รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 82 ทำตัวเป็นอาจารย์
เมื่อเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นมองมา ตู้เหิงก็ชี้ไปยังเงาต้นไม้เบื้องหน้า พูดด้วยเสียงอ่อนโยน
“ตอนนี้อย่าเพิ่งขยับเลย รอให้สถานการณ์ผิดปกตินี่ผ่านไปก่อนเถอะ”
ซากเมืองในเวลานี้ยังคงไม่เงียบสงบ ยังมีเสียงหอนดังขึ้นเป็นระลอกต่อกันไปเป็นทอด ไม่ได้เงียบลง
เจี่ยงไป๋เหมียนมองตู้เหิงอยู่สองสามวินาที จากนั้นพยักหน้าให้หลงเยว่หงและคนอื่นๆ
แต่ก่อนที่เธอจะขยับตัว ซางเจี้ยนเย่าก็กระโดดไปอยู่ด้านข้างตู้เหิงแล้ว แล้วนั่งยองลงอย่างเป็นธรรมชาติ
ภาพแบบนี้ทำให้หลงเยว่หงรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าตัวเองได้กลับไปอยู่ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ อีกครั้ง ที่นั่นในช่วงเวลาอาหารเย็น ผู้คนมักจะนั่งยองๆ คุยกันอยู่ตรงทางเข้า ‘ศูนย์กิจกรรม’
ตอนแรกเจี่ยงไป๋เหมียนลังเลอยู่เล็กน้อย แต่พอดูไปดูมาก็ไม่อะไรยังไงอีก เธอนั่งยองลงข้างๆ ด้วยอีกคน พลางมองไปรอบๆ แล้วพูดออกมาจากใจจริง
“ขอบคุณที่เมื่อกี้ช่วยพวกเราไว้นะคะ”
“ก็ไม่ได้ช่วยอะไรสักหน่อย เพียงแค่ให้พวกคุณกลับเป็นปกติก่อนเวลาเท่านั้นเอง ก่อนที่สภาวะผิดปกตินี่จะหายไป ตราบใดที่พวกเธอไม่ได้ถูกจู่โจม ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวพวกเธอก็ฟื้นตัวได้เองอยู่แล้วล่ะ” ตู้เหิงตอบด้วยรอยยิ้ม
“ยังไงก็ถือว่าช่วยค่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนแสร้งทำเป็นถอนหายใจอย่างไม่ได้รู้สึกอะไร “คุณไม่ได้รับผลกระทบจากความกลัวนั่นแม้แต่นิดเดียว”
ตอนนี้ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงต่างก็ลงมานั่งยองๆ อยู่ในเงามืดด้วย แต่ยังคงถืออาวุธคอยระแวดระวังคนละทิศคนละด้านเอาไว้
เมื่อได้ยินเจี่ยงไป๋เหมียนถอนหายใจ ตู้เหิงก็หัวเราะ
“ฉันเป็นนักโบราณวัตถุและนักประวัติศาสตร์ที่บินเดี่ยวมาเกือบทั้งชีวิตนะ ถ้าไม่มีของบ้าง ก็คงตายไปนานแล้วล่ะ ไม่ได้อยู่มาจนปูนนี้หรอก”
พอเขาพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ถามขึ้นทันที
“ที่จริงแล้วคุณก็เป็นผู้ตื่นรู้ใช่ไหมครับ”
ตู้เหิงเหลือบมองซางเจี้ยนเย่า ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าจะว่ากันแบบจริงจัง ก็จัดว่าใช่แหละ”
“งั้นพอเข้าไปที่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ แล้วควรทำไงต่อเหรอครับ” ซางเจี้ยนเย่าถามออกมาตรงๆ โดยไม่ได้สนใจว่าตอนนี้กำลังอยู่สถานการณ์เช่นไร
ตู้เหิงยิ้มออกมา
