รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 87 เคยเป็นเจ้าของ
หลังจากได้ฟังซางเจี้ยนเย่าอธิบายจนจบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็พยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
ทั้งไป๋เฉินและหลงเยว่หงต่างก็รู้สึกหนักใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปยังหน้าจอ LCD ที่แสดงตัวหนังสือสีขาวบนพื้นหลังสีน้ำเงิน แล้วถามขึ้นมา
“ไปชั้นไหนกันดี ลิฟต์สองตัวนั้นน่าจะใช้ได้แล้วล่ะ”
ในขณะนี้ตัวเลขที่แสดงตำแหน่งชั้นของลิฟต์อีกสองตัวแสดงขึ้นมาตามปกติแล้ว
“ไปชั้นหกกันไหม ก่อนหน้านี้พวกเราตรวจสอบอย่างละเอียดไปแล้ว ที่นั่นน่าจะปลอดภัยที่สุด” ไป๋เฉินแนะนำตามที่ตัวเองคิด
“ได้” เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยิ้มออกมา “นอกจากนั้น ถ้าหากว่าเฉียวชูกลับมา เขาก็คงคิดไม่ถึงว่าพวกเรายังจะกล้ากลับไปพักที่ชั้นนั้นอีก นี่จะทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวเพราะคาดไม่ถึง”
ขณะที่พูดเธอก็ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วกดปุ่มด้วยมือข้างที่ถือปืนพก ‘มอสน้ำแข็ง’
เพียงไม่นานประตูลิฟต์สีเงินดำก็เปิดออก มีกลิ่นเหม็นอับเล็กน้อยโชยออกมา
เจี่ยงไป๋เหมียนตรวจสอบอย่างรอบคอบก่อนจะเดินนำเข้าไป
“เคลียร์”
หลังจากที่ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ ตามเข้าไปแล้ว ประตูลิฟต์ก็ค่อยๆ ปิดลง และเคลื่อนขึ้นไปด้านบนไปด้วยความเร็วคงที่
เมื่อตอนที่จากไปนั้น พวกเขาไม่ได้ปิดประตูห้อง 605 เพียงแค่ปิดแง้มเอาไว้
ทว่าในตอนนี้ ช่องว่างบานประตูโลหะที่แง้มไว้นั้นกลับมีแสงสีขาวลอดออกมาจากข้างใน
ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะเปิดประตูออก เจี่ยงไป๋เหมียนก็ยื่นมือออกมาขวางเขาไว้ทันที
“มีคนอยู่ข้างใน” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดเบาๆ
“กี่คน” ซางเจี้ยนเย่าทำราวกับถามว่ามีแขกมาหากี่คน
หลงเยว่หงตอบสนองด้วยการยกปืนขึ้นมา เตรียมพร้อมยิงได้ทุกเมื่อ
เจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ สูดลมหายใจช้าๆ เหลือบมองซางเจี้ยนเย่า
“หนึ่ง”
“เฉียวชูไม่มีทางกลับมาเร็วกว่าพวกเราแน่ๆ และถ้าเป็นคนที่แข็งแกร่งก็น่าจะรีบไปที่ ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ มากกว่า ส่วนคนที่อ่อนแอก็ไม่น่าจะลงมือเพียงลำพังตัวคนเดียว…” ไป๋เฉินวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว
“หรือไม่ก็อาจจะเป็นนักล่าที่พวกพ้องที่มาด้วยกันตายไปหมดแล้ว เลยเหลือแค่ตัวเองมาหาที่ซ่อนตามลำพัง แต่แบบนี้มันจะบังเอิญเกินไปหน่อยไหม ซากเมืองนี้ใหญ่มาก มีอาคารอยู่เยอะแยะเต็มไปหมด แต่กลับมาเลือกห้องที่พวกเราเคยพักก่อนหน้านี้ซะงั้น
“หรืออาจจะเป็น ‘คนไร้ใจ’ ที่เป็นเจ้าของห้อง พอไฟฟ้าสว่าง เขาก็เลยกลับมาที่ห้องตัวเองตามสัญชาตญาณ”
