ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1816 จอมทิพย์งูหลามทอง
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1816 จอมทิพย์งูหลามทอง
ตอนที่ 1816 จอมทิพย์งูหลามทอง
ทั้งจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินต่างก็ต้องการคิดบัญชีกับหลี่ชิเย่ แต่กลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
กล่าวสำหรับจอมเทพหนานหยางแล้ว เขาต้องการกู้หน้ากลับคืนมามากกว่า จะอย่างไรเสียปณิธานของจอมเทพอย่างเขาต้องถูกผู้เยาว์คนหนึ่งทำลาย ทั้งยังเป็นการกระทำต่อหน้าผู้คนทั่วหล้า ตัวเขาที่ยังคงมีชีวิตอยู่หากไม่กู้หน้ากลับมา จะส่งผลท้าทายต่ออำนาจของเขาเป็นอันมาก
แน่นอน จอมเทพหนานหยางก็ต้องถือโอกาสแก้แค้นให้กับหนานเทียนเหา แต่ว่าเรื่องล้างแค้นให้กับหนานเทียนเหานั้นเป็นเรื่องรอง
แม้ว่าจอมเทพหนานหยางก็โปรดปรานในตัวของหลานคนนี้ แต่ว่า เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะจอมเทพหนานหยางเช่นเขานั้นไม่รู้ว่ามีลูกหลานอยู่เป็นจำนวนเท่าไร เรียกได้ว่าลูกหลานเต็มบ้าน รุ่นหลานที่เหมือนดั่งหลี่เทียนเหานั้นหากมีไม่ถึงพันคน อย่างน้อยก็ต้องมีหลายร้อยคน
ต่อให้จอมเทพหนานหยางโปรดปรานหลี่เทียนเหาเพียงใดก็ตาม ก็ไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะยอมกลับเข้าสู่โลกโลกีย์มนุษย์เพื่อแก้แค้นให้กับหลี่เทียนเหา
จะอย่างไรเสียกล่าวสำหรับจอมเทพแล้ว ต่อให้พวกเขามีโอกาสนำมาซึ่งสวรรค์ลงทัณฑ์ต่ำกว่าจอมราชันเซียนหวัง และราชันเซียนเก้าแดนอยู่มากทีเดียว แต่ยังคงมีโอกาสในระดับหนึ่ง ดังนั้น จอมเทพหนานหยางจึงไม่ได้มาเพื่อล้างแค้นให้กับหลี่เทียนเหาโดยเฉพาะ
กล่าวสำหรับจอมเทพหนานหยางแล้ว การล้างแค้นให้กับหลานของตนเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น เขาคงไม่สามารถประกาศต่อหน้าผู้คนทั่วหล้าว่า เพื่อกู้หน้ากลับคืนมา สร้างอำนาจของตนขึ้นมาใหม่ จึงได้กลับคืนสู่โลกีย์มนุษย์เพื่อหาเรื่องหลี่ชิเย่กระมัง
ไม่มีข้ออ้างใดๆ ดีไปกว่าการกลับคืนสู่โลกปัจจุบันมากไปกว่าการแก้แค้นให้กับหลานของตนอีกแล้ว
สำหรับจอมเทพเชียนจวินนั้นจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถ้าหากจอมเทพหนานหยางเพียงต้องการแก้แค้นให้กับลูกหลานของตนอยู่บ้างล่ะก็ จอมเทพเชียนจวินคือผู้ที่ต้องการแก้แค้นให้กับเสิ่นจินหลงอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม การกลับคืนสู่โลกปัจจุบันของจอมเทพเชียนจวินมีสาเหตุมาจากการตายของเสิ่นจินหลงอยู่แล้ว ต่อให้มีความเป็นไปได้ว่าอาจนำมาซึ่งสวรรค์ลงทัณฑ์ จอมเทพเชียนจวินก็จะออกมาแก้แค้นให้กับเสิ่นจินหลงให้จงได้
จอมเทพเชียนจวินแตกต่างจากจอมเทพหนานหยางอย่างสิ้นเชิง หากจะว่าไปแล้ว หลี่เทียนเหาเป็นเพียงหนึ่งในลูกหลานจำนวนมากมายของจอมเทพหนานหยาง เท่านั้น ต่อให้จอมเทพหนานหยางมีความโปรดปรานในตัวของหลี่เทียนเหาเพียงใดก็ตาม มันก็มีข้อจำกัดอยู่
