รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 69 ยิงต่อสู้
ค่ำคืนอันมืดมิด เมื่อเดินหน้าไปเรื่อยๆ หลงเยว่หงที่อยู่ตำแหน่งปีกซ้ายของกลุ่มก็ทวีความวิตกกังวลมากขึ้นทุกขณะ
ที่จริงแล้วตอนที่ออกจากห้อง 605 เขายังไม่ได้รู้สึกกลัวสักเท่าไรนักเพราะยังไม่ได้พบกับศัตรูหรือสัตว์ประหลาดที่เป็นอันตราย และพวก ‘คนไร้ใจ’ ที่ปรากฏออกมาเป็นครั้งคราวก็ถูกกำจัดไปเสียก่อนที่มันจะได้ทำอะไร
นี่ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกว่าฉันอยากทำอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สำหรับคนที่ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมา ทั้งยังมีปืนพกสองกระบอกในมือ รวมกับปืนไรเฟิลที่สะพายไว้อีกหนึ่งกระบอก ตราบใดที่สามารถสะกดข่มความตื่นเต้นกังวลลงได้ การจะกำจัด ‘คนไร้ใจ’ สองสามตนนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ถึงแม้ว่าพวกมันจะมีอาวุธอยู่ในมือก็ตามที
แน่นอนว่าการต่อสู้ด้วยอาวุธปืนนั้น ความประมาทเลินเล่อชะล่าใจก็อาจทำให้ผู้ใหญ่ถูกเด็กสังหารได้เช่นกัน
หลงเยว่หงคิดว่าหากต้องเผชิญการจู่โจมจาก ‘คนไร้ใจ’ ก็ยังไม่ถึงกับมั่นใจเต็มร้อยว่าตนเองจะสามารถเอาชนะได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพียงแต่ว่าศัตรูเช่นนี้ ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกถูกกดดันทางจิตใจมากนัก
แต่เมื่อได้เห็นว่าอู๋โส่วสือซึ่งก่อนหน้านี้เคยได้พูดคุยสนทนากันกลับตกตายลงอย่างแปลกประหลาดภายในความฝัน โดยที่ตนเองและคนอื่นต่างก็ไม่สามารถหาตัว ‘ฆาตกร’ ได้พบ นี่จึงทำให้หลงเยว่หงรู้สึกกระวนกระวายและวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้เจี่ยงไป๋เหมียนเคยบอกเขาว่าบาดแผลทางจิตใจจากการสู้รบนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการสังหารศัตรูฝ่ายตรงข้ามด้วยมือตัวเองหรอก แต่มาจากการที่คนรู้จักและสหายศึกที่เคยใช้วันเวลาร่วมกันถูกยิงต่อหน้าต่อตา และเสียชีวิตอย่างน่าสลด
นี่ไม่เพียงแต่นำความโศกเศร้าและเจ็บปวดอย่างรุนแรงมาให้เท่านั้น แต่ยังทำให้คนเรารู้สึกว่ารายต่อไปจะเป็นตัวเองหรือไม่ ความตึงเครียดที่ไม่อาจควบคุมได้นี้จะทำให้เกิดฝันร้าย หงุดหงิด วิตกกังวล ไม่มีสมาธิ
ในตอนนี้หลงเยว่หงรู้สึกว่าตัวเองมีอาการเช่นนี้เข้าแล้ว
และการที่ไม่รู้สถานการณ์ของ ‘ฆาตกร’ ก็ยิ่งเพิ่มความกลัวให้มากขึ้นอีก
ในซากเมืองอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงวิ่งเหยาะๆ ของพวกเขาทั้งห้าเท่านั้นที่ดังเข้ามาในหูของหลงเยว่หง นอกจากนั้นก็ไม่มีเสียงอะไรอีก ในความมืดมิดอันอ้างว้างนั้น อาคารสองฝั่งราวกับเป็นตาข่ายล่าสัตว์ที่กำลังกางร่างแหออกอย่างเงียบเชียบ
ในตอนนี้เอง หลงเยว่หงก็ได้ยินเสียงตื่นตระหนกดังลั่นของหัวหน้าทีม
“ระวัง!”
