รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 96 แผนการรับมือของซางเจี้ยนเย่า
- Home
- รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)
- ตอนที่ 96 แผนการรับมือของซางเจี้ยนเย่า
เมื่อได้ยินคำตอบของเหรินเจี๋ย ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่สองวินาทีแล้วจึงถามต่อ
“คุรุศักดิ์สิทธิ์คือใครเหรอครับ”
เหรินเจี๋ยยิ้ม
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรรู้ในตอนนี้
“ไว้รอให้เธอเป็น ‘ผู้ชี้นำ’ เมื่อไหร่ คุรุศักดิ์สิทธิ์จะเรียกเธอไปพบ
“ถึงตอนนั้นเธอก็จะรู้เองแหละว่าเขาเป็นใคร”
ซางเจี้ยนเย่าถามต่ออย่างไม่ยอมรามือ
“แล้วต้องทำไงถึงจะเป็น ‘ผู้ชี้นำ’ ได้เหรอครับ”
“แสดงออกให้มากพอ” ปฏิบัติต่อบุตรบุญธรรมที่เพิ่งรับมานี้ เหรินเจี๋ยแสดงออกถึงความอดทนมากกว่าปกติ
โดยไม่รอให้ซางเจี้ยนเย่าเอ่ยถามอีก เธอก็พูดเสริมอีกหนึ่งประโยค
“ขอเพียงเธอแสดงออกให้ดีพอให้มากพอ คุรุศักดิ์สิทธิ์จะไม่เพิกเฉยต่อเธอแน่นอน”
พูดไปพูดไป สีหน้าเธอก็กลับเป็นเคร่งขรึมจริงจังอีกครั้ง
“คุรุศักดิ์สิทธิ์คอยมองเราตลอดเวลา”
ในขณะนี้ไฟถนนใกล้จะดับแล้ว ที่นี่จึงมีผู้คนที่ค่อยๆ ทยอยเดินกลับกันคนแล้วคนเล่า เหรินเจี๋ยเหลียวซ้ายแลขวาแล้วพูดขึ้น
“มีอะไรก็ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะ”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนจะรีบพูดออกมา
“ผมไม่น่าพูดเรื่องพวกนี้เลย
“เอาเป็นว่าที่คุยกันเมื่อกี้ ก็ลืมๆ ไปเถอะครับ…”
พูดจบเขาก็หันหน้าจากไป ไม่ให้โอกาสเหรินเจี๋ยซักถามอะไร
เหรินเจี๋ยชะงักไปชั่วขณะ ด่ากลั้วหัวเราะออกมาคำหนึ่ง
“เจ้าเด็กนี่ ทำตัวหน้าไม่อายจริงๆ”
* * * * *
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อซางเจี้ยนเย่ารับประทานอาหารเสร็จแล้วก็มาที่ห้อง 14 ชั้น 647
เจี่ยงไป๋เหมียนมาถึงก่อนเขาเสียอีก เธอได้พลิกดูข้อมูลบางอย่างไปบ้างแล้ว
“มาแต่เช้าเชียว” เจี่ยงไป๋เหมียนเงยหน้าขึ้นมามอง แล้วหัวเราะออกมา “อยากมาฝึกซ้อมต่อสู้กันอีกใช่ไหมล่ะ”
เธอดูกระตือรือร้นที่อยากทำอะไรแบบนั้นมาก
ซางเจี้ยนเย่าเดินไปที่โต๊ะทำงานของเธอ ดึงเก้าอี้ออกมาแล้วนั่งลง
เขาไม่มัวทักทายสารทุกข์สุขดิบอะไร แต่ถามโพล่งออกมาตรงๆ เลย
“หัวหน้า มีพลังพิเศษของผู้ตื่นรู้ที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ไหม”
“ฉันไม่ค่อยจะรู้เกี่ยวกับพลังของผู้ตื่นรู้มากนักหรอก” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบอย่างงุนงงเล็กน้อย “ถ้าไม่ได้ทำให้หัวใจหยุดเต้นโดยตรงแต่เป็นทางอ้อมก็พอรู้อยู่บ้าง ฮ่า ฮ่า นายก็น่าจะนึกออกนะ ถูกแล้วล่ะ พลังพิเศษของม้าฝันร้ายที่สร้าง ‘ฝันร้ายที่กลายเป็นจริง’ นั่นแหละ ถ้าตายในความฝันก็ทำให้หัวใจหยุดเต้นในความเป็นจริงได้”