“ถูกต้อง กระบวนความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลของฉันบอกว่าความเป็นไปได้ของเรื่องแรกนั้น มีโอกาสเท่ากับศูนย์ แต่ทว่าสารพัดเรื่องที่พวกเราเจอๆ กันมาตลอดทางจนกระทั่งกลับมาถึงนี่อีกที มันสมเหตุสมผลหรือเปล่า เป็นคนก็อย่ายึดมั่นเชื่อมั่นเกินไปนัก ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า” ตอนแรกเจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะพูดว่า ‘ช่วงนี้พวกเราโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่’ แต่ก็กลัวว่าจะไปกระตุ้นหลงเยว่หงเข้า จึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่
ขณะที่เธอกำลังจะออกคำสั่งให้เปลี่ยนห้อง ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“ผมอยากเข้าไปดูหน่อย”
“อืม…” เจี่ยงไป๋เหมียนใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ไปดูเถอะ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าของห้องนี้จะเป็นยังไง ระวังตัวด้วยล่ะ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะแล้วถือปืนไรเฟิลจู่โจมเดินเข้าไปในห้อง 605 อย่างระมัดระวัง
เมื่อเทียบกับตอนที่พวกเขาจากไป ภายในห้องแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกเสียจากว่ากระเบื้องสีขาวกับพื้นสีน้ำตาลที่สะท้อนแสงไฟ ทำให้สัมผัสถึงความอบอุ่นอย่างอธิบายไม่ถูก
เมื่อเข้ามาในรัศมีระดับหนึ่ง ซางเจี้ยนเย่าก็จะสามารถรับรู้ได้ว่าคนๆ นั้นอยู่ตรงไหนโดยไม่ต้องให้เจี่ยงไป๋เหมียนบอก
‘เขา’ คนนั้นอยู่ลึกเข้าไปในทางเดิน อยู่ในห้องนอนเล็กๆ ด้านขวามือ
ซางเจี้ยนเย่าเดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว ในไม่ช้าก็เห็นบานประตูห้องนอนถูกเปิดอยู่ มีแสงสีส้มอมเหลืองส่องออกมา
บนเตียงเล็กๆ ที่มีขนาดไม่กว้างนักภายในห้อง บนผ้าปูเตียงสีน้ำเงินที่มีลวดลายเป็นดาวสีทองมากมายนั้นมีคนนอนอยู่
ดูแล้วน่าจะเป็นผู้หญิง ร่างกายโค้งค่อมเล็กน้อย ใบหน้าเหี่ยวย่นและแห้งราวกับเปลือกส้มแห้ง ผมยาวยุ่งเหยิงเป็นสีขาวล้วน
เมื่อมองดูผู้หญิงคนนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเส้นผมสีขาวที่เขาพบจากหมอนในห้องนอนนี้มาจากไหน
ขณะเดียวกันเขาก็จำอีกฝ่ายได้ว่าเป็น ‘คนไร้ใจ’ ที่เขาเห็นตอนที่เฝ้าเวรอยู่
‘คนไร้ใจ’ ตนนี้ดึงผ้าห่มที่ม้วนและยับยุ่งมาคลุมกายไว้ครึ่งร่าง
ในเวลานี้มือเธอยื่นค้างไว้ ในมือถือของบางอย่างอยู่ มองดูอย่างตั้งอกตั้งใจ
แขนเสื้อเธอเป็นสีชมพูแซมขาวเล็กน้อย ดูแล้วขนาดเสื้อไม่ค่อยพอดีตัวเท่าไหร่
เมื่อเห็นซางเจี้ยนเย่าใกล้เข้ามา ‘คนไร้ใจ’ ก็เงยหน้าขึ้นมาดู จากนั้นก็ก้มศีรษะลงไปมองหนังสือในมือต่อดังเดิม
ซางเจี้ยนเย่ามองดูเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปหาอย่างแผ่วเบาพร้อมปืนไรเฟิลจู่โจมในมือ
เจี่ยงไป๋เหมียนที่อยู่ด้านหลังกำลังจะร้องเตือน แต่ก็เห็นซางเจี้ยนเย่านั่งยองลงข้างเตียงเสียก่อน เขามองดูสิ่งของในมือ ‘คนไร้ใจ’ ไปด้วยกัน
หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ตามเขาเข้าไป เธอชะโงกเอนตัวข้ามศีรษะซางเจี้ยนเย่า มองดูหนังสือเล่มนั้นด้วย
จากประสบการณ์และความรอบรู้ของเธอ ทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่น่าจะเป็นอัลบั้มภาพถ่าย
แต่ละหน้าของอัลบั้มนี้ทำจากพลาสติกใส มีรูปถ่ายสีสันสดใสมากมายอยู่ในนั้น
สิ่งแรกที่เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นในภาพก็คือเด็กหญิงตัวน้อย
เธอแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าฟูฟ่องดูน่ารักน่าชังมาก กำลังร้องไห้โยเยอยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวที่มีรอยยิ้มงดงามภูมิฐานคนหนึ่ง
จากนั้น ‘คนไร้ใจ’ ก็พลิกอัลบั้มไปหน้าถัดไป
นี่ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนมองเห็นด้านหลังของภาพถ่ายได้
ด้านหลังภาพถ่ายเป็นกระดาษสีขาวที่ออกเหลืองเล็กน้อย มีคนใช้ปากกาหมึกดำเขียนข้อความเอาไว้
‘เจ้าตัวเล็ก 1 ขวบ[1]’
เจี่ยงไป๋เหมียนราวกับเข้าใจเรื่องราวบางอย่าง เมื่อ ‘คนไร้ใจ’ พลิกหน้าอัลบั้มไปเรื่อยๆ เธอก็มองดูภาพอื่นๆ
ในภาพถ่ายเหล่านั้น เด็กหญิงตัวน้อยค่อยๆ เติบโตขึ้น บางทีก็นั่งขี่คอชายคนหนึ่งไว้ หรือไม่ก็ถูกอุ้มไว้ในวงแขนของชายหญิงคนเดิมที่เห็นซ้ำๆ ในภาพถ่ายอื่นๆ บางทีเด็กหญิงก็สวมชุดสัตว์ประหลาดสีเขียวมีหาง ไม่ก็แต่งตัวด้วยชุดสีชมพูทำให้ดูผิวขาวอ่อนโยน
ด้านหลังภาพถ่ายพวกนี้ต่างก็มีลายมือที่เขียนด้วยปากกาสีดำเหมือนกัน
พวกมันเขียนเอาไว้ว่า
‘เจ้าตัวเล็ก 2 ขวบ’
‘เจ้าตัวเล็ก 3 ขวบ’
‘เจ้าตัวเล็ก 4 ขวบ’
จนกระทั่งพลิกจนหมดเล่ม ข้อความก็สิ้นสุดที่ ‘เจ้าตัวน้อย 7 ขวบ’
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูภาพถ่ายเหล่านี้จนหมดอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง แล้วเห็น ‘คนไร้ใจ’ เอนตัวลงไปนอนบนเตียงอีกครั้ง
ร่างกายเธอโค้งค่อมเล็กน้อย ใบหน้าเหี่ยวย่นและแห้งราวกับเปลือกส้มแห้ง ผมยาวยุ่งเหยิงเป็นสีขาวล้วน
เจี่ยงไป๋เหมียนหลับตาลง เอนเข้าไปใกล้หูซางเจี้ยนเย่า
“อย่ารบกวนเธอเลย”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขึ้น แล้วกลับไปที่ห้องนั่งเล่น
เจี่ยงไป๋เหมียนยกมือขึ้นปาดความชื้นในดวงตา แล้วชี้ไปนอกห้อง
“พวกเราไปที่อื่นกันเถอะ”
ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงต่างก็ไม่คัดค้าน
เพียงไม่นาน พวกเขาก็พบจุดซ่อนตัวชั่วคราวบนชั้นแปด
แผนผังห้องนี้เหมือนกับห้อง 605 ทุกประการ
“มีแค่ที่หน้าต่างห้องอาหารเท่านั้นที่มองเห็นรถจี๊ปกับรถหุ้มเกราะได้ ไป๋เฉิน… เธอไปเฝ้าที่นั่น” หลังจากตรวจสอบห้อง 805 เรียบร้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองดูรอบๆ ก่อนจะเริ่มมอบหมายภารกิจ “หลงเยว่หงอยู่ที่หน้าต่างสูงตรงนี้ คอยสังเกตถนนข้างนอกไว้ ซางเจี้ยนเย่ากับฉันจะไปพักก่อน อีกหนึ่งชั่วโมงจะมาสลับเวร”