เป็นเพราะว่าหลงเยว่หงนั้นได้ประสบกับสถานการณ์อันตรายในระหว่างการฝึกภาคสนามครั้งนี้มามากมายหลายครั้ง เขาจึงไว้วางใจเจี่ยงไป๋เหมียนจนหมดใจ ไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาจึงรีบพุ่งไปยังรถสีแดงที่จอดทิ้งอยู่ข้างถนนทันที
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็กระโดดหมุนตัวตีลังกากลางอากาศ ยกมือขวาที่ถือปืนพก ‘ยูไนเต็ด 202’ ขึ้นมา
ปัง!
ชั้นสามของอาคารบนถนนฝั่งซ้าย กระจกหน้าต่างแตกกระจาย ร่างที่หน้าต่างส่ายโงนเงนแล้วถอยล้มลงไป
ภายใต้แสงจันทร์และแสงดาวอันหม่นสลัว ทำให้มองเห็นว่าฟันของร่างนั้นยาวผิดปกติ ดวงตาขุ่นมัว เพียงมองแว่บแรกก็รู้แล้วว่าไม่ใช่มนุษย์ปกติ
ทันใดนั้นก็มีเสียงกระจกแตกดังขึ้น ซึ่งไม่ได้ดังมาจากเพียงแค่ชั้นเดียวกันเท่านั้น กระจกแตกออกบานแล้วบานเล่า เงาร่างมนุษย์ก็ปรากฏให้เห็นทีละคนทีละคน
เมฆเคลื่อนคล้อย แสงจันทร์กระจ่าง ส่องสว่างทุกสรรพสิ่ง
ร่างพวกนั้นผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก ใบหน้าซูบผอม ผมยาวดกหนา เสื้อผ้าไม่ได้ขาดรุ่งริ่งมากนักแต่ว่ามันแค่เอามาพาดไว้บนร่างแบบง่ายๆ เหมือนกับว่าเพียงแค่เอาไว้กันหนาวเท่านั้น
พวกมันทั้งหมดล้วนแต่มีหลังค่อม บ้างก็ดวงตาแดงก่ำ บ้างก็ถือมีดทำครัวที่มีแววประกายเย็นเยียบ บ้างก็ถือปืนลูกโม่ที่มีชื่อเรียกกันว่า ‘อสรพิษ’ และบ้างก็มีสีดำสนิทกลมกลืนไปกับความมืดจนยากจะมองเห็น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็น ‘คนไร้ใจ’ ทั้งสิ้น!
ท่ามกลางพวกมัน มีหนึ่งตนที่ร่างสูงใหญ่ เพียงแค่โค้งค่อมเล็กน้อย เคราดกหนาแข็งเป็นแปรง
มันถือปืนลูกซอง ปลดเซฟตี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเหนี่ยวไกปืนยิงไปที่เจี่ยงไป๋เหมียน
ปัง!
ห่ากระสุนมากมากสุดคนานับสาดครอบคลุมบริเวณที่เป้าหมายอยู่ แต่เจี่ยงไป๋เหมียนทิ้งร่างลงสู่พื้นแล้วและซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของหัวรถซีดานที่จอดทิ้งไว้
อีกด้านหนึ่ง เฉียวชูที่สวมเกราะกระดูกเสริมแรงอยู่ก็กระโดดขึ้นฟ้า
เขาถือปืนไรเฟิลสีเงินไว้ในมือข้างหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือจาก ‘ระบบเล็งเป้าความแม่นยำสูง’ เขาเหนี่ยวไกยิงลูกกระสุนที่ราวกับมีอสรพิษสายฟ้าสีเงินพันเอาไว้รอบ
ปืนที่เขาถือไว้นั้นย่อมต้องเป็นปืนเกาส์
เปรี๊ยะ!
