ราชันย์หน่วยรบมังกร - ตอนที่ 43.2
คำว่า “พวกเรา” นั้นสื่อได้ว่านี่ไม่ใช่ฝีมือของบุคคลเดียวแน่ เมื่อนึกถึงบุคคลที่อยู่ในรายการ “ใครกันนะที่ฉันเพิ่งจะทำให้โกรธไปเมื่อไม่นานมานี้?” แล้ว เสี่ยวเฉิงก็สามารถสรุปได้ทันทีว่าคนกลุ่มนี้จะต้องเป็นพวกของท่านฉินจากแก๊งมังกรฟ้าแน่!
ทั้งนี้ ในช่วงเวลากลางคืน ตอนที่เสี่ยวเฉิงยังคงลาดตระเวนอยู่ในเครื่องแบบ คนพวกนี้ก็ไม่กล้าที่จะเข้ามายุ่งกับเสี่ยวเฉิงแบบเปิดเผยสักเท่าไหร่นัก แต่ทว่า ตอนนี้เสี่ยวเฉิงถอดเครื่องแบบและอยู่นอกเวลางาน อีกฝ่ายก็พลันเผยให้เห็นถึงความแค้นที่มีต่อเขาอย่างชัดเจน
ทว่า เสี่ยวเฉิงในตอนนี้ก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว แถมเรื่องนี้ก็ยังทำให้เขาอารมณ์เสียไปมากกว่าเดิมอีก
ทันใดนั้น เสี่ยวเฉิงก็รีบโบกและขึ้นรถแท็กซี่ไปทันที เขาบอกให้คนขับไปส่งตามที่อยู่บนกระดาษ มันเป็นโกดังที่ตั้งอยู่แถบชนบท ทว่า ก่อนที่รถแท็กซี่ถึงที่หมายปลายทาง คนขับรถก็พลันหยุดรถและกล่าวคำพูดกับเสี่ยวเฉิง “ผมมาส่งคุณใกล้สุดได้แค่นี้แหละนะ”
ระหว่างที่เสี่ยวเฉิงกำลังจะจ่ายค่ารถ เขาก็พลันกล่าวคำพูดกับคนขับ “งั้นผมขอเบอร์คุณไว้หน่อยได้ไหม? ดูเหมือนว่าแถวนี้จะไม่ค่อยมีแท็กซี่เลย เดี๋ยวยังไงถ้าเสร็จธุระแล้ว ผมจะโทรหา”
ทันใดนั้น คนขับรถยื่นนามบัตรให้แก่เสี่ยวเฉิงอย่างไม่เต็มใจนัก
ภายในโกดัง เหล่าอันธพาลประมาณสามสิบคนต่างกกำลังถือท่อนไม้ ท่อเหล็กและมีดสั้นรวมถึงอาวุธอันตรายชิ้นอื่นอยู่ในมือ ต่างคนก็กำลังนั่งหรือไม่ก็ยืนสูบบุหรี่อยู่ ทว่า ใครคนหนึ่งก็เริ่มใจร้อนและหันหน้าไปถามกับลูกพี่ของตน “พี่เสือ! เราแค่ตัดสายไฟของรถมันไปเองนะ ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงอย่างจับตัวคนที่มันรักมาเป็นตัวประกันสักหน่อย พี่คิดว่าหมอนั่นจะมางั้นเหรอ?”
พี่เสือพลันโยนก้นบุหรี่ทิ้งและก้าวเท้าเหยียบ “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะมาหรือเปล่า… แต่นั่นก็ถือเป็นคำเตือน! เราทำไปก็เพียงเพราะต้องการที่จะแสดงความภักดีต่อท่านฉิน อีกอย่าง ในช่วงเวลากลางคืนแบบนี้ ถ้าหมอนั่นยังกล้าที่จะออกมาลาดตระเวนอยู่อีก เราก็ต้องสั่งสอนบทเรียนให้มันรู้หน่อย”
ทันใดนั้นเอง ประตูบานเกล็ดก็ถูกผลักออกจนเกิดเสียงดังลั่น เหล่าอันธพาลทุกคนต่างหวาดกลัวพร้อมกับคิดเองเออเองว่าพวกตำรวจจะต้องบุกเข้ามาแน่… แต่แล้ว ทันทีที่ตระหนักได้ว่าตนเองไม่ได้ทำอะไรร้ายแรงจนถึงขั้นที่จะต้องถูกจับขัง พวกเขาก็พลันคิดว่าทำไมต้องกลัวด้วยล่ะ?