“ถ้าหากว่าไม่ได้นอนหลับ แต่ว่ากำลังทำงานอยู่ล่ะ” ซางเจี้ยนเย่าถามออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“รายละเอียดเป็นไง นี่เรื่องจริงเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเฉียบแหลมยิ่งนัก รู้สึกได้ทันทีว่าเกิดเรื่องผิดปกติ
แล้วเธอก็นึกถึงข่าวประกาศเมื่อคืนนี้ ขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดขึ้น
“หวัง… หวังอะไรนั่นนะเหรอ ผู้รับผิดชอบ ‘ตลาดโภคภัณฑ์’ ที่ตายเพราะหัวใจวาย
“นายกำลังสงสัยว่าเขาถูกผู้ตื่นรู้ฆ่างั้นเหรอ
“มีหลักฐานอะไรไหม แต่ละปีในบริษัทก็มีคนตายเพราะโรคหัวใจไม่น้อยนะ”
ซางเจี้ยนเย่าพูดอย่างสุขุมสงบนิ่ง
“ผมเข้าร่วมกับนิกายหนึ่งในบริษัท เป็นกลุ่มที่แบบว่าจัดชุมนุมแล้วก็แจกศีลมหาสนิทกันบ่อยๆ น่ะ
“การชุมนุมตอนเช้ามืดเมื่อวานนี้ พวกเขาประนามหวังย่าเฟยว่าเขาดูหมิ่นเทพเจ้าเรื่องการให้กำเนิด แถมยังใช้อำนาจบาตรใหญ่ลงโทษสมาชิกนิกายบางคน
“ในตอนนั้น ‘ผู้ชี้นำ’ ที่ดูแลชั้นของพวกเรา เขาบอกว่า ‘องค์เทพีจะลงโทษคนบาป’
“จากนั้นไม่ถึงสี่ชั่วโมง หวังย่าเฟยก็ตาย”
“แบบนี้มันก็น่าสงสัยจริงๆ นั่นแหละ” เจี่ยงไป๋เหมียนประเมินออกมาตามที่ควรจะเป็น จากนั้นก็ตระหนักได้ในบางสิ่ง “เดี๋ยวนะ นายบอกว่าไปเข้าร่วมกับองค์กรลับงั้นเหรอ ในบริษัทมีคนเลื่อมใสศาสนาเกิดขึ้น หรือว่าเป็นการลักลอบเข้ามากันแน่”
นี่มันปัญหาใหญ่แล้ว!
“พวกเขาศรัทธาเทพีตุลากรชะตา ผู้ครองกาลแห่งเดือนสิบสอง” น้ำเสียงของซางเจี้ยนเย่ายังคงสงบนิ่งราวกับว่ากำลังพูดคุยกันว่าใครเป็นครูใหญ่โรงเรียนประถมของชั้นนี้
เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วทั้งรู้สึกอยากจะหัวเราะ ทั้งรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง เธอจึงถามออกมาตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม
“ในเมื่อนายรู้สึกว่านิกายนั้นน่าสงสัย ที่จริงก็น่าจะไปหา ‘เจ้าหน้าที่ควบคุมระเบียบ’ เพื่อรายงานไป
“นี่เป็นการสร้างความดีความชอบ และนายก็ไม่ต้องกังวลว่าจะติดร่างแหไปด้วย
“แต่นี่กลับมาบอกฉันแทน หรือว่าเป็นเพราะนายไม่อยากทิ้งสาวกพวกนั้น”
“ก็นิดหน่อย ศีลมหาสนิทของพวกเขาอร่อยมาก” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างจริงใจ
เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกใส่ใจวิธีคิดของซางเจี้ยนเย่าไปนานแล้ว พยายามฝืนยิ้มแล้วพูด
“เพราะสาเหตุนี้แค่นั้นเหรอ”
ซางเจี้ยนเย่าเงียบไปสองวินาทีก่อนจะพูดอย่างจริงจัง
“สมาชิกส่วนใหญ่ของนิกายเป็นคนดี แต่ละคนมาเข้าร่วมก็เพราะมีเรื่องเศร้าในอดีต
“พวกเขาไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้าย เหตุผลหลักที่มารวมตัวกันก็เพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวทางใจ และปลอบใจซึ่งกันและกัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าคิดใคร่ครวญ
