รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 95 ปฏิกิริยาของแต่ละคน
ซางเจี้ยนเย่าเพิ่งจะได้ยินชื่อของหวังย่าเฟยเมื่อเช้ามืดนี้เอง
เมื่อตอนเช้ามืดที่เขาเข้าร่วมการชุมนุมของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ มีสมาชิกคนหนึ่งเอ่ยชื่อบุคคลนี้ขึ้นมา บอกว่าเขาสนับสนุนการจัดตั้ง ‘ศูนย์ให้กำเนิด’ เพื่อให้เด็กๆ ถือกำเนิดจากมดลูกเทียมที่สร้างโดยมนุษย์
สมาชิกคนนี้ยังบอกด้วยว่าเป็นเพราะเธอนั้นมักจะโต้เถียงหวังย่าเฟยเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงถูกเขาใช้อำนาจในฐานะหัวหน้า หาข้ออ้างมาย้ายงานให้เธอไปทำตำแหน่งพนักงานทำความสะอาดที่ลำบากที่สุด
ในตอนนั้น ‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ยตอบว่า
“องค์เทพีจะลงโทษคนบาป”
หลังจากพูดเสร็จ ผ่านไปยังไม่ถึงสี่ชั่วโมงดี หวังย่าเฟยก็เสียชีวิตในที่ทำงานจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเสียแล้ว
ถ้าหากว่าซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ฟังเรื่องที่เกี่ยวข้องนี้มาก่อน เขาย่อมไม่รู้สึกว่าข่าวนี้จะมีอะไรผิดปกติอย่างแน่นอน ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นมีผู้เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยกระทันหันอยู่ทุกปี ซึ่งนับได้ว่าเป็นปรากฏการณ์ปกติ
ถ้าหากว่าหวังย่าเฟยเสียชีวิตในอีกสองสามปีให้หลัง ซางเจี้ยนเย่าก็ยังคงไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องผิดปกติอะไรมากนัก เขาย่อมมองว่านี่เป็นความบังเอิญอย่างแน่นอน
แต่ทว่าในตอนนี้ เหรินเจี๋ยเพิ่งจะพูดว่า ‘องค์เทพีจะลงโทษคนบาป’ ไปเมื่อตอนเช้ามืดนี้เอง แล้ว ‘คนบาป’ หวังย่าเฟยก็พลันป่วยจนเสียชีวิต
ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืนทันที หยิบเสื้อคลุมที่แขวนไว้เอามาคลุมร่าง
เขารีบออกจากบ้าน ตรงไปยังเขต C
เขาก้าวพรวดพราดออกไป จากนั้นก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง เพียงไม่นานฝีเท้าเขาก็กลับมาเป็นอัตราเร็วตามปกติ
ขณะที่เข้าใกล้ ‘ศูนย์กิจกรรม’ ซางเจี้ยนเย่าก็กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็พลันมองเห็นเสิ่นตู้กำลังยืนอยู่ในเงาผนังด้านข้าง จมอยู่ในความมืดสลัว
เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างเหม่อลอย แม้ว่าสายตาจะมองไปข้างหน้า แต่มันกลับเลื่อนลอยโดยสิ้นเชิง จนกระทั่งซางเจี้ยนเย่าเดินเข้ามาใกล้เขาก็ยังไม่สังเกตเห็น
“ลุงเสิ่น” ซางเจี้ยนเย่าเรียกเขา
เสิ่นตู้สะดุ้งตกใจแล้วหันหน้ามาเล็กน้อยเพื่อมองดูต้นเสียง
“เสี่ยวซางนั่นเอง…” เขาพยายามฝืนยิ้ม
ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งเป็นอย่างยิ่ง
“หวังย่าเฟยตายแล้ว”
ใบหน้าเสิ่นตู้ซีดลงเล็กน้อย กล้ามเนื้อปากทั้งสองข้างกระตุก
“ฉันรู้แล้ว”
เสียงเขาเบาหวิว ราวกับกลัวว่าจะไปรบกวนบางสิ่งที่มองไม่เห็น
ซางเจี้ยนเย่ามองเขาแล้วถามออกมาตรงๆ
“นี่เป็นเทวทัณฑ์เหรอครับ”
เสิ่นตู้ตัวสั่นเทิ้มอีกครั้ง สีหน้ากลายเป็นไม่รับรู้อะไรทันที
“ฉันไม่รู้…” สายตาเขามองมาทางซางเจี้ยนเย่า แต่ทว่ามันกลายเป็นสายตาที่เลื่อนลอยเหมือนก่อนหน้าไปอีกแล้ว
ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะถามต่อ แต่ก็มีเด็กชายวัยห้าหกขวบวิ่งมาจับมือเสิ่นตู้เขย่าไปมา
“ป๊ะป๋า ป๊ะป๋า กลับบ้านได้แล้ว!”