“ทราบแล้ว หัวหน้า!” ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงต่างก็หยิบอาวุธแล้วไปยังตำแหน่งที่ดีที่สุดในการเฝ้ามอง
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ไปพัก เขามองหาจุดที่มีปลั๊กเสียบแล้วนั่งลงไป จากนั้นก็หยิบเอาลำโพงขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากเป้ยุทธวิธีที่สะพายไว้ข้างหลัง ตามด้วยอุปกรณ์กับเครื่องมือชิ้นเล็กชิ้นน้อย อะไหล่ และสายไฟ
“ไม่เห็นต้องรีบซ่อมขนาดนั้นเลยนี่” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร
ซางเจี้ยนเย่าตอบกลับในขณะที่ทดสอบเครื่องมือแต่ละชิ้นภายใต้แสงสว่างจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ไปด้วย
“ต้องรีบสิ นี่เป็นเรื่องสำคัญมาก”
“หือ ทำไมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนประหลาดใจเล็กน้อย
“คุณไม่รู้สึกเหรอว่าในช่วงเวลาวิกฤต ถ้าหากว่ามีดนตรีประกอบจะทำให้แสดงได้ดีขึ้น” ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามอง “ลำโพงนี้เหมือนว่าจะมีชิปเก็บข้อมูลอยู่ในตัว ข้างในต้องเป็นเพลงจากโลกเก่าแน่นอน”
“…ไม่รู้สึกย่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกล้มความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมเขา
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่ได้คิดจะพักจริงจังอยู่แล้ว เพราะว่าที่นี่มี ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ กับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อยู่ เลยทำให้เธอรู้สึกเป็นห่วงมือใหม่อย่างหลงเยว่หงอยู่บ้าง
เธอพูดว่าจะพักผ่อน แต่ที่จริงแล้วเพียงแค่จะพักสายตาเท่านั้น ในใจยังคอยตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบด้านไว้ตลอด
เมื่อเป็นเช่นนั้น ซางเจี้ยนเย่าอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำไปเถอะ
ด้วยสภาพร่างกายของคนที่รับการปรับปรุงพันธุกรรมมาแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้นอนสักคืนสองคืนก็ยังคงมีพลังเต็มเปี่ยม
ขณะที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังจดจ่ออยู่กับการซ่อมแซมลำโพง หลงเยว่หงก็คอยเฝ้าระวังพื้นที่ด้านนอก ทอดสายตามองไปในระยะไกล
แม้ว่าชั้นนี้จะเป็นเพียงแค่ชั้นที่แปด แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นแสงไฟของทั้งเมืองได้ พวกมันกระจายตัวราวกับดวงดาวบนฟากฟ้ามืดมิด
ถึงแม้เขาจะไม่เคยเห็นค่ำคืนที่มีดวงดาวพร่างพรายเต็มฟ้ามาก่อน แต่อย่างน้อยก็เคยได้เห็นจากภาพถ่าย จึงสร้างความเชื่อมโยงที่สอดคล้องกันได้
มองดูไปเรื่อยๆ อย่างนี้จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว ในที่สุดเขาก็ถอนใจออกมา
“สวยจริงๆ”
