รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 76 การสนทนาใน “ภาพลวงตา”
หลังจากได้ยินคำพูดของซางเจี้ยนเย่าแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็จับประเด็นได้ทันที
จริงด้วยสิ ฉันเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าเฉียวชูน่าหลงใหลอีกต่อไปแล้ว
ถึงแม้ว่าเขาจะหล่อเหลาและอกผายไหล่ผึ่งดูองอาจ แต่นั่นก็ไม่ถึงกับทำให้คนที่มองแว่บแรกเกิดความหลงใหลใฝ่เพ้อได้ แถมเขายังเย็นชา มนุษยสัมพันธ์ก็ย่ำแย่ พอคบหากันนานเข้า ไม่เพียงแต่ความประทับใจจะน้อยลง ยังกลับยิ่งทำให้เธอรู้สึกรังเกียจมากขึ้นทุกที
ภายในใจของเจี่ยงไป๋เหมียนนั้นเกิดความรู้สึกลักษณะนี้ฝังซ่อนเอาไว้อย่างคลุมเครือ ซึ่งจะปรากฏขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ทว่าในตอนนี้พวกมันกลับปรากฏขึ้นมาให้เห็นชัดเจนราวกับเป็นตอไม้ที่ผุดขึ้นมาหลังจากที่ระดับน้ำลดลง
เธอพึมพำกับตัวเอง
“มิน่าล่ะ ชิปถึงทำให้รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีบางอย่างผิดปกติ รู้สึกว่าต้องปกป้องตัวเองตามสัญชาตญาณและอยู่ให้ห่างจากเฉียวชู…”
ไป๋เฉินที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำพูดของซางเจี้ยนเย่า สีหน้าเธอก็เปลี่ยนไปแปรมาหลายครั้งก่อนจะพูดออกมา
“พอฉันย้อนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าแปลกนะ… ทำไมพวกเราถึงอยากให้เฉียวชูชอบพวกเรามากขึ้นด้วยล่ะ นี่ถึงกับติดตามเขาเข้ามาในซากเมืองนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทั้งแปลกประหลาดทั้งอันตราย”
ที่นี่มีทั้ง ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ มีทั้งสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่น่าหวาดผวา มีทั้งระบบกลไกที่คอย ‘ดูแล’ เมืองที่คิดยังไงก็ยากที่จะเข้าใจได้ มีทั้งห้องแล็บลึกลับอย่างไม่น่าเชื่อ มีทั้งตัวอะไรก็ไม่รู้ที่ส่งเสียงหอนจนสั่นสะเทือนฟ้า นี่มันน่าหวาดผวายิ่งกว่าซากเมืองใดๆ ที่ไป๋เฉินเคยไปมาก่อนเสียอีก
“ใช่ ใช่” หลงเยว่หงผงกศีรษะรัว “รสนิยมทางเพศของฉันก็เป็นคนปกติทั่วไป แต่บางครั้งฉันก็ดันรู้สึกว่าถ้าเป็นเฉียวชู มันก็ไม่ได้แย่สักหน่อย…”
เขาพูดไปก็รู้สึกคลื่นเหียนพะอืดพะอมไปด้วย
“นายท้องเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ามองดูหลงเยว่หงด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่รู้ว่ากำลังจริงจังหรือแกล้งทำกันแน่
และไม่ได้รอให้อีกฝ่ายตอบอะไร เขาก็พูดต่อทันที
“หรือว่านี่จะเป็นพลังพิเศษ”
เจี่ยงไป๋เหมียนร้องเฮอะคำหนึ่ง
“นี่นายกำลังจะบอกว่าหลงเยว่หงมีพลังพิเศษที่ทำให้ตัวเองท้องได้ หรือจะว่าการทำเสน่ห์ของเฉียวชูเป็นพลังพิเศษกันแน่ห้ะ
“ทำเสน่ห์ อืม… นั่นสินะ น่าจะใช่แหละ
“พลังพิเศษทุกอย่างต้องมีระยะขอบเขต ตราบใดที่ยังไม่กลายเป็นความงมงายในผู้ครองกาล ทั้งระยะรัศมีและจำนวนเป้าหมายที่รับผลกระทบนั้นจะต้องสอดคล้องกับระดับพลัง