“ภายใต้สถานการณ์ปกตินะ ถ้าหากว่าไม่ได้เป็นคนที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันแล้วล่ะก็ คงไม่มีผู้ตื่นรู้คนไหนมาบอกเล่าแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กันหรอก ใช่ไหมล่ะ ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าช่วยฝึกฝนบ่มเพาะให้กับคู่ต่อสู้ของตัวเองไปน่ะสิ
“แต่ก็นะ เหอะ เหอะ ฉันดันมีนิสัยเสียอยู่เรื่องนึง ก็คือชอบทำตัวเป็นอาจารย์สอนคนอื่นน่ะ
“เอาละ งั้นฉันจะอธิบายให้ฟังแบบง่ายๆ นะ
“พอเข้าไปถึง ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ก็จะเจอกับ ‘เกาะ’ ที่มีรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ขึ้นไปแวะพัก บนเกาะเหล่านี้เราจะพบกับสัตว์ประหลาดที่แตกต่างกัน พบกับสถานการณ์เลวร้ายที่แตกต่างกัน เพื่อให้คุณเผชิญหน้ากับมันและพิชิตมันให้ได้
“พวกมันจะเกี่ยวข้องกับความหวาดกลัวที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ หรือไม่ก็บาดแผลของความทรงจำในอดีต”
พูดมาถึงตรงนี้ ตู้เหิงก็อธิบายตั้งแต่เริ่มต้น
“จากประสบการณ์ส่วนตัวบวกกับการคาดเดาของฉันนะ อ้อ… การเดามันก็ไม่แน่ว่าจะถูกต้องเสมอไปใช่ไหมล่ะ
“พลังของผู้ตื่นรู้นั้นมาจากภายในจิตใจ มาจากจิตสำนึกของร่างกายที่เรียกว่า ‘ห้องโถงดารา’ ซึ่ง ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ก็เป็นเพียงการแสดงจิตสำนึกออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างหนึ่งแค่นั้น
“การที่พลังจะยกระดับให้ก้าวหน้าขึ้นได้นั้น โดยพื้นฐานก็คือต้องขุดและรีดเร้นกำลังใจของตนเองออกมา นั่นก็คือจะต้องเอาชนะเงามืดต่างๆ ในใจให้ได้”
ซางเจี้ยนเย่ารอให้ตู้เหิงพูดจนจบก่อนอย่างมีมารยาท จากนั้นจึงค่อยถามออกมา
“แล้วทำไม ‘ผู้ตื่นรู้’ ทุกคนถึงได้เห็น ‘ห้องโถงดารา’ เหมือนกันล่ะครับ”
ใบหน้าของตู้เหิงดูราวกับเหี่ยวย่นเพิ่มขึ้น เขายิ้มออกมาอย่างลำบากใจ
“นี่มันทดสอบกันซะแล้ว เรื่องนี้ฉันเองก็อธิบายไม่ถูกจริงๆ
“แต่ก็พอจะเคยได้ยินการคาดคะเนเกี่ยวกับทฤษฎีพวกนี้มาบ้าง
“ทฤษฎีอย่างแรกก็คือสถานที่อะไรแบบนี้นั้นซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึกของเราอยู่ก่อนแล้ว มันเป็นความทรงจำร่วมของมนุษยชาติ เป็นประสบการณ์บางส่วนจากบรรพบุรุษของมนุษยชาติที่มีร่วมกันมาตั้งแต่ยุคสมัยที่เก่าแก่ยิ่งกว่าโลกเก่าเสียอีก
“ทฤษฎีอย่างที่สองก็คือผู้ตื่นรู้นั้นเป็นอัครสาวก เป็นผู้ประกาศแห่งทวยเทพ เป็นคนที่ได้รับการุณย์แห่งเทพ ดังนั้นสิบสามผู้ครองกาลจึงได้ร่วมกันสร้างสถานที่อย่าง ‘ห้องโถงดารา’ ขึ้นมาเพื่อช่วยให้สาวกอันเป็นที่รักของพระองค์ได้เติบใหญ่แกร่งกล้าขึ้นจนกว่าจะได้เข้าสู่โลกใหม่ ซึ่งในจุดนี้ก็เลยทำให้มีการแบ่งกลุ่มพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้อย่างคร่าวๆ ได้เป็น 13 กลุ่มแตกต่างกันไปตามความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับเขตพลังแห่งผู้ครองกาลแต่ละพระองค์