“อืม อืม” เสิ่นตู้ตอบรับไปสองคำ แล้วหันหน้ามาหาซางเจี้ยนเย่า “ฉันกลับบ้านก่อนนะ”
“ไว้เจอกันครับ” ซางเจี้ยนเย่าโบกมือลาอย่างมีมารยาท
เสิ่นตู้หันมามองลูกชายอีกครั้ง รอยยิ้มอ่อนโยนค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้า
เขาจูงลูกชายเดินไปหาภรรยาที่ออกมาหาที่ ‘ศูนย์กิจกรรม’ จากนั้นก็ค่อยๆ เดินกลับไปยังเขต B
ซางเจี้ยนเย่ามองตามแผ่นหลังเขาไปเป็นเวลานาน
การชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมาของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ เขาได้ใช้ ‘พลังพิเศษ’ เพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับสมาชิกไปหลายคน ฟังพวกเขาเล่าถึงเหตุผลที่มาเข้าร่วมกับนิกาย
ในหมู่พวกเขานั้น เสิ่นตู้เคยมีลูกที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ยังเป็นทารก หลังจากที่ลูกคนนี้เกิดมาพวกเขาก็กลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ไม่สามารถจะเลี้ยงดูลูกจนเติบใหญ่ได้
เหรินเจี๋ยรู้ถึงสถานการณ์ของพวกเขาจึงเข้ามาตีสนิท และให้ความรู้มากมายเกี่ยวกับการดูแลบุตร
หลังจากนั้นลูกของเสิ่นตู้ก็เติบโตขึ้นมาอย่างช้าๆ และมีสุขภาพแข็งแรง เขาจึงเริ่มเชื่อในเทพเจ้าที่เหรินเจี๋ยพูดถึง ในที่สุดก็เข้าร่วมนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซางเจี้ยนเย่าก็ละสายตากลับมาแล้วเดินไปที่ประตูทางออกของ ‘ศูนย์กิจกรรม’
ในเวลานี้ เนื่องจากว่ารายการวิทยุเริ่มออกอากาศแล้ว คนเดินเท้าด้านนอกจึงแทบจะไม่เหลืออยู่อีก มีเพียงแค่เสียงของคนที่ล้อมวงเล่นไพ่และพูดคุยกันดังออกมาจากด้านใน
แน่นอนว่าถ้ามองไปรอบๆ อย่างตั้งใจก็ยังคงมองเห็นเงาร่างเป็นคู่อยู่ในมุมมืดอยู่บ้าง
ในขณะที่ซางเจี้ยนเย่ากำลังจะผ่านประตูออกไปนั้นก็มองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยสองคนเดินออกมา
หญิงสาววัย 27 ปีทางด้านขวานั้นคือเจี่ยนซิน สมาชิกนิกายที่มาเข้าร่วมการชุมนุมของ ‘พิธีกรรมชีวิต’ เมื่อตอนเช้ามืดวันนี้แล้วบ่นเรื่องเกี่ยวกับหวังย่าเฟย
ใบหน้าเธอนั้นดูดีมีความงดงาม จัดได้ว่าเป็นคนสวยเลยทีเดียว
นี่เป็นผลประโยชน์มาจากความนิยมในการปรับปรุงพันธุกรรมตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์
อีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างก็คือสามีของเธอ จั๋วเจิ้งหยวน ซึ่งก็เป็นสมาชิกของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ เช่นกัน
ในตอนนี้ใบหน้าของเจี่ยนซินซีดเผือดราวกับเป็นโรคร้าย
เธอดูตื่นตระหนก ราวกับว่าแม้เพียงลมพัดหญ้าไหว ก็ทำให้หวาดผวาเสียแล้ว
จั๋วเจิ้งหยวนสามีของเธอก็มีสีหน้าหม่นหมอง ทำให้คนรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้
ซางเจี้ยนเย่าก้าวเท้าไปสองก้าว เดินไปหยุดอยู่ด้านหน้าพวกเขา
เจี่ยนซินกับจั๋วเจิ้งหยวนหยุดฝีเท้าพร้อมกัน สะดุ้งเล็กน้อย
ซางเจี้ยนเย่ากดเสียงพูด
“หวังย่าเฟยตายแล้ว”