ทันใดนั้นหลุมสีเลือดก็ปรากฏขึ้นที่หน้าผากของ ‘คนไร้ใจ’ ที่ถือปืนลูกซองอยู่
ดวงตาของมันเลื่อนลอยขณะที่หงายตัวล้มลงไปด้านหลัง
ในเวลาเดียวกันนั้นเฉียวชูก็ยกแขนโลหะที่มีเครื่องยิงระเบิดติดตั้งอยู่ เล็งไปยังหน้าต่างแตก บานที่มีเงาร่างอยู่มากที่สุดแล้วเหนี่ยวไก
ฝั่งซ้ายของถนน เสียงเตือนของเจี่ยงไป๋เหมียนดังขึ้นหลังจากที่มีร่างหนึ่งทุบกระจกหน้าต่างชั้นสองแล้วกระโดดลงมาอยู่ด้านหลังซางเจี้ยนเย่าที่เพิ่งจะพุ่งตัวมาริมถนนและยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมายืน
ร่างนี้หลังค่อมเล็กน้อย สวมชุดคนงานสีน้ำเงินไม่พอดีตัวที่ล้าสมัยและมันเยิ้ม ในมือถือประแจขนาดใหญ่ที่ส่องประกายสีเงินแวววาว
ทันทีที่ลงถึงพื้น ร่างนั้นก็เหวี่ยงแขนขวาหวดประแจใส่ท้ายทอยของซางเจี้ยนเย่าที่กำลังหันหลังให้ ราวกับว่าเขาจะไม่ทันสังเกตเห็น
แต่ทันใดนั้นเอง แขนขวาของมันก็แข็งทื่อไม่สามารถเหวี่ยงออกไปได้
ในฐานะ ‘คนไร้ใจ’ ที่ทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีสัญชาตญาณในการทำเรื่องนี้
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้หันหน้ากลับมา เขาเพียงแค่หันปากกระบอกปืนไรเฟิลจู่โจมมาวางพาดบ่าที่ว่างอยู่แล้วยิงกลับหลัง
ปัง!
กะโหลกศีรษะของ ‘คนไร้ใจ’ ที่ยืนอยู่ด้านหลังระเบิดออก เลือดและสมองกระจายออกมา
ในตอนนี้หลงเยว่หงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลก็รู้ตัวว่ามี ‘คนไร้ใจ’ กระโดดลงมาจากด้านบนศีรษะเขา
ณ ขณะนี้ ในสมองเขามีแต่ความว่างเปล่า ได้แต่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น เขายกปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ เล็งไปยังผู้ที่จู่โจมเข้ามา
ปัง! ปัง! ปัง!
เขาสาดกระสุนอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะหมดแม็กกาซีน แสดงพลังของมันออกมาอย่างเต็มที่เพื่อให้เห็นว่าทำไมปืนไรเฟิลจู่โจมในมือกระบอกนี้ถึงมีฉายาว่า ‘นักรบคลั่ง’
‘คนไร้ใจ’ ที่ลอยอยู่กลางอากาศย่อมไม่อาจเปลี่ยนทิศทางของตัวเองได้ ทั้งร่างเต็มไปด้วยรูพรุนจนคล้ายตะแกรง เลือดพุ่งกระจายไปทั่วสารทิศ
เมื่อเสียงลั่นไกดังแชะ กระสุนว่างเปล่า หลงเยว่หงถึงได้ฟื้นคืนสติและรีบเปลี่ยนแม็กกาซีน
ในตอนนี้เองสายตาก็พลันเหลือบไปเห็นว่าด้านซ้ายมือของตนเองนั้นมี ‘คนไร้ใจ’ อีกตนหนึ่งที่ไม่รู้ว่ากระโดดลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และเป็น ‘คนไร้ใจ’ ที่ถือปืนพก ‘อสรพิษ’ อยู่ในมือ
‘คนไร้ใจ’ นั้นอยู่บนถนนฝั่งเดียวกับซางเจี้ยนเย่า ห่างออกไปเพียง 7-8 เมตร และห่างจากหลงเยว่หงไม่ถึงสองเมตร
รูม่านตาของหลงเยว่หงพลันขยายออกทันที เขาพยายามจะหลบโดยสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนว่ามันสายเกินไปแล้ว
‘คนไร้ใจ’ นั้นเล็งมาที่เขาเรียบร้อยแล้ว ขาดแต่เพียงเหนี่ยวไกยิงเท่านั้น
แต่ทว่า ‘คนไร้ใจ’ กลับไม่สามารถเหนี่ยวไกได้ ราวกับว่าการกระทำนี้มันหายไปจากยีนในตัว
ปัง!
