ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1825 จำพราก
ตอนที่ 1825 จำพราก
หลังจากที่เถี่ยซู่องนำพาพวกเฮ่อเฉินคารวะต่อหลี่ชิเย่แล้ว พวกเขาได้กลับออกไป
ก่อนจาก เสิ่นเสี่ยวซันมองดูหลี่ชิเย่ หัวใจของนางถึงกับสะท้านทีหนึ่ง ก่อนหน้านี้ไม่นานผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าห่างจากเขานานมากนานมากๆ แต่ว่า เวลานี้เขากลับห่างจากนางไกลมากไกลมากๆ ระดับความห่างไกลเกรงว่าชั่วชีวิตของนางคงไม่สามารถเอื้อมไปได้ถึง ท่ามกลางระยะความห่างไกลนี้ นางได้แต่ส่งเสียงพูดจากระยะห่างไกล
นาทีนี้ เสิ่นเสี่ยวซันรู้แล้วว่า ก่อนหน้านั้นสามารถรั้งอยู่ข้างกายคอบปรนนิบัติเขาช่างเป็นเรื่องที่โชคดีอะไรอย่างนั้น เวลานี้ ต่อให้นางมีใจร้อยใจที่ต้องการปรนนิบัติข้างกายเขาก็ไม่มีสิทธิ์อีกแล้ว เรียกได้ว่าเวลานี้หากคิดจะรั้งอยู่ข้างกายเพื่อปรนนิบัติเขา รายชื่อของนางไม่รู้ว่าต้องรอคิวด้วยการเติมเลขศูนย์ต่อท้ายไปอีกกี่ตำแหน่ง
นาทีนี้ ภายในใจของเสิ่นเสี่ยวซันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ไม่สามารถอาศัยตัวอักษรมาเปรียบเปรยความรู้สึกที่มีอยู่ในใจได้ บางที ในอนาคต ท่ามกลางชีวิตของนาง เมื่อหวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา เกรงว่าการได้อยู่กับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านำมาซึ่งความทรงจำในอดีตได้มากที่สุด สามารถนำพาความสุขให้กับนางได้มากที่สุด
“คุณชาย ข้ายังสามารถพบท่านได้อีกหรือไม่?” นาทีนี้ ภายในใจของเสิ่นเสี่ยวซันเปี่ยมด้วยพันคำหมื่นวจี มีคำพูดที่ลึกซึ้งเป็นอันมาก แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นด้วยคำไหนดี คำพูดที่มากด้วยหมุนวนอยู่ในปากของนาง สุดท้ายพูดออกมาได้เพียงเท่นนี้ บางทีอาจจะมีคำนี้คำเดียวที่สามารถแสดงออกถึงความเฝ้ารอภายในใจของนางแล้ว
หลี่ชิเย่มองดูเสิ่นเสี่ยวซันแล้วต้องทอดถอนใจภายในใจเบาๆ กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “หนทางยาวไกล กาลเวลาเป็นหมื่นปี หากมีวาสนาแล้วย่อมได้พบกัน ข้าเชื่อว่าวันหน้าเจ้ากับช้าคงมีโอกาสได้พบกัน”
“แน่นอน” หลังจากที่เสิ่นเสี่ยวซันได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ท่าทีเด็ดเดี่ยวหนักแน่นพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจะต้องพยายาม”
คำพูดคำนี้ของเสิ่นเสี่ยวซันไม่เพียงแต่พูดให้หลี่ชิเย่ฟังเท่านั้น ขณะเดียวกันก็พูดให้ตัวเองฟังด้วย ระหว่างนางกับหลี่ชิเย่ห่างไกลยากจะเอื้อมถึงแล้ว กาลเวลาในอนาคตนางจำเป็นต้องพยายามให้มาก นางจำเป็นต้องตัดสินใจทำให้ตนเองนั้นแกร่งขึ้น มีเพียงแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว จึงจะมีโอกาสได้พบกันอีกครั้ง มีเพียงตนเองแกร่งขึ้น จึงมีโอกาสเคียงข้างซ้ายขวา มิฉะนั้นล่ะก็ ตนเองนั้นอ่อนแอเป็นได้แค่มดปลวกตลอดไปเท่านั้น ไม่สามารถก้าวให้ถึงความสูงระดับนั้นตลอดไป
“ข้าเชื่อ” หลี่ชิเย่พยักหน้า กล่าวด้วยท่าทีให้กำลังใจ
