รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 80 ซุ่มโจมตี
เสี่ยวชงก้มมองดูชุดตัวเองแล้วพูดพึมพำ
“ผมไม่ได้กินไข่เจียวผัดมะเขือเทศมาตั้งนานแล้ว”
“พี่ก็เหมือนกัน…” ซางเจี้ยนเย่าแสดงสีหน้าย้อนรำลึกความทรงจำ จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมาเช็ดมุมปากด้วยหลังมือ
เมื่อเจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินบทสนทนาของพวกเขาก็ทำหน้าพิกล
เธอพยายามร่วมวงสนทนาด้วย
“พี่ทำเมนูนี้เป็นนะ
“ในแดนร้างนี่ ถ้าไม่ติดว่าต้องเป็นไข่ไก่ก็ยังพอจะหาไข่มาได้อยู่ล่ะ แต่ว่ามะเขือเทศนี่คงจะยากสักหน่อย”
เสี่ยวชงนึกทบทวนชั่วครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“ผมจำได้ว่าในเขตเทียนซิงมีห้องเย็นอยู่ ข้างในนั้นมีมะเขือเทศใส่ไว้เยอะเลย แต่ไม่รู้ว่าหมดไปแล้วหรือยัง ตอนนี้ยังกินได้อยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ไว้ถ้ามีโอกาสพวกเราก็ไปดูกัน” จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็กลับเข้าเรื่องเดิม “แต่ตอนนี้ออกจากนี่กันก่อนเถอะ”
“ฮะ” เสี่ยวชงตอบออกมาเป็นคนแรก สะพายเป้กระเป๋านักเรียนแล้วกระโดดหย็องแหย็งไปที่ประตู
ซางเจี้ยนเย่ามองตามแผ่นหลังของเขาไปแล้วพูดขึ้นมา
“ผมเดินนำหน้าเอง”
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ห้ามเขา
ดังนั้นพวกเขาเลยต้องปรับรูปขบวนกันใหม่ หลักหลักคือซางเจี้ยนเย่ากับเจี่ยงไป๋เหมียนสลับตำแหน่งกัน
‘ทีมสำรวจเก่า’ มุ่งหน้าไปตามทางเดินที่มืดสนิทและเงียบสงัดอีกครั้ง แสงไฟที่ส่องทางเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะมาจากเจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่ท้ายขบวน ส่วนคนอื่นนั้นต้องห้อยไฟฉายไว้ที่เข็มขัดเพราะถือไว้ไม่ได้ จึงมีแสงส่องเพียงแค่พื้นด้านล่างบริเวณเล็กๆ ที่เท้าของตนเองเท่านั้น
“พวกพี่เดินกันเร็วๆ หน่อยสิ!” เสี่ยงชงที่สะพายกระเป๋านักเรียนสีแดงหันกลับมาเร่งกลุ่มผู้ใหญ่เป็นครั้งคราว แต่ว่าพวกซางเจี้ยนเย่าก็ไม่ได้เร่งฝีเท้าตามที่ถูกกระตุ้น ยังคงรักษาความเร็วเอาไว้เช่นเดิม
“เฮ้อ” เสี่ยวชงทอดถอนใจหลังจากเร่งพวกเขาซ้ำๆ มาหลายครั้ง “ตอนที่โรงเรียนจัดกิจกรรมสัมพันธ์นักเรียนกับผู้ปกครอง พ่อแม่ผมก็เป็นแบบนี้เลย เดินอ้อยอิ่งตามอยู่ข้างหลัง พวกผู้ใหญ่เนี่ยชอบทำอย่างกับว่าถ้าวิ่งแล้วจะทำให้ขายหน้างั้นแหละ”
“กิจกรรมสัมพันธ์นักเรียนกับผู้ปกครองนี่มันอะไรเหรอ” ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงถามขึ้นมาพร้อมๆ กัน
“คือ… ก็คือ…” เสี่ยวชงพยายามเรียบเรียงคำพูด “ช่างมันเหอะ ถึงอธิบายไปพวกพี่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
ระหว่างที่พูดกันอยู่ พวกเขาก็เดินกลับมาถึงบันไดอย่างปลอดภัยโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงสีหน้าว่าสิ่งที่เธอเดาไว้ก่อนหน้านั้นถูกต้องแล้ว
ระหว่างทางที่กลับไปยังชั้นที่หนึ่ง พวกเขาไม่ถูกโจมตีอีกเลย หลังจากผ่านประตูฉุกเฉินที่ถูกกระแทกเปิดออกมา ก็มองเห็นห้องโถงที่มีลิฟต์
เจี่ยงไป๋เหมียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างนุ่มนวลกับเสี่ยวชงที่สวมชุดเหลือง แต่เสียงจะค่อนข้างดังไปสักหน่อย
“เธอรอนี่ก่อนได้ไหม พวกพี่ยังมีเรื่องต้องทำก่อนน่ะ”
เธอยังคงไม่ลืมว่ามีแผนจะลอบยิงเฉียวชูอยู่ที่นี่
ก่อนที่เสี่ยวชงจะตอบ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดเสริมขึ้น
“เราจะเล่นเกมยิงแบบของจริงกันน่ะ
“ก็คือเกมเมื่อกี้ที่เราเล่นกัน ตอนนี้จะเอามาเล่นกันในโลกจริงๆ”
ดวงตาของเสี่ยวชงเป็นประกายขึ้นมา แล้วก็พูดพึมพำ
“ผมยังเป็นแค่เด็ก ไม่ควรเล่นเกมอันตรายแบบนี้
“แต่ว่า… ผมเป็นผู้ชมได้นะฮะ!”