ศีรษะของมันถูกกระแทกและระเบิดออกเหมือนดอกไม้ไฟ เศษชิ้นส่วนสีแดงและขาวกระจุยกระจายไปทั่ว บางส่วนก็กระเซ็นใส่ใบหน้าและร่างของหลงเยว่หง
หลงเยว่หงมองไปโดยไม่รู้ตัว เห็นซางเจี้ยนเย่าโบกมือให้ด้วยรอยยิ้ม และเห็นไป๋เฉินที่อยู่ถนนฝั่งตรงข้ามลดปากกระบอกปืนออกไปจากตัวเขา
ก่อนที่เขาจะทันได้สูดหายใจก็ได้ยินเสียงดังตูม
ลูกระเบิดที่เฉียวชูยิงออกไปนั้นตกลงไปในห้องข้างเคียง ทำให้เกิดลูกบอลเพลิงสีแดง
กระจกหน้าต่างโดยรอบแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
พวก ‘คนไร้ใจ’ ที่ยังไม่ได้เริ่มจู่โจมดูเหมือนจะตื่นตระหนก รีบย้ายตำแหน่งออกห่างจากหน้าต่างริมถนน ถอยเข้าไปในส่วนลึกของห้องและหายลับไปในความมืดมิด
“ถอยกันก่อน!” เมื่อเห็นเช่นนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็รีบวิ่งออกจากที่ซ่อนพร้อมกับตะโกนออกมา
ที่นี่มีสัญญาณไฟฟ้ามากเกินไปทำให้เธอไม่อาจระบุได้ว่ามี ‘คนไร้ใจ’ และสัตว์ประหลาดซ่อนตัวอยู่มากน้อยเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อเทียบกับในแดนร้างข้างนอกแล้ว ที่นี่มีสิ่งกีดขวางอยู่มากมายที่รบกวนการตรวจจับของเธอ ดังนั้นหลังจากที่พวก ‘คนไร้ใจ’ ออกจากห้องริมถนนไปเธอก็สูญเสียการรับรู้จากศัตรูไปแล้ว
ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เหมียน ที่ต่างก็เชื่อมั่นในตัวหัวหน้าทีมอย่างหมดใจ พวกเขารีบพากันออกจากที่กำบังทันทีแล้ววิ่งตรงไปยังสุดถนน
เฉียวชูถ่ายทอดความคิดของตนเองโดยการหันหลังกลับแล้วออกวิ่งนำไปก่อนหน้านี้แล้ว
พวกเขาวิ่งออกจากถนนเส้นที่อยู่และตรงไปยังทางแยกด้านหน้า จนเมื่อรู้สึกเหมือนว่าหลุดออกจากวงล้อมได้แล้วถึงได้ชะลอฝีเท้าลง
หลงเยว่หงรีบใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแม็กกาซีนของปืนไรเฟิลจู่โจม ‘นักรบคลั่ง’ แล้วเติมกระสุนใส่แม็กกาซีนอันที่ใช้หมดแล้ว
“‘คนไร้ใจ’ ที่นี่มันจะมีมากเกินไปหน่อยแล้วมั้ง” เจี่ยงไป๋เหมียนหันกลับไปมองถนนที่จากมาเมื่อครู่ เธอขมวดคิ้วพูดขึ้น
ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ มองตามไป และรู้สึกว่ามีร่างที่เคลื่อนไหวอยู่ในความมืด เหมือนกับว่าพวกมันกำลังลากศพข้ามถนนไป
“พวกนี้น่าจะเป็นพวกรุ่นหลังๆ ของ ‘คนไร้ใจ’ ดูจากลักษณะแล้วไม่น่าจะเป็นพวกนักล่าหรือคนเร่ร่อนที่เพิ่งเข้ามาแล้วติดเชื้อเป็น ‘โรคไร้ใจ’” ไป๋เฉินแสดงความคิดตัวเองออกมา