ได้รับการให้กำลังใจและมั่นใจจากหลี่ชิเย่เช่นนี้ ใจของเสิ่นเสี่ยวซันถึงกับหวั่นไหว นางถึงกับกำหมัดของตนแน่น กล่าวว่า “ข้าจะทำให้ได้” กล่าวจบหันหลังเดินไปทันที นางเองก็ไม่อยากให้น้ำตาของตนรินไหลออกมา และไม่ต้องการให้เขาได้เห็นน้ำตาของตนเอง
แต่ทว่า นางยังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตู ยังคงอดที่จะหันหลังกลับมาไม่ได้ พลันวิ่งกลับเข้ามา นางเองไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน พลันเข้าไปสวมกอดหลี่ชิเย่จนแน่น
นาทีนี้ เสิ่นเสี่ยวซันไม่สามารถอดกลั้นต่อไปได้อีกแล้ว น้ำตาดูจะไม่เอาการเอางานเสียเลย มันได้ไหลออกมาจนชุ่มหางตา นางฟุบอยู่กับบ่าของหลี่ชิเย่อย่างแนบแน่น บางที การสวมกอดครั้งนี้อาจเป็นการสวมกอดครั้งสุดท้ายของพวกเขาก็เป็นได้
หลี่ชิเย่อดที่จะทอดถอนใจออกมาเบาๆ ลูบไล้เส้นผมของนางแผ่วเบา กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ไปเถอะ หนทางยาวไกล อนาคตยังต้องอาศัยเจ้าเองก้าวเดินต่อไป”
ลาก่อนคุณชาย” เสิ่นเสี่ยวซันที่สวมกอดหลี่ชิเย่เอาไว้จนแน่นได้ฮึดเอาความกล้าออกมาในที่สุด จูบหลี่ชิเย่ไปทีหนึ่ง แม้ว่าในใจจะเปี่ยมไปด้วยไม่อยาก แต่ สุดท้ายนางยังคงคลายมือและวิ่งออกไป
หลี่ชิเย่ก็ทำได้แค่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ มองดูเงาหลังที่ไกลออกไปของเสิ่นเสี่ยวซัน และส่ายหน้าเบาๆ การจำพรากในลักษณะเช่นนี้เขาผ่านมามากเหลือเกิน เขามองเรื่องนี้ด้วยความจืดจางมาก ใช่ว่าเขาเป็นคนที่ใจแข็งดั่งหิน แต่เป็นเพราะเขาประสบมันมามากเหลือเกิน แม้แต่การจำพรากด้วยความเป็นความตายเขาก็ประสบกับมันมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนหัวใจด้านชาไปแล้ว
หลี่ชิเย่อาศัยอยู่ในตระกูลราชันฉีหลินเป็นการชั่วคราว ระหว่างที่พักอยู่ในตระกูลราชันฉีหลิน นอกจากพิจารณาใคร่ครวญพินิจพิเคราะห์สิ่งของสิ่งนั้นที่บินมาจากนอกโลกแล้ว ก็ได้หมั่นฝึกฝนวิชา
เวลานี้ เขานั่งอยู่บนเตียงศักดิ์สิทธิ์ ทำการดูดกลืนพลังขมุกขมัว ผ่อนพลังของโลกในยุคดึกดำบรรพ์เข้าออก ภายในลัคนาของเขานั้น พลังขมุกขมัวพลุ่งพล่านไม่หยุด เสมือนดั่งเป็นชีวิตใหม่ของโลกๆ หนึ่งอย่างนั้น ดูคึกคักมีชีวิตชีวายิ่งนัก
“ตูม ตูม ตูม” เสียงดังขึ้นจากการพลุ่งพล่านมาเป็นระลอก พลังขมุกขมัวของหลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งหมื่นอาชาที่วิ่งห้ออย่างนั้น ในขณะนี้ พลังขมุกขมัวได้กลับกลายเป็นวังวนอยู่ภายในร่างกายของเขา หล่อเลี้ยงสัจธรรม หล่อเลี้ยงชะตาแท้
ในเวลานี้ พลังขมุกขมัวของหลี่ชิเย่มีอยู่ในครอบครองเจ็ดพันกว่าลิตรแล้ว ทะลุเส้นแบ่งห้าพันลิตร ทำให้ทักษะของหลี่ชิเย่ก้าวจากระดับตะนอยสัจธรรมเข้าสู่กิมิชาติสัจธรรมแล้ว
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว ทักษะแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อยไม่ได้สำคัญมากนัก แม้ว่าเขาจะมีวิธีการอยู่มากมาย แต่เขายังคงต้องผ่านไปตามขั้นตอน เขาไม่สามารถทำให้ทักษะของตนจากธุลีสัจธรรมก้าวไปถึงระดับจอมราชันอย่างกะทันหัน