เจี่ยนซินที่ไว้ผมสั้นเสมอหูตอบออกมาตามปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติ
“บังเอิญน่ะ นี่มันเป็นเรื่องบังเอิญ…”
เสียงเธอค่อยๆ หายไปในลำคอ ทิ้งไว้เพียงหางเสียงที่อ่อนแรงแฝงความหวาดกลัวและมึนงงสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก
จั๋วเจิ้งหยวนกลืนน้ำลายพูดด้วยเสียงลึก
“ผลการชันสูตรเบื้องต้นออกมาแล้ว เป็นการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันจริงๆ ไม่มีสาเหตุภายนอกอื่นๆ เลย”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
“บังเอิญจริงๆ”
แล้วเขาก็เบี่ยงตัวไปด้านข้างเพื่อเปิดทางให้เจี่ยนซินกับจั๋วเจิ้งหยวนเดินผ่านไป
รอจนคู่สามีภรรยาจากไปไม่ไกลนัก ซางเจี้ยนเย่าจึงหันหน้ามามองตามไป
ภายใต้แสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์บนเพดาน เงาร่างของเจี่ยนซินกับจั๋วเจิ้งหยวนดูส่ายเอนเล็กน้อยราวกับไร้เรี่ยวแรง
ซางเจี้ยนเย่าจำได้ว่าสาเหตุที่พวกเขาเข้าร่วมกับนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ เป็นเพราะเจี่ยนซินเคยแท้งลูกมาแล้วสองครั้ง กว่าจะตั้งครรภ์ลูกคนที่สามได้นั้นนับว่าไม่ใช่เรื่องง่าย
ในตอนนี้ลูกของพวกเขาถือกำเนิดออกมาแล้ว ไม่เพียงแต่จะไม่เป็นโรคอะไร กลับยังได้รับการสืบทอดเอาข้อดีส่วนใหญ่ของการปรับปรุงพันธุกรรมจากพ่อแม่มาอีกด้วย
นี่ทำให้เขาได้รับทักษะที่ดีขึ้นในการปรับยาครั้งต่อๆ ไป
ถ้าไม่นับเรื่องการที่ชอบโต้เถียงกับคนอื่นๆ เกี่ยวกับการให้กำเนิดแล้ว เจี่ยนซินกับจั๋วเจิ้งหยวนต่างก็เป็นคนดีมาก ทั้งคู่นั้นรักเด็กๆ ในการชุมนุมทุกครั้งก็คอยปลอบโยนสมาชิกคนอื่นๆ เมื่อเจอกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาก็ไม่ได้เมินทำเป็นมองไม่เห็น
มีครั้งหนึ่งที่เหรินเจี๋ยต้องกระอักกระอ่วนทำตัวไม่ถูกเพราะคำว่า ‘ส่วนแบ่งน้อยไป’ ของซางเจี้ยนเย่า จั๋วเจิ้งหยวนจึงแบ่งศีลที่เขายังกินไม่หมดให้กับซางเจี้ยนเย่าด้วย
ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ ละสายตาจากมา แล้วเดินเข้าไปใน ‘ศูนย์กิจกรรม’
เขามองดูรอบหนึ่ง ไม่เห็นหลี่เจินและสมาชิกนิกายคนอื่นๆ เจอเพียง ‘ผู้ชี้นำ’ เหรินเจี๋ยอยู่ในที่ประจำของเธอ กำลังสนทนาอยู่กับกลุ่มผู้หญิงอายุราวสี่สิบปี
เหรินเจี๋ยซึ่งรวบผมมวยไว้ ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมา เธอจึงหันหน้ากลับมาดู
พอเห็นว่าเป็นคนรู้จัก เธอก็ยิ้มและพยักหน้าให้
ซางเจี้ยนเย่าก็ทำท่าทางเดียวกันตอบกลับไปอย่างมีมารยาท
เขาไม่ได้เดินเข้าไปหา เพียงแค่มองเรื่อยเปื่อยดูคนที่กำลังล้อมวงเล่นไพ่ ฟังการกระจายเสียงวิทยุที่มีเสียงอื่นๆ แทรกปนด้วย
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า เหลือเวลาอีกไม่นานนักก่อนที่ไฟถนนจะดับลง ยามวิกาลย่างกรายมาถึง
เหรินเจี๋ยพลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาเรือนเก่าที่สวมไว้ จากนั้นก็ยืนขึ้นมาแล้วพูดกับหญิงสาวที่อยู่รายรอบด้วยรอยยิ้ม
“กลับเถอะ กลับกันได้แล้ว มีคนรอพวกคุณอยู่!”