พอพูดจบเขาก็มีสีหน้าคาดหวังราวกับว่าซางเจี้ยนเย่าจะส่งปืนพกให้เขา
ซางเจี้ยนเย่าไม่สนใจภาษากายของเด็กชาย
“งั้นก็อย่าลืมตะโกนเชียร์ แล้วก็ตบมือให้พี่ด้วย!”
“ได้ฮะ…” เสี่ยวชงดูท่าทางผิดหวัง จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ก่อนจะถามออกมา “จะให้ผมรอตรงไหนดี”
เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่ขั้นบันไดที่ใช้ขึ้นไปยังชั้นสอง
“เธอนั่งตรงนั้นละกัน จะได้มองเห็นได้ทั่วๆ แล้วก็ปลอดภัยกว่าด้วย”
“อืม ได้ฮะ” เสี่ยวชงสะพายกระเป๋านักเรียนสีแดง กระโดดหย็องแหย็งแล้วลงไปนั่งโดยไม่กลัวว่าจะเปื้อนสักนิด
เจี่ยงไป๋เหมียนหันมาพูดกับไป๋เฉิน
“เธอไปตรงที่เสี่ยวชงอยู่แล้วหมอบรอซุ่มยิงอยู่ตรงนั้น คอยรับผิดชอบลิฟต์สามตัวที่หันหน้ามาหาตัวเอง
“พอเฉียวชูขึ้นลิฟต์มา เราจะกดปุ่มขึ้นเพื่อให้ลิฟต์จอดชั้นนี้
“แล้วตอนที่ประตูลิฟต์เปิดออก ก็ยิงใส่เฉียวชูที่อยู่ข้างในทันที
“อ้อ ต้องจำไว้ให้ดี เฉียวชูน่าจะคอยระวังตัวอยู่ เขาอาจจะอยู่ในท่าแปลกๆ เพื่อหลบการโจมตี อย่างเช่นว่านอนราบกับพื้น หรือไม่ก็กระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนเพดานลิฟต์แล้วยกตัวขดไว้”
ถึงแม้ว่าไป๋เฉินจะผ่านประสบการณ์การต่อสู้มากมายในซากเมือง แต่สถานที่พวกนั้นไม่ได้มีลิฟต์ให้ใช้ ดังนั้นเธอจึงต้องใช้เวลาเล็กน้อยเพื่อจินตนาการถึงภาพพวกนั้นก่อน แล้วในที่สุดก็ตอบออกมา
“เข้าใจแล้ว”
ดูเหมือนว่าเธอนึกเชื่อมโยงกับสถานการณ์ที่เคยประสบพบเจอมาในสมัยก่อนได้แล้ว สีหน้าเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่จะขยับผ้าพันคอให้คลายลงมา
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าแล้วชี้ไปที่ลิฟต์อีกสามตัวที่มองไม่เห็นจากบันได
“นายไปรอที่ปุ่มกดเรียกลิฟต์ พิงกำแพงเอาไว้
“มีสองภารกิจที่ต้องทำก็คือ
“อย่างแรกคือให้คอยช่วยไป๋เฉิน เผื่อว่าเฉียวชูจะหลบอยู่ในจุดอับทำให้ยิงไม่ได้ หรือไป๋เฉินยิงพลาดจุดตาย
“อย่างที่สองก็คือถ้าเป็นลิฟต์เปล่าผ่านมา ก็ช่วยกดปุ่มขึ้นข้างบนให้ฉันด้วย”
จากนั้นเธอก็ชี้ตัวเอง
“ส่วนฉันจะไปยืนรออยู่ตรงกลางระหว่างลิฟต์สามตัวที่ไป๋เฉินรับผิดชอบ เอาหลังแนบกำแพงไว้ อืม… เวลาแบบนี้ คุกเข่าน่าจะดีกว่า
“ฉันจะรับผิดชอบคอยดักยิงสองฝั่งซ้ายขวาของลิฟต์สามตัวที่ซางเจี้ยนเย่ายืนอยู่ ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นแล้วซางเจี้ยนเย่าตอบสนองไม่ทัน ฉันก็ยังกดปุ่มเรียกลิฟต์ให้ขึ้นไปได้
“ฉันจะพยายามตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าอย่างเต็มที่ เพื่อให้รู้ว่าเฉียวชูอยู่ในลิฟต์ตัวไหน”