แม้จะกล่าวว่า หลี่ชิเย่มีวิธีการมากมายที่สามารถทำให้การฝึกวิชาของตนก้าวไปอย่างรวดเร็ว แต่กาลเวลาที่เนิ่นนานผ่านมา เขาเข้าใจยิ่งขึ้นว่าการบำเพ็ญเพียรไม่มีทางลัดให้ก้าวเดิน หากต้องการเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดตลอดกาล ก็ต้องก้าวเดินไปทีละก้าวๆ ทุกย่างก้าวจะต้องมั่นคง ทุกย่างก้าวจะต้องผ่านการขัดเกลานับร้อยนับพันครั้ง ขอเพียงสร้างรากฐานที่มั่นคงแข็งแรงสุดเปรียบเปรยได้ จึงสามารถก้าวเดินได้ไกลยิ่งกว่าในอนาคต จึงสามารถไปเผชิญกับใจมารของตนได้อย่างไม่สะทกสะท้าน สามารถเผชิญกับวิบากภัยของตนโดยไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด สามารถทำให้ตนนั้นก้าวเดินต่อไปอย่างแน่วแน่มั่นคง
แม้ว่าหลี่ชิเย่สามารถทำให้ทักษะของตนก้าวจากธุลีสัจธรรมจนสำเร็จกลายเป็นจอมราชันได้ภายในระยะเวลาหนึ่งถึงสองปี แต่ผู้บำเพ็ญตนที่การก้าวอย่างหักโหมเช่นนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะสร้างจุดบกพร่องที่สามารถทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ การก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้จะไม่อาจกลายเป็นจอมราชันที่สมบูรณ์แบบได้
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ นับแต่อดีตที่ผ่านมา มีดาวรุ่งจำนวนนับไม่ถ้วน ดาวรุ่งจำนวนมากความเร็วในการนฝึกของเขาเร็วจนน่าตกใจ แต่ ดาวรุ่งจำนวนมากเมื่อฝึกไปจนถึงที่สุดแล้วก็ต้องร่วงหล่นทีละคนๆ อยู่เสมอๆ ไม่สามารถเป็นจอมราชันเซียนหวังได้ ตรงกันข้ามกับผู้บำเพ็ญตนประเภทมีสติปัญญากลางสูงที่ทำการฝึกอย่างหนักก้าวไปทีละก้าวๆ ทำการเจียระไนตัวเองอย่างหนักแน่นมั่นคง ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นจอมราชันเซียนหวังจนได้
เรียกได้ว่าการฝึกบำเพ็ญเพียงเป็นเส้นทางที่ยาวไกลยิ่งสายหนึ่ง จำเป็นต้องอาศัยการฝึกหลายร้อยปีกระทั่งเป็นหมื่นปี หากไม่มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งที่สามารถรองรับการเคี่ยวกรำได้ ย่อมไม่สามารถก้าวเดินบนเส้นทางนี้ได้ตลอดไป และยากที่จะสำเร็จกลายเป็นจอมราชันเซียนหวัง
หลี่ชิเย่ทำการฝึกด้วยการก้าวไปทีละก้าวๆ ในเก้าแดน แล้วก็มาทำกายฝึกด้วยการก้าวไปทีละก้าวๆ ในแดนที่สิบ สิ่งนี้กล่าวสำหรับเขาแล้วเป็นเพียงประสบการณ์เท่านั้น เป็นการฝึกฝนเท่านั้น เขาคิดจะบุกเบิกวิธีการฝึกที่ไม่เคยมีมาก่อน เขาคิดจะริเริ่มศักราชใหม่ จะต้องอาศัยพื้นฐานจากโลกเก่าทะลวงออกมา จะต้องอาศัยการนำเอาส่วนที่เป็นแก่นจากเดิมมาสร้างเป็นของใหม่ขึ้นมา มิฉะนั้นล่ะก็ เขาไม่สามารถริเริ่มศักราชใหม่ได้อยู่แล้ว
ภายใต้สถานการณ์ที่ศักราชเก่ายังคงอยู่ หากไม่มีพื้นฐานของโลกเก่ามาทำการกลั่นเอาแต่แก่นมาสร้างเป็นของใหม่ขึ้นมา ไม่มีกาลเวลาที่ยาวนานในการขัดเกลา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นเพียงวางแผนกันบนกระดาษเท่านั้น เป็นเพียงตัวหนังสือที่อยู่บนกระดาษเท่านั้น
หลี่ชิเย่ต้องการเจียระไนการฝึกของสองโลก เขาต้องการอาศัยพื้นฐานการฝึกของสองโลกก้าวทะลุออกมา สร้างระบบการฝึกที่เป็นของเขา สร้างระบบให้กับโลกใหม่!