พวกรุ่นหลังๆ ของ ‘คนไร้ใจ’ นั้นมีความสามารถในการใช้อาวุธมากขึ้น พวกมันมีเพียงแค่ดวงตาขุ่นมัวแต่ไม่มีความบ้าคลั่งอย่างไร้สติ ขณะเดียวกันก็เริ่มเปลี่ยนข้าวของเครื่องใช้และใส่เสื้อผ้าเพิ่มขึ้น พวกมันไม่ได้สวมเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่ง แถมยังสวมเสื้อผ้าที่เข้าชุดกันอีกด้วย
“เกือบจะถึงที่หมายแล้ว” เฉียวชูมองตรงไปข้างหน้า กระตุ้นเตือนเจี่ยงไป๋เหมียนและคนอื่นๆ
‘ทีมสำรวจเก่า’ ยุติการสนทนาแล้วติดตามเฉียวชูที่สวมชุดเกราะกระดูกเสริมแรงเดินเข้าไปในความมืด
หลังจากวิ่งเหยาะๆ ไปได้ร้อยเมตร จู่ๆ ก็มีคนสองคนออกมาจากซอยด้านข้าง
หนึ่งเป็นหญิงสาววัยยี่สิบเศษ มีผมสีดำดวงตาสีน้ำตาล สวมชุดสีเขียวลายพรางแบบทหาร หน้าตาไม่เลว เพียงแต่ว่าให้ความรู้สึกเย็นชาเฉยเมย
อีกหนึ่งเป็นชายอายุราวสามสิบ และมีผมสีดำดวงตาสีน้ำตาลเช่นกัน เขาสวมหมวกไหมพรมถักมีรูขาด ถือปืนไรเฟิลอัตโนมัติ
เจี่ยงไป๋เหมียนและเฉียวชูที่สวมชุดเกราะเสริมแรงอยู่นั้นมีปฏิกิริยาก่อนคนอื่นๆ ฝ่ายหลังกำลังจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง แต่เจี่ยงไป๋เหมียนรีบสาวเท้าก้าวไปข้างหน้าก่อนเพื่อขวางเอาไว้ แล้วตะโกนเสียงดัง
“หรูเซียงเหรอ”
เธอจำได้ว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นเพื่อนร่วมทีมของอู๋โส่วสือ ชื่อว่าหรูเซียง
เมื่ออานหรูเซียงได้ยินคำทักทายนี้ เธอถึงได้เห็นว่ามีกลุ่มคนอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก
ตอนแรกเธอตื่นตัวและเตรียมหาที่กำบัง แต่ดวงตาก็พลันอ่อนโยนลงทันทีและอดมองไปที่เฉียวชูไม่ได้
ชายที่อยู่ข้างเธอก็เช่นเดียวกัน เขามีท่าทีราวกับว่าได้พบคนที่ชื่นชมมานานแล้ว
ทั้งคู่รีบสาวเท้าเดินเข้ามาอยู่ข้างเฉียวชูอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าบนใบหน้าของเฉียวชูภายใต้หมวกเกราะนั้นไม่มีการแสดงออกใดๆ แต่เขาก็เมินเฉยคนทั้งคู่อย่างสิ้นเชิง
อานหรูเซียงมองมายังเจี่ยงไป๋เหมียน
“พวกคุณ…”
เมื่อไม่นานมานี้เธอเพิ่งจะได้พบกับอีกฝ่ายพร้อมกับชุดเกราะกระดูกเสริมแรง จึงทำให้จดจำได้อย่างชัดเจน
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วหันกลับมา
“ใช่แล้ว พวกเราเองแหละ ไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้”
เธอหยุดชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง
“เราเพิ่งเจอกับอู๋โส่วสือ”
เมื่อได้ยินชื่อของอู๋โส่วสือ อานหรูเซียงก็ตกตะลึง แล้วสีหน้าก็บิดเบี้ยว
ชื่อนี้ราวกับเป็นลูกศรที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า พุ่งทะลวงเข้าสู่หัวใจ ปลุกให้เธอตื่นจากความฝันอันงดงาม
เธอพยายามทรงตัวให้มั่นก่อนจะรีบถามออกมา
“เขา… เขาอยู่ไหน”