“ดังนั้นสัดส่วนของผู้ตื่นรู้ที่เชื่อในศาสนาของผู้ครองกาลเหล่านั้นจึงมีจำนวนมากกว่าผู้ตื่นรู้ในกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้ศรัทธาผู้ครองกาล ซึ่งนอกจากจะมีจำนวนไม่มากแล้ว ก็ยังมีอย่างจำกัดอีกด้วย”
เจี่ยงไป๋เหมียนตั้งใจฟังอย่างจริงจัง พยักหน้ารับเบาๆ
“บางทีอาจเป็นเพราะว่าผู้ตื่นรู้จำนวนมากเชื่อว่าพลังพิเศษนั้นได้รับมาจากทวยเทพ ก็เลยพากันไปเข้าร่วมกับศาสนาต่างๆ นี่เลยยิ่งทำให้มีสัดส่วนจำนวนผู้ตื่นรู้ที่นับถือศาสนาของผู้ครองกาลสูงขึ้นไปอีก”
ดังนั้นการที่มีผู้ตื่นรู้จำนวนมากในนิกายนั้น ไม่แน่เสมอไปว่าเกิดขึ้นเพราะผู้ครองกาลคอยดูแลห่วงใยเหล่าสาวกผู้ศรัทธา
“ในเมื่อไม่มีการสำรวจตรวจสอบหรือวิจัยใดๆ ฉันคงฟันธงให้คำตอบที่แน่นอนไม่ได้เหมือนกัน” ตู้เหิงถอนใจแล้วพูด “น่าเสียดายที่โลกเก่าถูกทำลายมาเกือบ 70 ปีแล้ว หลังจากนั้นก็มีกลียุคตามมา มีสงครามมีความวุ่นวายโกลาหลขนาดใหญ่อีกร่วมยี่สิบสามสิบปี ทำให้มีหลายเรื่องที่ไม่สามารถย้อนติดตามตรวจสอบได้อีก
“ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะได้ค้นหาสืบสาวตามรอยไปเรื่อยๆ จนถึงต้นกำเนิดเกี่ยวกับความเชื่อในผู้ครองกาล ดูถึงเขตพลังและอำนาจของพวกพระองค์ สืบสาวดูว่าเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ถูกพวกผู้ตื่นรู้จงใจเพิ่มเติมเสริมแต่งเข้าไปในระหว่างการเผยแผ่ศาสนาจนพัฒนากลายมาเป็นเช่นในปัจจุบันนี้หรือเปล่า หรือว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยถูกเปลี่ยนแปลงอะไรเลย และสามารถสืบสาวย้อนรอยกลับไปจนถึงช่วงเวลาที่โลกเก่าถูกทำลายได้
“นี่ก็คือภาระหน้าที่รับผิดชอบของนักประวัติศาสตร์อย่างพวกเรานี่แหละ”
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็รู้สึกอย่างนี้เช่นเดียวกัน
“ถูกต้อง นี่คือที่มาของแรงจูงใจที่ผลักดันให้ฉันก้าวเดินต่อไปเพื่อทำเรื่องนี้”
ตู้เหิงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เปลี่ยนไปคุยในหัวข้อก่อนหน้า
“จาก ‘ห้องโถงดารา’ สู่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ สิ่งสำคัญก็คือต้องขุดลงไปให้ลึกและคว้าจับเอาพลังพิเศษของตนเองออกมาให้ได้”
เขาหยุดไปชั่วขณะ มองซางเจี้ยนเย่าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนี้คุณน่าจะใกล้สำเร็จขั้นตอนนี้แล้วสินะ ไม่งั้นก็คงไม่ถามคำถามนี้ออกมาหรอก