“อ้อ ใช่แล้ว จำได้ว่าตอนที่ฉันบอกว่าจะขอลงไปทำธุระข้างล่าง เฉียวชูไม่ยอมให้ไป เขาให้พวกเราอยู่แค่ในชั้นเดียวกัน ในยูนิตเดียวกันเท่านั้น ยังมีอีก… เมื่อกี้เขาบอกว่าพอเราไปสุดทางแล้ว อย่าเพิ่งเลี้ยวไปไหน ให้กลับมารายงานเขาก่อน
“นี่แสดงว่าระยะขอบเขตพลังของเขาน่าจะไม่เกิน 30 เมตร
“และเห็นได้ชัดว่าจำนวนเป้าหมายนั้นไม่ได้จำกัดแค่เพียงคนๆ เดียว ไม่สิ… สิ่งมีชีวิตอะไรก็ตามที่เข้ามาในระยะก็จะถูกทำเสน่ห์โดยอัตโนมัติงั้นเหรอ”
หลังจากที่ได้ยินการวิเคราะห์ของเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หงกับไป๋เฉินต่างก็รู้สึกหวาดหวั่นเพิ่มขึ้นทุกขณะ และเริ่มเข้าใจอย่างกระจ่างว่าทำไมก่อนหน้านี้พวกตนถึงมีพฤติกรรมผิดปกติ ซึ่งในตอนนั้นพวกเขากลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ควรทำ ราวกับว่าถูกผีทำเสน่ห์ให้ลุ่มหลง
“นี่มัน… น่ากลัว… น่ากลัวเกินไปแล้ว” หลงเยว่หงเพิ่งจะถอนหายใจ ทันใดนั้นก็พลันนึกขึ้นมาได้ว่าปัญหาที่แท้จริงคือเรื่องอื่นต่างหาก “หือ… เมื่อกี้เรากำลังกลัวกันแทบตาย กลัวจนยืนกันไม่ไหวเลยไม่ใช่เหรอ”
แล้วไหงตอนนี้ถึงมัวแต่มานั่งถกปัญหากันอยู่ได้
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจัง
“นั่นเพราะว่าก่อนหน้านี้ ที่เรามองเห็น ที่เรารู้สึกได้ พวกนั้นล้วนแต่เป็นภาพลวงตาทั้งนั้น
“แต่พอไม่ได้เอาพวกมันมาใส่ใจ ไม่สนใจมัน เราก็เลยไม่ได้รับผลกระทบอะไรอีก”
“ภาพลวงตา…” หลงเยว่หงถึงได้นึกได้ว่าก่อนหน้านี้ซางเจี้ยนเย่าเคยพูดถึงเรื่องนี้มาแล้ว
เขาตื่นตระหนกเล็กน้อย รีบถามขึ้นต่อ
“งั้นพวกเราควรจะออกจากภาพลวงตานี่ก่อนหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นถ้าพวก ‘คนไร้ใจ’ ฉวยโอกาสนี้โจมตีมาจะทำไง”
“ก็จริงนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือซ้ายที่ถือไฟฉายขึ้นมา เตรียมจะหน้าตนเองเพื่อ ‘ปลุก’ ตัวเองให้ตื่น
แต่พอคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าทำแบบนั้นมันคงจะเจ็บไม่น้อย เลยตัดสินใจยิงไปที่แอ่งเลือดเนื้อที่ขยับกระดึ๊บกระดึ๊บอยู่แทน เพื่อจะทำให้ ‘คนไร้ใจ’ ที่กำลังสร้างภาพหลอนอยู่ไม่สามารถคงสภาพพลังเอาไว้ได้
แอ่งเลือดเนื้อที่พวกเขาเห็นอยู่ก็พังทลายลงในทันที แล้วค่อยๆ กลับกลายเป็นชาย ‘คนไร้ใจ’ ที่กำลังยักแย่ยักยันยืนขึ้นมา
ในตอนนั้นพวกเขาก็ได้ยังเสียงดังแคร้งเบาๆ
หญิง ‘คนไร้ใจ’ พยายามลุกขึ้นมาแล้วโจมตีใส่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ด้วยกริชอันแหลมคมที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน แต่ก่อนที่เธอจะลุกจาก ‘เตียงไม้’ แบบง่ายๆ ขึ้นมาได้ ก็กลับล้มลงไปเสียก่อนอันเนื่องมาจากความเจ็บปวดที่ร่างกายช่วงล่าง กริชหลุดมือร่วงลงพื้น
สีหน้าของเธอบิดเบี้ยวเหยเกเป็นอย่างยิ่ง พยายามฝืนหยัดร่างขึ้น สอดมือเข้าไปในผ้าห่มที่ขาดรุ่งริ่ง
เพียงไม่นานเธอก็อุ้มเด็กทารกที่ตัวเปียกโชกสกปรกมอมแมมออกมาจากหว่างขา
สายสะดือสีเนื้อซีดๆ ยังเชื่อมอยู่กับสะดือของทารก
“อุแว้!”