แต่ กล่าวสำหรับจอมเทพเชียนจวินแล้วมันต่างกัน เสิ่นจินหลงเป็นบุตรชายของจอมเทพเชียนจวิน ทั้งยังเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวที่เป็นสายเลือดแท้จริงของเขา
จอมเทพเชียนจวินได้บุตรชายตอนอายุมากแล้ว ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าในมุมมองของเขาเสิ่นจินหลงมีความสำคัญเพียงใด เรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งไม่มีสองเลยหละ
เนื่องจากเหตุผลต่างๆ นานา ความสัมพันธ์ระหว่างจอมเทพเชียนจวินกับบุตรชายของเขาเสิ่นจินหลงไม่ได้ใกล้ชิดกัน กระทั่งห่างเหินกันมากด้วยซ้ำ เสิ่นจินหลงเองก็ไม่ต้องการเปิดเผยบิดาของตนกับบุคคลอื่น เนื่องเพราะสาเหตุนี้เอง จึงไม่มีใครรู้ว่าเสิ่นจินหลงถึงกับเป็นบุตรชายของจอมเทพเชียนจวิน
ไม่ว่าเสิ่นจินหลงจะทำตัวห่างเหินต่อจอมเทพเชียนจวินอย่างไรก็ตาม แต่ในความคิดของจอมเทพเชียนจวินเขายังคงเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา เพื่อบุตรชายของตนแล้ว จอมเทพเชียนจวินกระทั่งไม่เสียดายอะไรทั้งนั้น
สืบเนื่องจากจอมเทพเชียนจวินต้องการแก้แค้นให้กับเสิ่นจินหลง เขาจึงได้กดดันต่อตระกูลราชันฉีหลิน สมควรรู้ว่าตระกูลราชันฉีหลินยังคงมีเซียนหวังสององค์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ ในสายตาของตระกูลราชันฉีหลินแล้ว ต่อให้เขาอยู่ในระดับจอมเทพก็ไม่สามารถข่มขู่อะไรได้ เนื่องจากตระกูลราชันฉีหลินเองก็มีระดับจอมเทพอยู่เช่นกัน
ต่อให้เป็นระดับจอมเทพ การสร้างความกดดันต่อยักษ์ใหญ่อย่างตระกูลราชันฉีหลินก็มีความเสี่ยงในระดับหนึ่ง แต่จอมเทพเชียนจวินยังคงกดดันต่อตระกูลราชันฉีหลิน ต้องการให้ตระกูลราชันฉีหลินยืนอยู่ข้างฝ่ายของตน ย่อมมองออกว่าจอมเทพเชียนจวินนั้นตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต้องแก้แค้นให้กับเสิ่นจินหลงที่ตายไป
ท่าทีของหลี่ชิเย่คืออย่างไรก็ได้ ไม่ว่าจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินจะคิดอย่างไร เขากล่าวตามอารมณ์ออกมาว่า “พวกเจ้าจะเข้ามาทีละคน หรือร่วมมือกันเข้ามาพร้อมกันหละ?”
หลี่ชิเย่ยังคงตามอารมณ์ยิ่งนักแม้ต้องเผชิญหน้ากับจอมเทพ กระทั่งกล่าววาจาสามหาวท้าสู้การร่วมมือกันระหว่างจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวิน พลันทำให้ระดับบรรพบุรุษที่นั่งอยู่บริเวณสองฟากซ้ายขวาของบันไดหินต้องงุนงง เกรงว่านี่คงเป็นคนหนุ่มที่ยโส และอหังการมากที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพบเห็นมาชั่วชีวิต
ทั้งจอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินต่างมีสีหน้าที่ดูไม่ดีเมื่อหลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา พวกเขาต่างก็อยู่ในระดับจอมเทพ มีประสบการณ์มากมาย ผ่านอุปสรรคมาไม่น้อย เรียกได้ว่าพวกเขาไม่ใช่ประเภทที่บังเกิดอารมณ์โกรธง่ายดาย
แต่ทว่า เมื่อหลี่ชิเย่พูดจาท้าท้ายต่อหน้าผู้คนมากมาย การที่ถูกคนหนุ่มคนหนึ่งดูแคลนถึงเพียงนี้ หากพวกเขาไม่จัดการกับคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านี้เสีย เช่นนั้นแล้ว อำนาจของพวกเขาถูกท้าทายอย่างแท้จริง และทำให้เขาไม่รู้ว่าต้องเอาหน้าไปไว้ไหน