“รอไว้ให้เข้าสู่ ‘ทะเลต้นกำเนิด’ และเอาชนะเงามืดในใจทั้งหมดได้เมื่อไหร่ คุณก็จะมีโอกาสพบกับตัวเองอยู่ข้างในนั้น ต้องยอมรับเขา ต้องรองรับโอบอุ้มเขา เพื่อที่จิตใจคุณจะได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์
“นี่จะทำให้พลังของคุณเปลี่ยนแปลงพัฒนาขึ้นในเชิงคุณภาพ ไม่ว่าจะเป็นขีดจำกัดของผลกระทบหรือระยะขอบเขตของพลังก็ล้วนแต่สูงขึ้น
“แต่ทว่าในกระบวนการนี้ สิ่งที่คุณสละไปนั้นจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ปัญหาจุดอ่อนของคุณทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
“อย่างที่พูดกันนั่นแหละว่าของฟรีไม่มีในโลก”
พูดถึงตรงนี้ ตู้เหิงก็เตือนด้วยเมตตาจิต
“สำหรับผู้ตื่นรู้ทุกคน สิ่งที่ต้องสละออกไปนั้นต้องเก็บไว้เป็นความลับ
“ในแง่หนึ่งนั้น สิ่งที่สละก็คือจุดอ่อนที่จะถูกนำไปใช้เป็นเป้าโจมตีได้ง่ายมาก ส่วนอีกแง่หนึ่ง สิ่งที่ต้องสละแต่ละอย่างจะสะท้อนให้เห็นอย่างคลุมเครือว่าเป็นเขตพลังอะไร ทำให้คนที่คุ้นเคยกับเธอพอจะประเมินขั้นต้นถึงพลังพิเศษของเธอได้ การต่อสู้ระหว่างผู้ตื่นรู้นั้นถ้ามีคนรู้ล่วงหน้าว่าพลังพิเศษของเธอคืออะไรมันจะเป็นเรื่องอันตรายร้ายแรงเลยล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างเงียบๆ แล้วผงกศีรษะอย่างจริงจัง
“ขอบคุณครับ”
เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันคิดว่านายจะตบมือซะอีกนะเนี่ย”
ณ ขณะนี้สภาพแวดล้อมรอบตัวพวกเขานั้นเงียบสงบ ราวกับที่ตู้เหิงพูดไว้ก่อนหน้านี้ ขอเพียงไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ไม่ไปยืนอยู่ในที่สะดุดตา ก็จะไม่ตกเป็นเป้าของ ‘ความผิดปกติ’
“การพูดขอบคุณคือระดับขั้นที่สูงกว่าการตบมือน่ะ” ซางเจี้ยนเย่าอธิบายอย่างจริงใจ
ตู้เหิงหัวเราะอย่างไร้เสียง
“รอไว้จนกระทั่งคุณหาตัวเองเจอแล้ว ก็จะสามารถข้าม ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ไปได้ พอถึงตอนนั้นคุณก็จะเข้าไปยัง ‘ทางเดินแห่งจิต’
“เอาล่ะ ฉันพูดไปตั้งเยอะแยะแล้ว พวกคุณก็น่าจะให้ข้อมูลอะไรกลับมาซักหน่อยไม่ใช่เหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบกลับไปทันที แต่กลับหันไปมองเจี่ยงไป๋เหมียนที่ด้านข้าง
“คุณอยากรู้อะไรเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถาม
ตู้เหิงมองดูรอบๆ ก่อนจะหยิบเอาภาพถ่ายที่เก่าจนออกเหลืองขึ้นมา
“พวกคุณเคยเห็นเด็กคนนี้บ้างไหม
“เขาชื่อเสี่ยวชง”
เด็กชายในภาพถ่ายมีใบหน้าตุ้ยนุ้ยจ้ำม่ำ สวมชุดสัตว์ประหลาด ดูแล้วน่ารักมาก
คนในรูปนั้นก็คือเสี่ยวชงที่ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ เพิ่งได้เจอเมื่อก่อนหน้านี้เอง!