นอกจากความงดงามแล้ว เขายังรู้สึกว่าฉากเบื้องหน้านั้นมีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ เพียงแต่ไม่ทราบว่าจะพรรณนาออกมาอย่างไรดี
ผ่านไปชั่วขณะ หลงเยว่หงก็พูดออกมาจากใจ
“น่าเสียดายว่าที่นี่เตี้ยไปหน่อย ถ้าได้มองดูจากจุดที่สูงมากๆ มันต้องสวยกว่านี้แน่นอน”
หลังจากได้ฟังเช่นนั้น เจี่ยงไป๋เหมียนก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่หน้าต่างสูง
เธอจ้องมองออกไปเป็นเวลานาน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
“อยากลองขึ้นไปดูจากยอดตึกไหมล่ะ
“ตอนนี้ยังเงียบสงบอยู่ ‘ทุกคน’ ยังรักษามารยาทกันดี”
“ดีสิ” หลงเยว่หงรีบตอบทันที
“จะไปด้วยกันไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปรอบๆ เพื่อถามซางเจี้ยนเย่ากับไป๋เฉิน
“ไป ไป” ไป๋เฉินรู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่จะได้ผ่อนคลายสักหน่อย
“ผมเกือบเสร็จแล้ว” จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วยัดเอาสารพัดสิ่งของกลับลงไปในเป้ยุทธวิธี โดยถือไว้แค่ลำโพงตัวเล็กที่มีพื้นผิวสีดำและด้านล่างเป็นสีน้ำเงินคู่หนึ่ง “ไม่รู้ว่าแบตยังใช้ได้อยู่อีกหรือเปล่า”
“ไปเถอะ ไปเถอะ กลับมาแล้วค่อยมาดูต่อ” เจี่ยงไป๋เหมียนเร่ง
จากนั้นพวกเขาก็รีบขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนสุด แล้วก็ปีนบันไดเปิดประตูขึ้นไปชั้นดาดฟ้า
ยังไม่ทันจะไปถึงขอบดาดฟ้า พวกเขาก็มองเห็นฉากโดยรอบของตัวอาคารแล้ว
แสงไฟดวงแล้วดวงเล่าสว่างไปทั่วสี่ทิศแปดทาง ส่องแสงสีเหลืองบ้างสีขาวบ้าง
แสงเหล่านี้บ้างก็มาจากไฟส่องทางริมถนน บ้างก็มาจากอาคารต่างๆ บ้างก็อยู่บนพื้นยกสูง เป็นราวกับประภาคารที่ส่องสว่างไปในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต เป็นราวกับดาวพร่างพรายล่องลอยบนฟ้ายามราตรี
มีเงาร่างมนุษย์เคลื่อนไหวไปมาอยู่ใกล้กับดวงไฟ บางทีก็มีรถแล่นผ่าน ทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
“ตระการตาจริงๆ” หลงเยว่หงถอนใจด้วยความสะเทือนใจอีกครั้ง
เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนที่เหลือต่างไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขายืนอยู่ริมดาดฟ้าจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยความตื่นตะลึง
ฉากที่เห็นอยู่เบื้องหน้านี้ พวกเขาต่างไม่อาจหาถ้อยคำที่เหมาะสมบรรยายออกมาได้
เวลาผ่านไปนานเพียงใดไม่อาจทราบได้ ซางเจี้ยนเย่าก้าวถอยหลังไปสองก้าวแล้วนั่งยองลง
“เวลาแบบนี้มันต้องมีเพลงประกอบด้วย…” เขาวางลำโพงลง เคาะก๊อกแก๊กแล้วเริ่มปรับแต่ง
แล้วในตอนนี้เอง ทิศที่ตั้งของ ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ก็เกิดเสียงหอนที่อ้างว้างดังขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่เสียงหอนดังก้องสะท้อนอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เห็นดวงไฟสว่างเจิดจ้าปะทุขึ้นมาจากตำแหน่งนั้น
บูม!