“เจ้าผู้เยาว์ อย่าได้กำแหงนัก!” จอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินยังไม่ทันได้แสดงความโกรธออกมา ปรากฏระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างได้ก้าวออกมา ร้องกล่าวเสียงทุ้มต่ำ และกล่าวน่าเกรงขามว่า “ข้ายินดีต่อสู้แทนอาจารย์เป็นคนแรก ขอรับการชี้แนะความอภินิหารของเจ้า”
หลังจากที่ระดับบรรพบุรุษผู้นี้ได้ก้าวออกมาแล้ว ท่าทางดูน่ากลัว โดยเฉพาะด้านหลังของเขาที่มีเงาลางๆ ของงูหลามปรากฎฑออกมา ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นรู้สึกขนลุก เหมือนว่าเขาคืองูหลามที่ดุร้ายมาจากยุคดึกดำบรรพ์อย่างนั้น ให้ความรู้สึกน่าครั่นคร้าม โดยเฉพาะขณะดวงดาคู่นั้นจากงูหลามที่เป็นร่างเงาจับจ้องเข้ามา ทำให้ผู้คนถึงกับร่างสั่นเทิ้มขึ้นมา
“จอมทิพย์งูหลามทอง” บรรดาระดับบรรพบุรุษที่นั่งกันอยู่สองฟากฝั่งบันไดหินต่างจดจำประวัติความเป็นมาของเขาได้ มีผู้เอ่ยชื่อ่ของเขาออกมาเบาๆ
จอมทิพย์งูหลามทองนับเป็นระดับบรรพบุรุษที่มีชื่อเสียงในเขตฉีหลิน ตลอดจนในชิงโจว เขาเป็นระดับบรรพบุรุษของสำนักเจอเยื่อ และเป็นศิษย์ของจอมเทพเชียนจวิน
จอมทิพย์งูหลามทองมีพลังอยู่ในระดับสวรรค์สัจธรรม ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขามีพลังขมุกขมัวมากถึงหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบล้านลิตร เรียกได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับสวรรค์สัจธรรมที่ยากจะมีผู้ใดต่อกรได้
เป็นที่ทราบกันดีว่า การมีพลังขมุกขมัวห้าสิบล้านลิตรก็สามารถทะลุผ่านระดับปรัชญาสัจธรรม และก้าวสู่ระดับสวรรค์สัจธรรมนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เพียงแต่ในบรรดายอดฝีมือ โดยเฉพาะผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในระดับสูงสุดของระดับสวรรค์สัจธรรมจะมองว่า ผู้บำเพ็ญตนระดับสวรรค์สัจธรรมที่มีพลังขมุกขมัวห้าสิบล้านลิตรไม่ถือเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนในระดับสวรรค์สัจธรรม แน่นอน ผู้ที่ด้อยกว่าส่วนใหญ่ก็ให้การยอมรับ
ในสายตาของผู้ยิ่งใหญ่มองว่า มีเพียงผู้บำเพ็ญตน ระดับสวรรค์สัจธรรมที่มีพลังขมุกขมัวหนึ่งพันล้านลิตรขึ้นไป จึงถือวาเป็นยอดฝีมือระดับสวรรค์สัจธรรมที่แท้จริง
โดยทั่วไปแล้ว ยอดฝีมือระดับสวรรค์สัจธรรมที่มีพลังขมุกขมัวตั้งแต่สามพันล้านลิตรขึ้นไปก็สามารถไปแย่งชิงชะตาฟ้า หรือรับแต่งตั้งเป็นเทพได้ ในแง่ของการแบ่งระดับนั้น พลังขมุกขมัวสามพันล้านลิตรคือขั้นๆ หนึ่ง หากก้าวข้ามขั้นนี้ไปได้ ไม่ก็รับแต่งตั้งเป็นเทพ ไม่ก็ไปแย่งชิงชะตาฟ้า
แต่ก็มีประเภทที่ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ในสิบสามทวีปนี้เคยมีผู้ที่ได้ครอบครองพลังขมุกขมัวถึงหกพันล้านลิตรแต่ยังคงไม่ไปแย่งชิงชะตาฟ้า ไม่รับแต่งตั้งเป็นเทพ ซึ่งนับเป็นผู้ประหลาด!