“นายเป็นห่วงว่าหลังจากที่บริษัทรู้เรื่องนิกายนี้แล้ว รู้ว่าพวกเขามีความเกี่ยวข้อง ก็จะถูกลงโทษอย่างรุนแรงสินะ
“ถ้าในที่สุดแล้วปรากฏว่าหวังย่าเฟยเสียชีวิตตามปกติ ทั้งหมดนี้เป็นแค่เรื่องบังเอิญ แต่เรื่องนิกายกลับถูกรายงานไปแล้ว พวกเขาก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรม”
ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แสดงออกมาว่านี่เป็นเรื่องที่เขากังวล
ดวงตาเจี่ยงไป๋เหมียนวูบไหวเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มให้
“ที่นายเต็มใจเอาความลับเรื่องของนิกายมาบอกกับฉันนี่ เพราะว่าฉันเป็นคนที่นายไว้ใจได้งั้นสินะ”
“ใช่” ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ปิดบัง
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มกว้าง
แต่ซางเจี้ยนเย่าก็เสริมต่อขึ้นมาอีกประโยค
“ถึงจะไว้ใจไม่ได้ แต่ผมมีพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ทำให้คุณไว้ใจได้อยู่ดีแหละ”
“…” เจี่ยงไป๋เหมียนหรี่ตาลงทันที ยกมือซ้ายขึ้นมาแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าสีเงินเส้นเล็กๆ ออกมาวิ่งพล่านอยู่ในฝ่ามือ “นายพูดอีกทีซิ!”
“ใช่แล้ว คุณเป็นคนไว้ใจได้” ซางเจี้ยนเย่ารีบคล้อยตามทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนวางมือลงไป แล้วถามขึ้น
“แล้วทำไมถึงมาปรึกษาฉันล่ะ”
“คุณหัวดีกว่าผม” ซางเจี้ยนเย่าตอบอย่างสัตย์ซื่อ
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มกว้างออกมาอีกครั้ง
“รู้ก็ดีแล้ว”
จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย
“ถ้าเป็นนาย นายจะทำไงกับเรื่องนี้”
ซางเจี้ยนเย่าได้ใคร่ครวญเรื่องนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว จึงตอบออกมาได้อย่างลื่นไหล
“ตามหาคุรุศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือกว่า ‘ผู้ชี้นำ’ หาคนที่สั่งการจากระดับบน หาผู้ตื่นรู้ที่ปฏิบัติภารกิจนี้ หาตัวสมาชิกระดับสูงที่ทำตัวออกนอกลู่นอกทาง จากนั้นก็แอบฆ่าพวกนั้นทั้งหมดโดยไม่ให้ใครรู้
“เมื่อเป็นแบบนี้ นิกายก็จะไม่ได้เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป แต่กลายเป็นสถานที่ให้ทุกคนมาแบ่งปันความรู้ ความกังวล แล้วก็ของกิน”
เขาพูดออกมาราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเพียงแค่ไปเดินหาซื้อผักใน ‘ตลาดโภคภัณฑ์’
ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้จะพูดอะไรออกมาอยู่ครู่ใหญ่ ผ่านไปอีกสองสามวินาทีถึงจะพูดออก