จากนั้นก็เกิดเสียงระเบิดกึกก้องดังสนั่นตามมา กลบการเคลื่อนไหวทั้งหมดให้จมลงไป
กระแสอากาศสีขาวทึมรวมตัวกันอย่างรวดเร็วแล้วลอยตัวขึ้นเป็นรูปเห็ดขนาดยักษ์
นี่ทำให้อาคารที่เจี่ยงไป๋เหมียนกับพวกพ้องอยู่นั้นสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง
ซางเจี้ยนเย่ายืนขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว เดินไปอยู่ด้านข้างผองเพื่อน มองดูสิ่งที่เกิดขึ้น
ขณะที่เปลวเพลิงพวยพุ่ง มวลอากาศขยายตัว หลอดไฟทั่วบริเวณนั้นกะพริบสองสามครั้งก่อนจะดับพรึบลงไปดวงแล้วดวงเล่า
รวมถึงอาคารที่เป็นที่ตั้งของ ‘ศูนย์ควบคุมเครือข่ายอัจฉริยะ’ ด้วย
สิ่งที่ตามมาต่อจากนั้นคือหลอดไฟทั้งหมดในเมือง ไม่ว่าจะเป็นไฟถนนหรือแสงไฟจากหน้าต่างอาคาร ก็ค่อยๆ ดับวูบลงไปทีละเขตทีละพื้นที่
เพียงไม่กี่วินาทีต่อมา ทั่วทั้งเมืองก็กลายเป็นความมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์อ่อนๆ กับแสงดาวลางเลือน ทำให้มองเห็นแถวของอาคารได้อย่างเลือนลาง ราวกับสัตว์ประหลาดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของฝันร้าย
ไม่ว่าจะเป็นเงาร่างที่เคลื่อนไหวอยู่หลังหน้าต่าง หรือว่า ‘คนไร้ใจ’ ที่วุ่นวายอยู่ข้างนอก รวมถึงยวดยานพาหนะที่ขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนน ต่างก็ถูกกลืนกินด้วยความมืดมิดจนไม่อาจมองเห็นได้อีกต่อไป
ซากเมืองพลันเงียบสงัดลงอีกครั้ง
ซางเจี้ยนเย่ากับคนอื่นๆ มองดูอย่างเลื่อนลอยอยู่สิบกว่าวินาที ในใจรู้สึกหนักอึ้งอย่างอธิบายไม่ถูก
พวกเขาต่างก็ไม่ทราบว่าจะแสดงอารมณ์เช่นไรออกมา ทำได้แต่เพียงมองดูต่อไปเท่านั้น
หลังจากนั้นอีกครู่หนึ่ง พวกเขาก็ก้มมองไปที่ชั้นล่างอย่างไม่รู้ตัว
ในแสงสลัวนั้นมี ‘คนไร้ใจ’ ตนหนึ่งปีนมุดลอดออกมาจากหน้าต่างบานหนึ่ง
ผมอันยุ่งเหยิงของมันเป็นสีขาวโพลนทั้งศีรษะ
มันปีนขึ้นมาอย่างลำบาก แล้วกระโดดลงไป จากนั้นก็หายลับไปในเงามืดของอาคารราวกับเป็นวานรตัวหนึ่ง
หลงเยว่หงรู้สึกตกใจกลัว ไม่กล้ามองอีกต่อไป ก้าวถอยหลังไปสองก้าว
พลั่ก!
จังหวะนั้นเขาเตะถูกลำโพงที่ซางเจี้ยนเย่าวางไว้
ลำโพงส่งเสียงดังซ่าๆ ออกมาทันที
สมาชิกทั้งสี่ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต่างก็หันขวับกลับไปมองโดยสัญชาตญาณ
เกือบในขณะเดียวกัน เสียงไพเราะอันเศร้าสร้อยของหญิงสาวก็ดังออกมาจากลำโพง
“หวนย้อนอดีต…
“ความคะนึงอันปวดร้าวไม่อาจลืมเลือน…[2]”
บนดาดฟ้าที่ว่างเปล่า ในความมืดมิดไร้ขอบเขต ท่ามกลางเมืองที่ตายไปแล้ว บทเพลงนี้ดังมาจากตำแหน่งที่เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน กำลังยืนอย่างเงียบงัน ราวกับกำลังโหยร่ำไห้ออกมา
* * * * *
[1] เจ้าตัวเล็ก (囡囡) เป็นคำที่ใช้เรียกเด็กตัวน้อยด้วยความเอ็นดู
[2] เนื้อเพลง 新不了情 (xīn bù liǎo qíng ซินปู้เหลี่ยวฉิง – รักชั่วนิรันดร์) ขับร้องโดย 万芳 (Wàn Fāng ว่านฟาง) 新不了情 – 萬芳【高音質 動態歌詞】- https://www.youtube.com/watch?v=diCBV_DIgRA