หลังจากผ่านการผ่อนพลังขมุกขมัว พลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์เข้าออกแล้ว ไฟแห่งชีวิตภายในลัคนาของหลี่ชิเย่ลุกโชน เป็นไฟแห่งชีวิตที่บริสุทธิ์ยิ่งไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ เขาเสมือนหนึ่งเป็นเชื้อไฟที่บริสุทธิ์ที่สุดในโลกยากจะหาผู้ใดเทียม เขาทำการกลั่นเกลาตัวอ่อนครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งขณะไฟแห่งชีวิตทำการกลั่นเกลาครั้งแล้วครั้งเล่านั้น เป็นไปด้วยความนุ่มนวลมาก เหมือนดั่งหิมะที่ค่อยๆ หลอมละลายอย่างนั้น
ตัวอ่อนที่กำลังถูกกลั่นเกลาด้วยไฟแห่งชีวิตภายในลัคนานั้นก็คือชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่หลี่ชิเย่ได้มาจากแดนอาถรรพ์เทพกำแหง โดยที่ชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนี้ยังไม่เคยผ่านการหลอมสร้างกลั่นเกลามาก่อนเลย ทุกๆ ตัวอ่อนยังคงสมบูรณ์แบบ และอยู่ในสภาพแรกเริ่มทั้งสิ้น
ครั้งนั้น เทพกำแหงได้ชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนี้มาแล้วไม่ได้ทำการหลอมกลั่นมัน เนื่องจากเทพกำแหงคิดอาศัยการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงมาหลอมกลั่นมัน และเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เทพกำแหงต้องการรีบเร่งให้ตัวเองนั้นไปอยู่ในระดับเทพโบราณ
ตามหลักแล้ว เขาเองอยู่ในระดับจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงแล้ว ทนมาได้เนิ่นนานขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องรีบเร่งให้กลายเป็นเทพโบราณก็ได้ อีกอย่าง โอกาสที่เขาจะได้เป็นเทพโบราณนั้นมีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ว่า เทพกำแหงต้องการความรวดเร็วด้วยการไปทางลัด กลืนกินฟ้าดิน ท้ายสุดนำมาซึ่งภัยถูกสงหาร
การเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงเกี่ยวพันถึงอาณาจักรที่ลึกซึ้งมาก มีเพียงจอมราชันเซียนหวัง และจอมเทพที่ก้าวไปถึงระดับหนึ่งแล้วจึงสามารถเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรแห่งนี้ พลังของอาณาจักรแห่งนี้เกิดจากลัคนาจตุลักษณ์ ทำให้มันกลายเป็นพลังที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า…การเข้าถึงตัวตนอันแท้จริง!
บนโลกนี้มีพลังอยู่มากมาย พลังขมุกขมัว พลังของโลกยุคดึกดำบรรพ์ พลังสัจธรรมจากสัจธรรมสูงสุด หรือพลังอารมณ์ความรู้สึกเจ็ดประการ และความปรารถนาเจ็ดประการในโลกีย์มนุษย์ หรือพลังสวรรค์ลงทัณฑ์ที่เป็นของสวรรค์….