หลังจากนั้น ทันทีที่เห็นว่าหลังประตูบานเกล็ดขนาดใหญ่มีเพียงแค่เสี่ยวเฉิงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ พวกอันธพาลทั้งสามสิบกว่าคนก็พลันเผยเสียงหัวเราะออกมา
ทันทีที่เห็นเช่นนั้น พี่เสือก็พลันยกนิ้วโป้งให้กับเสี่ยวเฉิงพร้อมกล่าวคำพูดออกมา “ฉันชื่อเสือ เป็นรุ่นพี่ใหญ่ของที่นี่… ยังไงก็เถอะ ขอชื่นชมในความกล้าบ้าบิ่นของแกหน่อยก็แล้วกัน”
เสี่ยวเฉิงพลันมองไปทั่วโกดังและถามขึ้น “ใครมายุ่งกับรถฉัน?”
“ฝีมือของพวกเราเองแหละ! แล้วแกจะทำไมล่ะ? จะจับพวกเราขังคุกทั้งสามสิบคนเลยหรือยังไงกัน?” พี่เสือพลันหัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย
“มันก็อาจจะหนักหน่อยนะ แต่…” เสี่ยวเฉิงพลันตอบกลับ “ฉันต้องสอนบทเรียนให้กับพวกนายทุกคนหน่อยแล้ว”
“คิดจะสั่งสอนพวกเรางั้นรึ?” พี่เสือพลันหัวเราะ “แกลืมสิ่งที่ตัวเองทำไปแล้วหรือยังไงกัน? ลองนึกย้อนกลับไปดูสิ พวกเราต่างหากที่จะต้องสั่งสอนบทเรียนให้กับคนอย่างแก! ท่านฉินได้แจ้งให้เราทุกคนรู้แล้วว่าเขาไม่ต้องการให้แกมีชีวิตอยู่ที่เมืองซ่างเฉิงอีกต่อไป!”
“แม้แต่พ่อแม่ก็ยังไม่สามารถควบคุมชะตากรรมของลูกตัวเองได้ แล้วอะไรที่ทำให้ท่านฉินของพวกนายมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้นกับฉันด้วยล่ะ?” เสี่ยวเฉิงพลันหัวเราะ
“ก็เพราะว่าเมืองซ่างเฉิงเป็นถิ่นของท่านฉินยังไงล่ะ! แกก็แค่เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนกระจ้อยร่อย! ถ้าไม่มีแกสักคน ยังไงโลกก็ยังคงหมุนต่อไปอยู่ดี ไม่มีใครสนใจการหายตัวไปของเจ้าหน้าที่ยศต้อยต่ำอย่างแกหรอก!” พี่เสือพลันหัวเราะและพูดต่อ “แต่ยังไงเสีย แกก็ยังมีทางเลือกอยู่นะ ทางเลือกนั้นก็คือเอาเงินมาให้ฉันสองล้านแล้วก็เก็บของออกไปจากเมืองซ่างเฉิงเสีย ฉันจะหาทางหนีทีไล่ให้แกเอง… ลองคิดดูสิ ข้อเสนอนี้เป็นยังไงล่ะ?”
อันที่จริง อันธพาลกลุ่มนี้เองก็ไม่ได้โง่ขนาดนั้น ถ้าพวกเขาทำการสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจของเมืองซ่างเฉิงไป เหตุการณ์ในคืนนี้ก็จะต้องกลายเป็นอาชญากรรมครั้งใหญ่แน่! ทั้งนี้ พวกเขาเองก็ไม่ต้องการให้มีปัญหาอะไรตามมา ทว่า ถ้าเสี่ยวเฉิงไม่ใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่แรก พวกเขาก็คงจะไม่เสียเวลาคุยให้ยืดยาวขนาดนี้หรอก
“คิดว่าฉันกลัวไหมล่ะ? ขนาดท่านฉินฉันยังซัดหน้าแตกมาแล้ว… คิดว่าฉันจะให้เงินพวกนายสองล้านเพื่อให้พาหนีออกจากเมืองเนี่ยนะ? ถ้าจะให้ทำแบบนั้น แล้วฉันจะมาเป็นตำรวจเพื่ออะไรกัน? ยังไงก็เถอะ ตอนนี้คงยังไม่เหมาะนักที่ท่านฉินของพวกนายจะขึ้นมาบริหารเมือง” เสี่ยวเฉิงพลันหัวเราะออกมา
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น พี่เสือก็พลันยืนขึ้นและกล่าวคำพูดขึ้นมา “รนหาที่ตายจังนะแก!”