กลุ่มคนหัวเราะคิกคักพูดหยอกล้อกัน เหรินเจี๋ยเดินออกมาจาก ‘ศูนย์กิจกรรม’ ไปทางบ้านตัวเอง
ซางเจี้ยนเย่าลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามเธอไปด้วยอาการปกติ
หลังจากที่เลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นอื่น เหรินเจี๋ยเห็นว่าไม่มีใครอื่นแล้วจึงค่อยๆ ชะลอฝีเท้าลง รอให้ซางเจี้ยนเย่าเข้ามาใกล้แล้วก็เดินเคียงไปด้วยกัน
“เสี่ยวซาง มีอะไรเหรอ” เหรินเจี๋ยถามเบาๆ ด้วยน้ำเสียงพูดคุยสนทนาทั่วไป
ดวงตาของซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ ดำมืดลง
“น้าเหริน น้าดูสิ
“พวกเราอาศัยอยู่ชั้นเดียวกัน
“เป็นสาวกนิกายเหมือนกัน
“ดังนั้น…”
ตอนแรกเหรินเจี๋ยก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ตระหนักถึงความหมาย แล้วพูดขึ้นมา
“ดังนั้นพวกเราต้องใกล้ชิดสนิทสนมกันให้มากกว่านี้ อย่างเช่น…”
ขณะที่พูด ดวงตาของเธอก็ค่อยๆ ดูแปลกไป ใบหน้าก็แดงขึ้นเล็กน้อย ไม่ทราบว่าเธอคิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าคิ้วกระตุก รีบตะโกนขึ้นทันที
“แม่!”
เหรินเจี๋ยตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
เธอพูดกลั้วเสียงหัวเราะ
“งั้นเธอมาเป็นลูกบุญธรรม[1]ของฉันก็แล้วกัน
“ถ้าหากว่าพ่อแม่เธอยังมีชีวิตอยู่ ก็น่าจะอายุไล่เลี่ยกับฉันล่ะมั้ง
หลังจากที่ได้เป็นแม่ลูกบุญธรรมกันแล้ว เห็นได้ชัดว่าอากัปกิริยาของเธอก็อบอุ่นกระตือรือร้นขึ้นอีกไม่น้อย
ซางเจี้ยนเย่าเก็บสีหน้า พูดซ้ำคำพูดเดิมก่อนหน้านี้
“หวังย่าเฟยตายแล้ว”
เหรินเจี๋ยเงยหน้าชำเลืองมองดูเขา หลังจากเงียบไปสองสามวินาทีก็ถามขึ้น
“เธอคงรู้สึกกลัวและจิตใจไม่สงบสินะ”
“แล้วก็แปลกใจด้วย” ซางเจี้ยนเย่าเสริม
เหรินเจี๋ยยิ้ม
“เธอสงสัยว่านี่ใช่เป็นการลงทัณฑ์คนบาปขององค์เทพีหรือเปล่า”
“หรือไม่ก็เป็นรางวัล” ความคิดของซางเจี้ยนเย่ากระโดดอย่างไม่อาจควบคุมได้
เหรินเจี๋ยเกือบจะกลับไปยังจังหวะสนทนาก่อนหน้าไม่ได้ เธอหยุดไปชั่วขณะก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
“ฉันไม่อาจตอบคำถามนี้แทนองค์เทพีได้
“บอกได้เพียงแค่ว่าองค์เทพีตุลากรชะตานั้น พระองค์คอยเฝ้ามองพวกเราอยู่ตลอดเวลา รางวัลและโทษทัณฑ์ย่อมมีให้ทั้งคนบุญและคนบาป
“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้เป็นการลงทัณฑ์หรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่องค์เทพีลงทัณฑ์ ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะเรื่องบังเอิญได้ถึงขนาดนี้”
ซางเจี้ยนเย่าถาม
“งั้นใครถึงจะรู้”
สีหน้าเหรินเจี๋ยเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
“คุรุศักดิ์สิทธิ์”
* * * * *
[1] ลูกบุญธรรม (干儿子) พ่อ-แม่-ลูก-บุญธรรมตามวัฒนธรรมจีน พ่อแม่ที่มีลูกอยู่แล้วก็สามารถรับลูกบุญธรรมได้ การเป็นพ่อแม่บุญธรรม ไม่จำเป็นว่าจะต้องเลี้ยงลูกบุญธรรมจนโต ใกล้เคียงกับความเป็นพ่อทูนหัว-แม่ทูนหัว (God father / God mother) ของทางชาติตะวันตก