แต่ว่า พลังเหล่านี้9ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เป็นพลังของผู้บำเพ็ญตนเอง ไม่ว่าจะเป็นพลังขมุกขมัว พลังของโลกดึกดำบรรพ์ หรือพลังลงทัณฑ์ของสวรรค์ พลังเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่อาศัยพึ่งพิง ไม่ก็กำเนิดในฟ้าดิน ไม่ก็มาจากสวรรค์!
แตกต่างจากการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริง เป็นพลังที่เป็นของตัวเองโดยแท้จริง เป็นพลังที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง ไม่ถูกควบคุมโดยทุกสิ่งทุกอย่างของฟ้าดิน
เคยมีจอมราชันกล่าวว่า มีเพียงการควบคุมการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริง จึงเป็นการหนีจากการถูกผูกมัดเอาไว้ มิฉะนั้นล่ะก็ ต่อให้จอมราชันเซียนหวัง ที่มีความแข็งแกร่งมากกว่านี้ มีพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรมากกว่านี้ ก็เป็นได้แค่เหนื่อยเปล่าแต่ที่สุดแล้วไม่ได้อะไรเลย เพราะล้วนแล้วแต่ไม่ใช่พลังของตน
นี่ก็คือเหตุผลว่าเพราะอะไรเทพกำแหงถึงได้ร้อนรนนักเพื่อเป็นเทพโบราณให้ได้ เข้าต้องการควบคุมการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงได้จริงๆ เข้าต้องการอาศัยการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงมาหลอมกลั่นชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนี้
กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว การเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงไม่ใช่ปัญหา เขาได้ก้าวไปล่วงหน้าก่อนผู้อื่นมาก้าวหนึ่งแล้ว ขณะที่เขามีสิบสามลัคนาก็เคยวิวัฒนาการเป็นข้านี่แหละสวรรค์มาก่อน ก่อนที่เขาจะได้เป็นราชันเซียนก็ได้ควบคุมการเข้าถึงตัวตนอันแท้จริงมาแล้ว เขาได้เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งเรื่องลัคนาจตุลักษณ์ก่อนผู้อื่นก้าวหนึ่งมาแล้ว!
“ช่าาาช่าาา ช่าาา…” เวลานี้ตัวอ่อนแต่ละชิ้นที่อยู่ท่ามกลางการหลอมกลั่นจากไฟแห่งชีวิตได้มีการแปรเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า บทสัจธรรมได้วิวัฒนาการไปครั้งแล้วครั้งเล่า
ตัวอ่อนจำนวนแปดหมื่นแปดพันแปกร้อยแปดสิบแปดชิ้นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งแล้วครั้งเล่า และปรากฏออกมาจากการวิวัฒนาการครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยจำนวนตัวอ่อนที่มากมายถึงเพียงนี้ เรียกได้ว้าเป็นภาพที่แลดูอลังการมาก หากมีผู้ใดพบเห็นต้องสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจอย่างแน่นอน
ชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์คือศาสตราวุธเต๋าที่จัดอยู่ในอาวุธที่อ่อนและอยู่ระดับต่ำสุด แต่เมื่อจำนวนตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์มากถึงระดับหนึ่ง อานุภาพของมันก็น่ากลัวยิ่ง
เฉกเช่นชุดตัวอ่อนชั้นสูงสุดที่อยู่ในมือของราชันเสิ่นตี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าชุดตัวอ่อนของจอมราชันเซียนหวังใดๆ เลย ถ้าหากจะกล่าวว่ามีชุดตัวอ่อนใดเหนือกว่าชุดตัวอ่อนชั้นสูงสุดที่อยู่ในมือของราชันเสิ่นตี้ เกรงว่าคงมีแต่ชุดตัวอ่อนเซียนแท้จริงแล้วหละ
แม้ว่าชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่ชุดนี้จะเทียบไม่ได้กับชุดตัวอ่อนชั้นสูงสุดของราชันเสิ่นตี้ แต่เมื่อไหร่ที่มันหลอมสร้างสำเร็จ อานุภาพของมันก็จะน่ากลัวมากเหมือนกัน