใช่เป็นตัวการที่หอนออกมาได้ดังที่สุด จนทำให้เกิดการตอบสนองอย่างต่อเนื่องหรือไม่
“งั้นใช่แบบนี้หรือเปล่า” ซางเจี้ยนเย่าเลียนแบบเสียงหอนต่างๆ ที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้
“ไม่ใช่สักอัน” เฉียวชูที่สวมหมวกเกราะอยู่อดถามไม่ได้ “คุณทำเสียงม้าร้องไม่ได้หรือไง เสียงร้องของม้าฝันร้ายก็แทบจะเหมือนกับเสียงม้าธรรมดานั่นแหละ ต่างกันนิดหน่อยเท่านั้น”
ซางเจี้ยนเย่ามองดูเฉียวชู
“ผมไม่เคยเห็นม้า ไม่เคยได้ยินมันร้อง”
พูดจบเขาก็หันหลังกลับไป ก้มลงไปสำรวจกระเป๋าเสื้อผ้าของอู๋โส่วสือต่อ
สิ่งแรกที่เขาล้วงออกมาได้ก็คือตราสีทองเหลือง ด้านหน้าของตรามีภาพแกะสลักนูนต่ำเป็นใบหน้ามนุษย์ที่พร่าเลือน ที่แก้มสองข้างมีดหนึ่งเล่มและหอกหนึ่งเล่ม ด้านหลังป้ายมีชิปขนาดเล็กฝังอยู่
ซางเจี้ยนเย่าเคยเห็นของแบบนี้มาแล้ว และรู้ว่านี่คือตราของ ‘สมาคมนักล่า’ เขายื่นส่งให้เจี่ยงไป๋เหมียน
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้อ่านข้อมูลในชิป เพียงแค่วางมันลงไป
ข้อมูลภารกิจที่อู๋โส่วสือได้ส่งมอบไปก่อนหน้านี้ แทบจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะต้องเผชิญต่อไปในการสำรวจครั้งนี้
สิ่งของชิ้นที่สองที่ซางเจี้ยนเย่าพบก็คือผ้าเช็ดหน้าลายตารางสีฟ้าขาวผืนหนึ่ง
ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เก่ามาก ผืนผิวเป็นขุยอยู่บ้าง แต่ถูกพับไว้อย่างประณีต
ซางเจี้ยนเย่าสลัดคลี่ผ้าเช็ดหน้าออกแต่ก็ไม่พบเบาะแสอะไร เขาจึงพับแล้วยัดกลับคืนไว้ในกระเป๋าเสื้อที่หน้าอกของอู๋โส่วสือ
สิ่งของที่พบอย่างที่สามก็คือช็อกโกแลตสีดำครึ่งแท่งที่ห่อไว้ด้วยกระดาษฟอยล์
ช็อกโกแลตแท่งนี้มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีร่องรอยการละลายและแข็งตัวกลับมา แต่ไม่มีรอยถูกกัดแหว่ง
ขณะที่ซางเจี้ยนเย่าพลิกช็อกโกแลตสำรวจดูรอบชิ้น ไป๋เฉินก็พูดขึ้นมา
“น่าจะเอาไว้เลียตอนที่อยากกิน หรือไม่ก็อมไว้ในปาก”
เธอพูดอย่างเฉยเมย ราวกับว่าคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าเล็กน้อยแล้วถาม
“เธอจะเอาไหม”
“ในซากเมืองแบบนี้ ไม่ต้องใช้หรอก” ไป๋เฉินส่ายหน้า
แน่นอนว่าที่นี่ย่อมสามารถหาเสบียงได้อย่างมากมาย
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้หันไปถามคนอื่นอีก เขาสำรวจเสื้อผ้าของอู๋โส่วสือต่อ
สิ่งของชิ้นที่สี่ที่เขาพบก็คือแผ่นกระดาษที่พับไว้อย่างเรียบร้อย
ข้อความบนกระดาษเขียนไว้อย่างบรรจง
“ติดหนี้หรูเซียง เนื้อวัวหนึ่งกระป๋อง
“ติดหนี้อากัง ค่าตอบแทนสองครั้งกับบิสกิตอัดแข็งถุงใหญ่
“ติดหนี้ขาเป๋จาง น้ำมันครึ่งชาม