เสียงร้องกระจ่างใสดังขึ้นมา ก้องสะท้อนไปทั่วห้อง
เจี่ยงไป่เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ที่ถือปืนอยู่ โดยปกติก็ควรจะยิงออกไปทันที แต่ทว่ากลับไม่มีใครเหนี่ยวไกแม้แต่คนเดียว
หญิง ‘คนไร้ใจ’ รีบตัดสายสะดืออย่างรวดเร็ว แล้วอุ้มทารกไว้ในอ้อมแขน
เธอเบี่ยงร่างหมุนกายครึ่งรอบเพื่อกันให้ ‘ทารก’ อยู่ห่างจากผู้บุกรุก
สีหน้าเธอนั้นดุร้ายและระแวดระวัง ดวงตาที่ขุ่นมัวก็ไม่รู้ว่ากลายเป็นเปียกชื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ราวกับแฝงนัยแห่งการวิงวอนขอร้อง
“อุแว้! อุแว้! อุแว้!”
ทารกร้องไห้ไม่หยุด หญิง ‘คนไร้ใจ’ ก็ก้มตัวโค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปากก็ส่งเสียงฮูๆ ไม่หยุด ราวกับร้องขออะไรอยู่
สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต่างก็นิ่งชะงัก แม้ไม่มีใครตอบสนอง แต่ก็ไม่ได้ยิงออกไปเช่นกัน
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ซางเจี้ยนเย่าก็หันหน้าไปมองเจี่ยงไป๋เหมียน
“หัวหน้า…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถอนหายใจยาว แล้วพูดกับหญิง ‘คนไร้ใจ’
“พวกเราไปกันเถอะ”
จากนั้นเธอก็คิดอยู่อึดใจ ชี้ไปในอากาศเบื้องหน้าแล้วพูดขึ้นโดยไม่ได้สนว่าอีกฝ่ายจะฟังเข้าใจหรือไม่
“สร้างภาพลวงตาให้พวกเราอีกครั้งได้ไหม”
ขณะที่พูดเธอก็หันปืนไปที่พื้น เดินไปข้างหน้าสองสามก้าวและเตะกริชกระเด็นออกไป
ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ก็ตามเข้าไปในห้องด้วย แต่ก็ไม่ได้แสดงเจตนาโจมตีแต่อย่างใด
หญิง ‘คนไร้ใจ’ ตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ร้องคำรามเสียงต่ำออกมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะฟังคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจ หรือว่าต้องการสร้างภาพลวงตาเพื่อสร้างสภาพการณ์สำหรับการผละหนีไปกันแน่
ฉากที่ปรากฏต่อสายตาซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ นั้นเป็นต้นไม้สีเขียวขจี รถถูกจอดทิ้งเกลื่อนกลาด
ราวกับพวกเขาถูกเคลื่อนย้ายออกไปยังถนนด้านนอก
“จริงด้วยสิ พอกลับสู่โลกความเป็นจริง ก็จะรู้สึกโดยอัตโนมัติทันทีว่าเฉียวชูนั้นน่าหลงใหล อยากติดตามเขาไปทุกๆ ที่” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหลังจากที่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในใจตัวเอง
“ถ้าเป็นการทำเสน่ห์อย่างอัตโนมัติ งั้นทำไม ‘คนไร้ใจ’ สองตนนั่นถึงไม่ได้รับผลกระทบล่ะ” ไป๋เฉินตั้งข้อสังเกตขึ้นมา “เฉียวชูบอกเองไม่ใช่เหรอว่าแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ อย่างม้าฝันร้ายเองก็อยากจะปล้ำเขา”
ซางเจี้ยนเย่ารีบพูดย้ำขึ้นมาทันที
“ประโยคนั้นผมเป็นคนพูดต่างหาก”
ไป๋เฉินถึงได้ตระหนักว่าเธอถูกซางเจี้ยนเย่า ‘ล้างสมอง’ เสียแล้ว จึงรีบเปลี่ยนคำพูดใหม่
“ฉันหมายถึงว่า สิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ อย่างม้าฝันร้ายก็ยังหลงเสน่ห์เขาเลย หรือว่า ‘คนไร้ใจ’ นี่เปลี่ยนแปลงสภาพไปจากมนุษย์ยิ่งกว่าม้าฝันร้ายอีกเหรอ”