“นี่มันก็ยากไปหน่อยนะ… ผู้ตื่นรู้ที่มีพลังทำให้ ‘หัวใจวาย’ ใช่ว่าจะรับมือได้ง่ายๆ เสียเมื่อไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในบริษัทที่มีพื้นที่คับแคบแบบนี้ อีกอย่างนะ ในนิกายอาจไม่ได้มีผู้ตื่นรู้แค่คนเดียวก็ได้ ไม่แน่ว่าจะเป็นผู้ตื่นรู้ระดับสูงด้วย ถ้านายอยากฆ่าพวกนั้นทั้งหมด นั่นก็เป็นเรื่องยากเกินไป ดีไม่ดีคนที่ตายอาจจะเป็นนายซะด้วยซ้ำ
“นอกจากนี้ ฆ่าคนตายตั้งเยอะแยะขนาดนี้ ยังไงก็ปิดไม่มิดแน่
“นายคิดว่าบริษัทมีไว้แค่เป็นหุ่นตั้งโชว์หรือไง”
เจี่ยงไป๋เหมียนยังคงพูดต่อเรื่องแนวความคิดนี้
“ถึงแม้ว่านายจะมีพลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ แต่การสืบสวนด้วยตัวเองก็ย่อมเทียบไม่ได้กับการให้บริษัทสืบสวน เพราะสามารถระดมทรัพยากรทั้งหมดเพื่อให้ความจริงกระจ่างแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
“ดังนั้นคำแนะนำของฉันก็คือ รายงานบริษัทซะเถอะ
“สำหรับสมาชิกทั่วๆ ไปของนิกาย ขอเพียงไม่ได้ทำความผิดอะไร บทลงโทษของบริษัทก็จะไม่รุนแรงเกินไป เพียงแค่สอนให้เป็นบทเรียน ไม่ว่ายังไงพวกเขาแต่ละคนก็ถือว่าเป็นทรัพยากรล้ำค่า
“นอกจากนั้นนายก็ยังสามารถใช้แต้มส่วนร่วมของตัวเองเพื่อขอลดหย่อนโทษให้พวกเขาได้ด้วย”
เมื่อเห็นว่าซางเจี้ยนเย่ามีสีหน้าครุ่นคิดใคร่ครวญ เธอก็พูดเสริมขึ้น
“ทุกคนล้วนแต่อาศัยอยู่ที่นี่ ย่อมแน่นอนว่าต่างก็หวังให้บริษัทมีความมั่นคง
“ถ้าหากว่ายังคงปกปิดปัญหาอะไรพวกนี้ไว้ อยากจะลงมือแก้ไขด้วยตนเอง นั่นจะกลายเป็นว่ายิ่งทำให้ปัญหาบานปลายยิ่งขึ้นอีก”
ซางเจี้ยนเย่ายืนขึ้นมาทันที
“ผมจะไป ‘สำนักงานควบคุมระเบียบ’”
“เฮ้ เดี๋ยว เดี๋ยวสิ! อย่าเพิ่งรีบ ฉันยังพูดไม่จบเลย!” เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตะโกนบอกออกมา
ซางเจี้ยนเย่านั่งลงใหม่ มองดูเจี่ยงไป๋เหมียนรอให้เธอพูดต่อ
เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“นายลองเล่าเรื่องนี้ให้ฟังใหม่ซิ เอาตั้งแต่ต้นจนจบแบบเต็มๆ เลยนะ”
ซางเจี้ยนเย่าเล่าเรื่องออกมาทั้งหมดโดยไม่มีการปิดบังอำพรางใดๆ ทั้งสิ้น แม้แต่เรื่องที่ว่าตนเองไปเข้าห้องน้ำตอนกี่โมงกี่นาที
เจี่ยงไป๋เหมียนฟังอย่างตั้งใจมาก ไม่ขัดจังหวะซางเจี้ยนเย่าแม้แต่น้อยเพื่อไม่ให้ไปกระทบกระบวนการคิดของเขาจนอาจทำให้ข้ามเรื่องอะไรไป
ถึงแม้ว่าเธอจะคุ้นเคยกับลักษณะนิสัยของซางเจี้ยนเย่าเป็นอย่างมาก แต่พอฟังถึงตอนที่อีกฝ่ายเรียกเหรินเจี๋ยเป็นแม่ เพื่อจะ ‘ได้รับความไว้ใจ’ ก็ถึงกับอ้าปากค้างเล็กน้อย ทั้งประหลาดใจ ทั้งอยากจะหัวเราะออกมา
“…แต่ละครั้งที่ฉันรู้สึกว่ารู้จักนายดีพอแล้ว นายก็จะพลิกความเข้าใจของฉันใหม่ทุกรอบเลยเชียว” เจี่ยงไป๋เหมียนถอนใจด้วยความจนใจ
หลังจากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยพูดว่า
“เรื่องนี้มีบางอย่างที่ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล”