“ติดหนี้โอเลงค์ ปืนพกหนึ่งกระบอก กระสุนสิบนัด
“ติดหนี้เสี่ยวกวง เนื้อหนึ่งชุด
“ติดหนี้หรูเซียง ดอกไม้หนึ่งดอก…”
ซางเจี้ยนเย่าอ่านจบอย่างรวดเร็ว แล้วก็พับกระดาษใส่ไว้ในกระเป๋าตัวเอง
“อย่าบอกนะว่านายจะช่วยใช้หนี้แทนน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แต่ว่าเธอกลับไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของซางเจี้ยนเย่านั้นเป็นเรื่องแปลกประหลาด
ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่แสดงสีหน้าอะไร
“ถ้าเจอเพื่อนเขา จะได้เอากระดาษแผ่นนี้กับตรานักล่าให้ไป”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรอีก
‘สิ่งของ’ ชิ้นที่ห้าที่ซางเจี้ยนเย่าพบก็คือเหรียญ 12 เหรียญในกระเป๋ากางเกงของอู๋โส่วสือ
ดูจากลวดลายและรูปร่างแล้ว น่าจะเป็นของจากโลกเก่า
“เหรียญจากโลกเก่ายังใช้ได้อยู่อีกเหรอ” หลงเยว่หงเหลือบมองแล้วถามด้วยความสงสัย
“ได้สิ แต่ไม่ได้ดูที่ตัวเลขบนหน้าเหรียญหรอกนะ ดูเพียงแค่ว่ามันเป็นโลหะอะไร หนักเท่าไหร่” ไป๋เฉินอธิบายแบบสั้นๆ
เหรียญทั้งสิบสองเหรียญนี้ เจ็ดเหรียญเป็นสีเงิน ห้าเหรียญเป็นสีทอง ซางเจี้ยนเย่ามองดูครู่หนึ่งก่อนจะหย่อนไว้ในช่องเล็กๆ ของกระเป๋าเป้ลายพราง
นอกจากเสื้อกางเกงและรองเท้าแล้ว หลังจากนั้นเขาก็พบเพียงแค่ปืนพกสีดำของอู๋โส่วสือเท่านั้น
“อูเป่ย 7 มีกระสุนเหลือห้านัด” ซางเจี้ยนเย่าระบุรุ่นปืนแล้วเหน็บเอาไว้ที่เข็มขัด
ปืนนี้ใช้กระสุนขนาด 7.62 มม. ซึ่งแตกต่างจากกระสุนที่พวกเขานำมาด้วยตอนออกเดินทาง
ส่วนปืนไรเฟิลอัตโนมัติที่อู๋โส่วสือพกไว้เมื่อตอนที่เจอกันครั้งแรกนั้นไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว
หลังจากสำรวจเสร็จสิ้น ซางเจี้ยนเย่าก็สวมเสื้อผ้ากลับคืนร่างอู๋โส่วสือ
“ไปกันเถอะ” เฉียวชูเร่ง เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับเบาะแสอะไรเพิ่มเติม เขาก็หมดความอดทน
เจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นไม่ได้คัดค้าน เดินตามเขาออกจากร้านไปยังถนน
ซางเจี้ยนเย่าออกมาเป็นคนสุดท้าย เขาเงยหน้ามองด้านบนแล้วกระโดดขึ้นไปดึงประตูม้วนโลหะลงมา
เสียงดังครืดคราด ประตูร้านแห่งนี้ก็ถูกปิดลงมา
“นี่มันป้องกันอะไรไม่ได้หรอก ‘คนไร้ใจ’ น่ะเปิดประตูเป็น ถึงตอนนั้นนี่ก็เป็นอาหารของพวกมันอยู่ดีนั่นแหละ” เฉียวชูอดพูดออกมาไม่ได้ จากนั้นเขาก็พูดต่อด้วยเสียงทุ้ม “ตามมา!”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นอีก เขาติดตามปิดท้ายขบวน ถือปืนวิ่งเหยาะๆ ท่ามกลางความมืดมิดยามวิกาล มุ่งหน้าไปยังที่หมายซึ่งอยู่ภายในซากเมือง
* * * * *