เสี่ยวชง… เมื่อได้ยินชื่อนี้ ทำเอาหลงเยว่หงรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าที่ตู้เหิงเข้ามาในซากปรักก็เพื่อจะตามหาคน
นอกจากนั้นคนที่เขากำลังตามหาอยู่ก็คือเด็กที่สุดจะแปลกประหลาดคนนั้น… เสี่ยวชง!
เจี่ยงไป๋เหมียนอดเม้มปากแน่นไม่ได้ เธอหันหน้าไปมองและชี้ไปยังตำแหน่งก่อนหน้านี้
“พวกเราเจอเขาที่ใกล้ๆ กับห้องเครื่องใต้ดิน แล้วเขาก็ตามพวกเราออกมาด้วย บอกว่าจะหาคนมาเล่นเกมกับเขา
“แต่พอเราออกมาถึงข้างนอกแล้ว เขาก็บอกว่าจะไปฉี่ จากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลย!”
ตู้เหิงพยักหน้าเล็กน้อยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อย่างงี้นี่เอง…”
“ทำไมคุณถึงตามหาเสี่ยวชงเหรอ” ซางเจี้ยนเย่าละสายตากลับมาจากตำแหน่งก่อนหน้า
ตู้เหิงพูดกลั้วหัวเราะ
“นี่มันเกี่ยวพันกับข้อมูลสำคัญจำนวนมาก ตอนนี้พวกคุณไม่มีข้าวของมากพอที่จะจ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนหรอก
“ไว้รอให้มีโอกาสเจอกันใหม่และพวกคุณมีข้อมูลสำคัญหรือเบาะแสอย่างอื่นพวกเราค่อยมาทำการค้ากัน”
เมื่อเห็นได้ชัดว่าตู้เหิงไม่ปรารถนาจะพูด เจี่ยงไป๋เหมียนจึงหันไปคุยกับซางเจี้ยนเย่า
“นายยังอยากจะถามอะไรอีกไหม”
ตู้เหิงขัดจังหวะขึ้นมาก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะทันได้พูดอะไร
“เรื่อง ‘ทางเดินแห่งจิต’ นั้น ไว้รอให้คุณได้เข้าไปได้ซะก่อนค่อยคุยละกัน ตอนนี้ถึงพูดไปคุณก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดก่อนจะหันไปถาม
“คุณเคยได้ยินเรื่องสถาบันวิจัยที่แปดบ้างไหม”
ตู้เหิงประหลาดใจเล็กน้อย
“พวกคุณเจอกับเจ้าหน้าที่พิเศษของพวกเขามาเหรอ”
พอเห็นเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ผงกศีรษะ เขาครุ่นคิดก่อนจะตอบออกมา
“สถาบันวิจัยที่แปดเป็นองค์กรที่ลึกลับมาก โดยปกติแล้วพวกเขาไม่ได้ติดต่อปฏิสัมพันธ์กับกองกำลังอื่นเท่าไหร่นัก เหมือนจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มีแค่บางครั้งที่จะดำเนินการผ่านพวกลักลอบค้าของเถื่อนเพื่อซื้อสินค้าพิเศษบางอย่าง
“แต่พวกเจ้าหน้าที่พิเศษจากที่นั่นมักจะปรากฏตัวในแดนธุลีบ่อยครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังปฏิบัติภารกิจอะไรอยู่”
พูดถึงตรงนี้ตู้เหิงก็หยุดพักชั่วขณะก่อนจะพูดต่อ