“อาจเป็นเพราะมันกำลังจะคลอดลูก เลยทำให้อารมณ์จดจ่ออยู่แต่เรื่องนั้น” หลงเยว่หงคาดเดา
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะ
“ถ้ามองในแง่นี้ งั้นก็แสดงว่าการทำเสน่ห์ของเฉียวชูก็มีขีดจำกัดสินะ ดังนั้นระหว่างทางมานี่เขาก็เลยไม่กล้าจะแสดงนิสัยชั่วร้ายหรือแสดงความเป็นศัตรูมากเกินไป เพราะกลัวว่าการทำเสน่ห์จะล้มเหลวนั่นเอง”
โดยไม่รอให้คนอื่นพูดอะไร เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปพูดต่อ
“เสียเวลากันอีกไม่ได้แล้ว สิ่งสำคัญตอนนี้ก็คือต้องหาวิธีว่าจะทำยังไงกันดี เพื่อที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากการทำเสน่ห์หลังจากที่กลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“เพราะตอนนี้พวกเรายังไม่ได้อยู่นอกระยะรัศมีของพลัง”
ซางเจี้ยนเย่ารีบพูดทันที
“ให้ผมลองละกัน”
“ได้” สิ่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนคาดหวังที่สุดก็คือสหาย ‘ผู้ตื่นรู้’ คนนี้จะมีลูกไม้กลเม็ดอะไรแสดงออกมา
ซางเจี้ยนเย่าหันหน้าไปมองไป๋เฉิน
“ขอยืมกระจกเธอหน่อยสิ”
ถึงแม้ว่าไป๋เฉินจะรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงหยิบกล่องกระจกขนาดเท่าฝ่ามือที่พกติดตัวออกมา แล้วยื่นให้ซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าเปิดกล่องกระจกออก มองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ดวงตาค่อยๆ เปลี่ยนสีเป็นมืดมน พูดกับเงาตนเอง
“นายชอบเฉียวชู
“ใครๆ ก็ชอบเฉียวชู
“นายไม่มีทางได้ครอบครองเขาหรอก
“ดังนั้น…
ใบหน้าซางเจี้ยนเย่ากลายเป็นบิดเบี้ยวเหยเก ดำมืดถมึงทึงอย่างยิ่ง
จากนั้นก็รีบตอบคำถามตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ดังนั้นก็ต้องฆ่าเขาซะ
“ในเมื่อฉันไม่อาจครอบครองได้ งั้นคนอื่นก็อย่าหวังจะได้ครอบครองเลย”
ประโยคทั้งสองของซางเจี้ยนเย่านี้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเป็นอย่างยิ่ง และเต็มไปด้วยจิตสังหาร
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับอ้าปากค้าง รู้สึกอับจนคำพูด
“ทำงี้ได้ด้วยเหรอเนี่ย” หลงเยว่หงถามโพล่งออกมา
เขายิ่งรู้สึกหวาดกลัวซางเจี้ยนเย่าเพิ่มขึ้นอย่างบอกไม่ถูก กลัวว่าสักวันอีกฝ่ายอาจจะโกหกเขาแล้วทำให้ตัวเขาทำเรื่องอะไรที่เลวร้ายลงไป
ไป๋เฉินเองก็อึ้งไปเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อซางเจี้ยนเย่าคืนกระจกกลับมาให้ เธอก็ถามออกไปอย่างไม่รู้ตัว
“ทำไมถึงไม่ใช้พลังกับพวกเราล่ะ”
“ในภาพลวงตานี้ ผมทำได้แค่ชักจูงตัวเองเท่านั้น” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม “พอออกจากภาพลวงตาเมื่อไหร่ก็ค่อยใช้พลังกับพวกคุณ เพื่อไม่ให้พวกคุณมาขัดขวางผม”
“โห… แม้แต่วิธีคิดก็เปลี่ยนไปด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้พูดอะไรต่ออีก เพราะกลัวว่าพูดไปพูดมา ไม่รู้ว่าคำพูดไหนเกิดทำให้เขาหลุดจากผลของพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ก็จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นมา