พอเห็นหัวหน้าทีมหยุดพูดแล้ว หลงเยว่หงก็อดถามไม่ได้
“แล้วผมล่ะ”
“ไม่เลวนี่ เข้าใจถึงการทำงานเป็นทีมเวิร์กด้วย” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดชมแล้วชี้ไปที่บันได “นายคอยระวังบันไดที่ลงไปชั้นใต้ดินเอาไว้ เตรียมยิงทุกเมื่อ เผื่อว่าเฉียวชูอาจจะเลือกใช้บันไดแทนที่จะเป็นลิฟต์”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” แม้ว่าหลงเยว่หงจะประหม่าและไม่สบายใจ แต่ก็ยังคงมีความสุขที่มีส่วนร่วมกับทีมและได้รับคำชมจากหัวหน้า
* * * * *
ด้านข้างห้องเครื่องใต้ดินเป็นห้องจ่ายกระแสไฟฟ้าของอาคาร
เฉียวชูมองเข้าไปในห้องมืดมิดที่สว่างขึ้นมาเพราะลำแสงไฟฉายด้วยความประหลาดใจ
เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจะพบเป้าหมายได้อย่างราบรื่นเช่นนี้
คำว่าราบรื่น ไม่ได้หมายถึง ‘การค้นหา’ เพราะสุดท้ายแล้วกว่าจะหาเจอสถานที่นี้ได้ก็ต้องเสียเวลาไปมากพอควร แต่ราบรื่นนี้หมายถึงว่าตลอดทางมานี่เขาไม่ได้ถูกกลุ่มคนที่ ‘หลงใหล’ จนกลายเป็นบ้าคลั่งพวกนั้นโจมตีมาเลย และไม่มีเหตุไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการทั้งหมดอีกด้วย
นี่มันแตกต่างไปจากที่เขาคาดไว้อย่างสิ้นเชิง เขารู้ดีว่าภายในอาคารนี้มีสิ่งมีชีวิตอันตรายอยู่มากมายเต็มไปหมด ดังนั้นตอนที่เขา ‘ฝ่าด่าน’ ครั้งแรกไม่สำเร็จ จึงได้เปลี่ยนวิธีการ โดยใช้พวก ‘ทีมสำรวจเก่า’ มาทำแทน ไม่อย่างนั้นแล้วด้วยนิสัยของเขา ย่อมไม่มีทางไปใส่ใจคนอื่น ถ้าใครดึงดันจะมาพัวพันใกล้ชิดเขาก็ไม่ลังเลที่จะลงมือฆ่าทิ้งอย่างไม่ไยดี
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องราวมันถึงกลายเป็นแบบนี้ แต่ทว่าความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมแล้ว เฉียวชูจึงไม่คิดอะไรให้มากความอีก เขาสาวเท้าที่หุ้มด้วยโครงโลหะก้าวเข้าไปในห้องเบื้องหน้าตน
* * * * *
“ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมหลังจากที่จัดการมอบหมายภารกิจของแต่ละคนเสร็จแล้ว “พลังการ ‘ทำเสน่ห์’ ของเฉียวชูนั้นครอบคลุมพื้นที่ค่อนข้างกว้าง จากการเตรียมการในตอนนี้ ต่อให้เป็นไป๋เฉินที่อยู่ไกลที่สุดก็ยังได้รับผลกระทบด้วย ดังนั้นเรายังต้องเตรียมการเรื่องอื่นเพิ่มอีก”
เธอมองไปยังซางเจี้ยนเย่า
“นายพอจะมีวิธีบ้างไหม
“ถ้าหากไม่มี งั้นเราคงต้องทิ้งที่นี่ แล้วขึ้นไปบนดาดฟ้าของอาคารแถวๆ นี้แทน พอเฉียวชูออกมาเมื่อไหร่ก็ค่อยลอบยิงจากที่ไกลๆ อ้อ ตอนนั้นไฟส่องทางบางส่วนในเมืองน่าจะใช้ได้แล้ว”
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มและตอบอย่างไม่ลังเล
“มีสิ!”