“สำหรับองค์กรนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่ามันสืบทอดมาตั้งแต่สมัยโลกเก่า บางคนรู้สึกว่าพวกเขากำลังรวบรวมข้อมูลต่างๆ เพื่อสร้างโลกใหม่ บางคนก็สงสัยว่าพวกเขากำลังพยายามทำลายเบาะแสและฝังกลบข้อเท็จจริงเบื้องหลังการล่มสลายของโลกเก่าทิ้ง
“เท่าที่ฉันรู้ก็มีแค่นี้แหละ”
เมื่อซางเจี้ยนเย่าฟังจบก็ถามขึ้น
“การทำเสน่ห์นี่เป็นเขตพลังของผู้ครองกาลองค์ไหนเหรอครับ”
“กระบวนการคิดของคุณนี่มันโดดไปโดดมาซะจริง” ตู้เหิงพูดติดตลก จากนั้นก็คิดชั่วขณะก่อนจะตอบ “น่าจะเป็นผู้ควบคุมเดือนห้าองค์ ‘พินิจกร[1]’”
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ เปิดปาก ตู้เหิงก็พูดต่อทันที
“ตาฉันถามบ้างละนะ”
เจี่ยงไป๋เหมียนกับซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่าง “ว่าง่าย”
“พวกคุณมาจากกองกำลังไหนเหรอ” ตู้เหิงถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างใจเย็น
“ผานกู่ชีวภาพค่ะ”
“ผานกู่ชีวภาพเหรอ… ฉันเคยเจอกับทีมดูแลโครงการของพวกคุณที่ทุ่งน้ำแข็ง พวกเขากำลังรับกลุ่มอาสาสมัครเพื่อทำการทดลองเกี่ยวกับผลกระทบของสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นว่ามีผลยังไงต่อร่างกายและจิตใจ โดยการเอาคนไปแช่แข็ง จุ๊ จุ๊ พวกอาสาพวกนั้นน่าเวทนาจริงๆ”
เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกละอายใจ
“อย่างน้อยก็ได้อิ่มท้อง”
“ก็จริงนะ” ตู้เหิงพยักหน้า
เขากำลังจะถามคำถามต่อไป ทันใดนั้นก็เห็นว่าอาคารรอบข้างค่อยๆ สว่างออกไปทีละช่วงๆ
อาคารภายในซากเมืองอย่างน้อยครึ่งเมืองเปล่งแสงสีที่แตกต่างกันออกมาในเวลาเดียวกัน บานหน้าต่างสว่างขึ้นบานแล้วบานเล่า
ความมืดสนิทและเงียบสงัดที่ห่อหุ้มอาณาบริเวณนี้จางหายไปอย่างรวดเร็วจนถึงชายขอบของซากเมือง
ไฟฟ้าของทั้งเมืองได้กลับคืนมาแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และคนอื่นๆ ได้เห็นฉากตระการตาเช่นนี้ ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นดาราจักรที่พูดถึงในหนังสือเรียนถูกย้ายมาไว้ให้เห็นบนพื้นโลก
สำหรับเจี่ยงไป๋เหมียนแล้ว ฉากเบื้องหน้าเธอในขณะนี้นั้นสร้างความตื่นตะลึงแบบเดียวกับเมื่อตอนที่เธอได้เห็นดาวเต็มฟ้าของจริง ได้เห็นท้องฟ้าสีครามของจริง ได้เห็นพระอาทิตย์ของจริงเป็นครั้งแรก
ตู้เหิงมองดูฉากนี้อย่างชื่นชมอยู่สองวินาทีก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ
“ความผิดปกติหายไปแล้ว พวกคุณปีนกำแพงออกจากที่นี่ไปได้แล้วล่ะ”
* * * * *
[1] พินิจกร (监察者) แปลว่า ผู้ตรวจสอบ