“ตรงไหน” ซางเจี้ยนเย่าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ถามขึ้นมา
เจี่ยงไป๋เหมียนเรียบเรียงคำพูดก่อนจะตอบ
“ถ้าหากว่าหวังย่าเฟยตายหลังจากนี้อีกสองสามสัปดาห์ให้หลัง หรือสักเดือนนึง ฉันเองก็คงไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ซึ่งขั้นตอนตามปกติก็ควรจะเป็นแบบนั้น
“แต่ทว่าในตอน 6 โมงเช้า ‘ผู้ชี้นำ’ เพิ่งจะตีตราว่าหวังย่าเฟยเป็นคนบาป บอกว่าเทพีจะลงทัณฑ์คนบาป หลังจากนั้นอีกสามชั่วโมง หวังย่าเฟยก็เสียชีวิตจากหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน
“นี่เห็นได้ชัดเลยว่ามีปัญหา เพราะสมาชิกทุกคนในตอนนั้นจะเชื่อมโยงการตายของหวังย่าเฟยเข้ากับเรื่องเทวทัณฑ์ในทันที”
“ใช่แล้ว เป็นแบบนั้นเลยล่ะ” ซางเจี้ยนเย่ายืนยันคำพูดของเจี่ยงไป๋เหมียน “ทุกคนก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มแล้วก็ถามขึ้น
“งั้นพวกเขามีปฏิกิริยายังไงกันบ้าง
“เคารพยำเกรง หวาดกลัว ตื่นตระหนก สับสน ใช่ไหม”
ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดต่อ
“ภายใต้ผลกระทบกระเทือนทางอารมณ์อย่างรุนแรงนี้ แน่นอนว่าสมาชิกแต่ละคนก็มีการตัดสินใจที่แตกต่างกันไปตามบุคลิกและประสบการณ์ของตัวเอง
“ฉันยอมรับว่าคนส่วนใหญ่จะมีความเคารพยำเกรงในเทพเจ้ามากขึ้น เชื่อมั่นศรัทธาตุลากรชะตาอย่างหมดใจ กลายเป็นเคารพเลื่อมใสอย่างสุดขีด
“แต่แน่นอนว่าจะมีสมาชิกส่วนน้อยจำนวนหนึ่งอยากจะรายงานให้บริษัทรู้เนื่องมาจากความกลัว ตื่นตระหนก กลัวความผิด และมโนธรรม
“นายเองก็เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน”
ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ พอจะเข้าใจได้คร่าวๆ ว่าเจี่ยงไป๋เหมียนหมายถึงอะไร จึงพูดในสิ่งที่คิดออกมา
“ถ้าหากว่าการตายของหวังย่าเฟยล่าช้าไปอีกหนึ่งเดือนให้หลัง ทุกคนจะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงขนาดนี้ แต่พวกเขาจะเชื่อมโยงและคาดเดากันเอาเอง ทำให้ยิ่งเคารพองค์เทพีมากยิ่งขึ้น แต่ว่าการที่มีผลกระทบอย่างรุนแรงแบบนี้ เป็นไปได้ว่าจะทำให้แต่ละคนเลือกทางเลือกที่แตกต่างกันออกไปใช่ไหม”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าหนักแน่น แล้วพูดขึ้น
“นี่ก็เลยทำให้เกิดคำถามขึ้นมา
“ทำไมพวกระดับสูงของนิกายถึงมั่นใจว่าจะไม่มีใครทรยศพวกเขา
“มีคำอธิบายได้สองข้อ หนึ่งคือพวกเขาเป็นพวกคลั่งศาสนา ไม่สนใจผลลัพท์ที่ตามมา ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง เพียงแค่ต้องการตัดสินคนบาปเท่านั้น
“สองคือพวกเขามั่นใจมากว่าการทรยศและการรายงานไม่มีทางทำได้สำเร็จ”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองเข้าไปในดวงตาของซางเจี้ยนเย่าและถามอย่างจริงจัง
“แล้วนายคิดว่าเป็นข้อไหนล่ะ”