จากนั้นเธอยกมือขวาขึ้น แล้วยิงไปยังตำแหน่งที่เธอจำได้ว่ามีเก้าอี้ไม้วางอยู่
เสียงปืนดังปัง แล้วฉากรอบตัวก็เกิดการเปลี่ยนแปลง สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ หลุดออกมาจากภาพลวงตาพร้อมๆ กัน
ในตอนนี้ชาย ‘คนไร้ใจ’ กับเด็กทารกได้หายไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงรอยเลือดที่นำไปสู่ทางออกจากห้อง
‘คนไร้ใจ’ ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่ประตูทางออกซึ่งไม่ห่างไปเท่าไหร่
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่า เจี่ยงไป๋เหมียน และคนอื่นๆ ตื่นขึ้นมาแล้ว หญิงที่ดวงตาขุ่นมัวก็ก้มศีรษะอีกครั้งราวกับว่าโค้งคำนับให้พวกเขา
จากนั้นเธอก็หันหลังกลับ แล้ววิ่งออกจากห้องหายลับไปในทางเดินฝั่งตรงข้าม
“มีพลังฟื้นตัวที่ทรงพลังจริงๆ” บางครั้งเจี่ยงไป๋เหมียนก็เป็นเหมือนซางเจี้ยนเย่าที่สนใจผิดที่ผิดเวลา
ตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็เดินมาข้างเธอแล้วพูด
“หัวหน้า คุณดูสิ…
“คุณชอบเฉียวชู
“ใครๆ ก็ชอบเฉียวชู
“คุณไม่มีทางได้ครอบครองเขาหรอก
“ดังนั้น…”
สีหน้าของเจี่ยงไป๋เหมี่ยนเปลี่ยนไปแปรมาหลายครั้ง ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“ดังนั้นฉันจะอัดเขาให้สลบ แล้วลากเขากลับไปด้วย!”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้เห็นด้วยหรือเห็นแย้ง จากนั้นเขาก็ใช้วิธีเดียวกันนี้กับไป๋เฉินและหลงเยว่หงเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาโจมตีเฉียวชู
แน่นอนว่าเป้าหมายของการโจมตีของพวกเขาแต่ละคนแตกต่างกันไป คนหนึ่งนั้นต้องการใช้กำลังบังคับขืนใจ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจจนทำให้จิตใจวิปริตบิดเบี้ยว
หลังจากที่เตรียมการต่างๆ เสร็จสิ้น ซางเจี้ยนเย่าก็ตบปืนไรเฟิลจู่โจมข้างกายเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“การร่วมทีมของพวกเราในตอนนี้ น่าจะเรียกว่าเป็นทีม ‘พันธมิตรหน่วยช้ำรัก’ สินะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาใส่ แล้วพูดย้ำ
“จากนี้ไปเราจะให้เฉียวชูเข้ามาใกล้ไม่ได้ เขาเป็น ‘ผู้ตื่นรู้’ ดังนั้นต้องมีพลังพิเศษอย่างอื่นอีกแน่
“หากเขาโผล่ออกมาที่ทางเดินเมื่อไหร่ กระหน่ำยิงใส่ทันที อ้อ… แต่ละคนต้องเล็งตำแหน่งที่ต่างกันนะ จะได้สร้างเป็นตาข่ายกระสุนล้อมทุกด้าน”
“ทราบแล้ว” ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ ต่างไม่ได้ตอบเสียงดัง
หลังจากตรวจสอบกันอีกรอบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หยิบวิทยุสื่อสารที่แขวนไว้ที่เข็มขัด กดปุ่มแล้วพูดออกไป
“เรามาจนสุดทางแล้ว เจอ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ หนึ่ง ‘คนไร้ใจ’ ธรรมดาอีกสอง
“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นกำลังคลอดลูก ก็เลยไม่ได้โจมตีเรา หลังจากนั้นมันก็หนีไป”
ไม่กี่วินาทีก็มีเสียงเย็นชาของเฉียวชูตอบกลับมาจากวิทยุสื่อสาร
“พวกคุณรออยู่นั่น เดี๋ยวผมไปหา”
Next