เขาพูดต่อ
“แต่ผมต้องทำให้ทีละคน ไม่อย่างนั้นแต่ละคนจะกลายเป็นประจักษ์พยานซึ่งกันและกันจนทำให้ประสิทธิภาพของผลกระทบลดลงไปมาก หรืออาจจะไม่เกิดผลอะไรเลยก็ได้”
“ตอนที่อยู่ใต้ดิน นายไม่เห็นต้องให้คนอื่นหลบไปก่อนเลยนี่” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย
“ตอนนั้นพวกนายตกอยู่ใต้อิทธิพลของการ ‘ทำเสน่ห์’ ทำให้ไม่สนใจกับเรื่องบางเรื่อง แต่จะไปปักใจกับบางเรื่องแทน ยิ่งไปกว่านั้น เงื่อนไขที่ฉันใช้มันก็เป็นอะไรที่ในตอนนั้นพวกนายยอมรับกันอยู่แล้ว จนเป็นเหมือนข้อสรุปของการชักจูงไปโดยปริยาย” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงจัง
เจี่ยงไป๋เหมียนแสดงสีหน้าว่าเข้าใจ
“งั้นก็เริ่มกันเถอะ รีบลงมือเลย!”
ซางเจี้ยนเย่าชี้ไปนอกห้องโถงลิฟต์
“หัวหน้า คุณออกไปกับผมก่อน”
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนสาวเท้าก้าวออกไป เดินตามซางเจี้ยนเย่าไปจนถึงจุดที่หลงเยว่หงกับไป๋เฉินมองไม่เห็นฟังไม่ได้ยิน
ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียน ดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มทันที
“หัวหน้า คุณดูสิ
“พวกเราที่อาศัยอยู่ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ คนที่นั่นแปดสิบเปอร์เซ็นต์ล้วนแต่เป็นสามีภรรยาที่ถูกจัดสรรจับคู่
“ในหมู่พวกเขา หลายครอบครัวมีชีวิตที่ไม่เลวเลย สามีภรรยารักใคร่สมัครสมานสามัคคี ต่างก็พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
“ดังนั้น…”
เจี่ยงไป๋เหมียนชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโพล่งออกมา
“มีเพียงการจัดสรรจับคู่ของทางบริษัทเท่านั้นถึงจะเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริง เป็นความรักที่แท้จริง
“รักแรกพบเป็นเรื่องโกหกพกลมทั้งนั้น หลอกลวงทั้งเพ!”
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ดังนั้นต้องไปตบหัวสุนัขของไอ้คนหลอกลวงนั่นซะ!”
“นายไปหัดคำว่า ‘หัวสุนัข’ มาจากไหนเนี่ย” เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่ซางเจี้ยนเย่า
ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น พนักงานธรรมดาทั่วไปจะสามารถเลี้ยงสุนัขได้ยังไง
ถ้าหากว่าจะเลี้ยง ก็มีแต่จะเลี้ยงไว้เป็นอาหารเท่านั้นแหละ
“ฟังจากรายการวิทยุน่ะ” ซางเจี้ยนเย่ามองดูเจี่ยงไป๋เหมียนด้วยความสงสัย “คุณไม่เคยฟังซีรีส์ละครเรื่องนั้นเหรอ”
“ไม่เคย” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบพลางถอนใจ “ฉันรู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีชีวิตวัยเด็ก”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินกลับไปที่โถงลิฟต์พร้อมกับหัวหน้าทีม แล้วพูดกับหลงเยว่หง
“ตานายล่ะ”
หลงเยว่หงเดินตามซางเจี้ยนเย่าไปอย่างประหม่า แล้วกระซิบถาม
“นายตั้งใจจะหลอก เอ่อ… ชักจูงฉันว่าไงเหรอ”
“ง่ายจะตาย” ซางเจี้ยนเย่าตอบสบายสบาย “ดูสิ นายอยากมีคู่สมรสเป็นสาวสวยมาตลอดนี่ แล้วก็มีลูกซักสองสามคน ทำให้พวกเขามีเนื้อกินสัปดาห์ละสามครั้ง ถ้าคู่สมรสเป็นผู้ชายจะทำแบบนี้ได้ไหมล่ะ”
สีหน้าหลงเยว่หงเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ไม่มีทาง!”
“นายนี่พูดจาปากเสียจริงๆ
“ให้อยู่กับผู้ชายแบบนั้น น่าคลื่นไส้จะตาย!”