การที่จอมทิพย์งูหลามทองมีพลังขมุกขมัวมากถึงหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบล้านลิตร เป็นการบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของเขา ถ้าหากผู้บำเพ็ญตนที่มีพลังขมุกขมัวห้าสิบล้านลิตรถูกเรียกว่าเป็นระดับสวรรค์สัจธรรมครึ่งก้าวล่ะก็ เช่นนั้นแล้วจอมทิพย์งูหลามทองถือเป็นยอดฝีมือระดับสวรรค์สัจธรรมแล้ว
เมื่อเปรียบเทียบกับฉีหลินกว่านลี่ที่มีพลังขมุกขมัวสามพันล้านลิตรแล้ว จอมทิพย์งูหลามทองอ่อนกว่าไม่น้อยทีเดียว แต่พลังขมุกขมัวมากถึงหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบล้านลิตรเพียงพอที่จะให้เข้าหมางเมินในเขตฉีหลิน กระทั่งเพียงพอที่จะหมายเมินตอชิงโจวได้แล้ว
“แคร้งค์” เวลานี้ปรากฏเกาทัณฑ์ขึ้นในมือของจอมทิพย์งูหลามทอง เกาทัณฑ์นี้เสมือนหนึ่งถูกหล่อขึ้นด้วยทองคำ เปล่งประกายสีส้มทองออกมา ที่สามารถสยบจิตวิญญาณของผู้คนยิ่งก็คือ เกาทัณฑ์เล่มนี้ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของจอมราชัน!
“ศาสตราวุธเต๋าจอมราชัน! ชั้นคุณภาพแสดสามัญ!” บรรดาระดับบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์แอบส่งเสียงร้องออกมา
จะอย่างไรเสีย สำนักเจอเยื่อคือสายสำนักราชันเซียน ราชันเทพเจอเยื่อเคยทิ้งศาสตราวุธเต๋าจอมราชันให้กับลูกหลานที่เป็นทายาทรุ่นหลังเอาไว้ โดยเกาทัณฑ์ที่อยู่ในมือของจอมทิพย์งูหลามทองก็คือเกาทัณฑ์ยิงสุริยันของราชันเทพเจอเยื่อ แม้ว่าจะเป็นศาสตราวุธเต๋าที่มีพลังถูกสร้างขึ้นภายหลัง แต่ด้วยความเป็นชั้นคุณภาพแสดสามัญของมันก็นับว่าทรงพลังมากพอแล้ว
ในฐานะที่เป็นระดับบรรพบุรุษที่มีพลังขมุกขมัวหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบล้านลิตรในครอบครอง กำลังความสามารถของเขานับว่าออาจห้าวหาญจนผู้อื่นต้องหวั่นเกรง ยามที่ในมือของเขาถือศาสตราวุธเต๋าจอมราชันชั้นคุณภาพแสดสามัญนั้น ทำให้ผู้คนต้องมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง
“ตูม” ในเวลานี้บริเวณตระกูลราชันฉีหลิน ปรากฏเวทีต่อสู้โบราณโผล่ขึ้นมาช้าๆ เวทีการต่อสู้อบอวลไปด้วยพลังขมุกขมัว หลักกฎเกณฑ์และสัจธรรมแต่ละสายได้พันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา
“ในเมื่อจะต่อสู้กัน ก็ขึ้นเวทีกันเลย” ฉีหลินกว่านลี่ได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ เมื่อมองเห็นภาพนี้ เดิมทีเขาคิดจะไกล่เกลี่ยความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย เวลานี้ดูท่าคงไม่สามารทำได้แล้ว มีเพียงต่อสู้กันเท่านั้น
เสิ่นเชียนจวินดึงดันต้องแก้แค้นให้กับบุตรชายของตน หลินกว่านลี่ก็เข้าใจได้ว่า ตนเองนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของเสิ่นเชียนจวินได้ เว้นแต่จะมีจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบดวงขึ้นไปออกหน้าหรือให้เซียนหวังของตระกูลราชันฉีหลินเป็นผู้ออกหน้า มิฉะนนั้นล่ะก็ เกรงว่าไม่ว่าใครก็ยากจะทำให้เสิ่นเชียนจวินละทิ้งความตั้งใจที่จะแก้แค้นให้กับบุตรชายของตนได้