ในตอนนี้เขายังไม่ได้เบี่ยงเบนจนดำเนินความสัมพันธ์ไปถึงจุดนั้น
ซางเจี้ยนเย่ายิ้มแล้วตบด้านข้างของปืนไรเฟิลจู่โจมเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับไป๋เฉิน
“ตาเธอแล้ว”
“ฉัน… ฉันเสร็จแล้วเหรอ” หลงเยว่หงรู้สึกงุนงง
ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
“ของนายไม่ต้องทำอะไรแล้ว นายโอเคอยู่แล้วล่ะ”
“อะไรเนี่ย…” หลงเยว่หงเดินกลับไปยังที่เดิมด้วยความสงสัยไม่เข้าใจ
ไป๋เฉินเดินสวนมาก็ชำเลืองมอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ซางเจี้ยนเย่าพาไป๋เฉินไปยังจุดก่อนหน้าแล้วพูดออกมาจากใจ
“เธอพอจะบอกเกี่ยวกับคนหรือของที่มีความสำคัญมากๆ ต่อเธอให้ฉันฟังได้ไหม
“ยิ่งฉันรู้จักเธอดีขึ้นเท่าไหร่ ผลของพลังก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
“ไม่ต้องลงรายละเอียดมากนักหรอก แค่บอกคร่าวๆ ก็พอ”
ไป๋เฉินคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะดึงผ้าพันคอให้คลายออก พูดด้วยเสียงแหบเล็กน้อย
“สมัยก่อนฉันเคยมีหุ่นยนต์อยู่ตัวนึง มันอยู่กับฉันมาตลอดในช่วงสิบกว่าปีที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตฉัน
“จากนั้น เพื่อช่วยฉัน มันถึงต้องตาย…”
ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มลงตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“เธอดูสิ
“หุ่นยนต์ตัวนั้นโตมาพร้อมกับเธอ คอยปกป้องเธออยู่ตลอดเวลา
“เพื่อช่วยเธอ มันถึงกับยอมสละชีวิต”
“ดังนั้น…”
ดวงตาไป๋เฉินจู่ๆ ก็เปียกชื้นเล็กน้อย
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างหนักแน่น
“มีเพียงหุ่นยนต์เท่านั้นถึงจะเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริง มนุษย์ไม่ควรค่าที่จะไปรัก!”
แปะ!
ซางเจี้ยนเย่าตบมือ
“ไม่ต้องสุดโต่งซะขนาดนั้นก็ได้ เอาล่ะ กลับไปได้แล้ว”
ไป๋เฉินพยายามยับยั้งแรงกระตุ้น แล้วกลับไปยังตำแหน่งซุ่มยิงตามเดิม
จากนั้นซางเจี้ยนเย่าก็เดินไปที่ลิฟต์สีเทาแก่ มองภาพสะท้อนของตัวเองโดยอาศัยแสงจากไฟฉาย แล้วพูดพึมพำด้วยสีหน้าจริงจังผิดปกติ
“มนุษย์บนแดนธุลีนั้นยังต้องต้องเผชิญกับความอดอยาก มลพิษ โรคร้าย การกลายพันธุ์ และสงคราม ยังต้องมีชีวิตอยู่ในเงามืดของ ‘โรคไร้ใจ’
“นี่เป็นเรื่องที่มนุษย์ทุกคนต้องประสบพบเจออย่างไม่มีข้อยกเว้น
“ดังนั้น…”
ซางเจี้ยนเย่าหยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“การมีคนรัก จะขัดขวางไม่ให้ฉันช่วยมนุษยชาติ!”
เขากลับหลังหันไปพูดกับเจี่ยงไป๋เหมียน
“เสร็จแล้ว”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ยินที่ซางเจี้ยนเย่าพูดพึมพำ เธอจึงไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอาการอะไร จากนั้นก็ออกคำสั่ง
“ทุกคนเข้าประจำที่!”
สมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ทั้งสี่รีบปรับเปลี่ยนตำแหน่งและท่าทาง อดทนรอคอยสิ่งแปรเปลี่ยนที่กำลังจะเกิดขึ้น
ราวหนึ่งถึงสองนาทีหลังจากนั้น ห้องโถงลิฟต์ก็พลันสว่างไสวขึ้นมา
และทั่วทั้งล็อบบี้ชั้นหนึ่งก็สว่างไสวขึ้นมา
แสงสว่างเจิดจ้าปัดเป่าขับไล่ความมืดมิด ยึดครองพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมด
แหล่งจ่ายพลังงานในอาคารหลังนี้ได้ฟื้นคืนกลับมาแล้ว
Next