“เจ้าหนู ขึ้นมาสู้กัน” เวลานี้จอมทิพย์งูหลามทองได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในเวทีต่อสู้โบราณแล้ว ร้องกล่าวเสียงทุ้มต่ำต่อหลี่ชิเย่
พลันที่จอมทิพย์งูหลามทองกล่าวขาดคำ เสียง “ตูม” ดังสนั่น พริบตาเดียวกันนี้เขาได้ปลดปล่อยพลังขมุกขมัวออกมา เวลานี้พลังขมุกขมัวของเขาเสมือนดั่งน้ำในมหาสมุทรที่พุ่งโจมตีออกมา ย่อมสามารถจินตนาการถึงอานุภาพเช่นนี้ได้ พลังขมุกขมัวมากถึงหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบล้านลิตรพุ่งตรงขึ้นท้องฟ้า เสมือนหนึ่งต้องการทำลายท้องฟ้าจนแหลกละเอียดอย่างนั้น
ภายใต้พลังขมุกขมัวน่าเกรงขามเช่นนี้ หนึ่งล้านล้านชีวิตกลับกลายเป็นเล็กจิ๋วมาก ด้วยพลังขมุกขมัวมากมายมหาศาลเช่นนี้เพียงพอที่จะท่วมหนึ่งล้านๆ ชีวิตจนจมมิด สามารถทำลายพื้นที่แห่งนี้ได้ในชั่วพริบตาเดียว
ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนมากถึงกับกลั้นลมหายใจจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ การออกมาต่อสู้ของจอมทิพย์งูหลามทองที่อยู่ตรงหน้า พลังขมุกขมัวมากถึงหนึ่งพันสามร้อยห้าสิบล้านลิตรของเขาเป็นของแท้แน่นอน เวลานี้ทุกคนต่างต้องการรู้ว่าหลี่ชิเย่จะรับมืออย่างไรกันแน่
การที่จอมทิพย์งูหลามทองออกมาท้าสู้หลี่ชิเย่นั้น หาใช่เป็นการกระทำที่บุ่มบ่าม การที่เขาก้าวออกมาท้าสู้หลี่ชิเย่ไม่เพียงต้องการทดสอบกำลังความสามารถของหลี่ชิเย่ ขณะเดียวกันยังต้องการดูว่าหลี่ชิเย่มีความสามารถเช่นนี้จริงหรือไม่ หรือว่าอาศัยมายามาสร้างความสับสนให้กับดวงตาของทุกคน เนื่องจากสิ่งที่เห็นอยู่ในขณะนี้แม้แต่ระดับจอมเทพยังไม่กล้าบอกว่าเป็นจริงหรือเป็นแค่มายา!
“จะสู้อย่างนั้นรึ งั้นข้าก็สงเคราะห์เจ้า” หลี่ชิเย่ยิ้มตามอารมณ์ออกมา และยืนมือออกไปสัมผัสตามอารมณ์
บริเวณด้านข้างซ้ายขวาของลานกว้างมีรูปปั้นสลักตั้งตระหง่านแต่ละรูป โดยรูปปั้นเหล่านี้มีรูปลักษณ์แตกต่างกันไป มีมังกรเหิน มีสัตว์ดุร้าย มีวิหคดุร้าย เวลานี้ฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้สัมผัสไปที่รูปปั้นหินแกะสลักรูปหงส์ที่ตั้งอยู่ทางด้านขวามือของลานกว้าง
หลังจากที่ฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้ลูบสัมผัสรูปปั้นแกะสลักรูปหงส์แล้ว เขาเพ่งสายตาไปข้างหน้า บังเกิดปณิธานขึ้นมา
“อิ้วว” เสียงหงส์ดังขึ้น ในขณะนี้เรื่องที่เหลือเชื่อได้เกิดขึ้นมาแล้ว รูปปั้นแกะสลักหินรูปหงส์พลันมีชีวิตขึ้นมาทันที
“แกร็ก” หลังจากที่หงส์ตัวนี้มีชีวิตขึ้นมาแล้ว พลันกางปีกออกสองข้าง เคลื่อนไหวยืดเส้นยืดสายทีหนึ่ง
บรรดาผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกงงงัน เมื่อเห็นหงส์ที่แกะสลักจากหินพลันกลายเป็นหงส์จริงๆ ขึ้นมา แม้แต่จอมเทพหนานหยาง และจอมเทพเชียนจวินต่างก็เพ่งสายตาไปข้างหน้า จ้องเขม็งไปที่หงส์ที่มีชีวิตขึ้นมา!