ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1885 โลกมันกลม
ในขณะนี้ แทนที่จะบอกว่าเงียบสงัด บอกว่าเป็นเฝ้าหวังศึกใหญ่ที่จะมาถึงดีกว่า จินเก๋อนั้นบารมีสยบทั่วหล้า ขณะที่คนโหดอันดับหนึ่งเป็นดาวรุ่งมาใหม่ ด้วยพลังที่แข็งแกร่ง ท่าทีที่ข่มผู้อื่นว่าตนเหนือกว่า ชั่วร้ายผิดปรกติอย่างที่สุด ทั้งสองฝ่ายโคจรมาพบกัน รับประกันได้ว่าจะต้องเป็นเสือปะทะสิงห์แน่นอน ดังนั้น ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกดีใจ รอคอยการลงมือจากจินเก๋อ เพื่อล้างแค้นให้กับพ่อตาและน้องภรรยาของตน
นาทีนี้ หลี่ชิเย่กลับไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ยังคงเดินไปช้าๆ อย่างมีความสุข และไม่ได้ให้ความสนใจต่อจินเก๋อกับองค์หญิงเทียนหวง ถึงจะอยู่ต่อหน้าเมืองตี้ฮว่าเขายังคงเอ้อระเหยเหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านของตนอย่างนั้น
ธิดาราชันฉีหลินที่ติดตามอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ หากว่าจินเก๋อลงมือ ต้องนำมาซึ่งการต่อสู้ขนานใหญ่ ไม่แน่นักอาจก่อให้เกิดการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาระหว่างจอมราชันเซียนหวังด้วยกัน
พริบตาเดียวนั่นเอง เห็นแววตาของจินเก๋อเต้นกระตุกนิดหนึ่ง เขาไม่ได้มีท่าทีที่น่าตกใจ ไม่ได้มีอำนาจบารมีที่สุดยอดในหล้า แค่เพียงแววตาที่กระตุกนิดหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่า พริบตาเดียวนั้นเอง มือที่อ่อนนุ่มได้กำฝ่ามือที่หยาบกร้านของเขาเอาไว้แน่น ในขณะนี้องค์หญิงเทียนหวงได้กำมือของสามีนางเอาไว้แน่น และส่ายหน้าเบาๆ ให้กับสามีของตน
จินเก๋อที่มองดูท่าทีขององค์หญิงเทียนหวงแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สุดท้ายได้ละสายตากลับมาและเก็บงำจิตใจเอาไว้ หันหน้าเข้าหาเมืองตี้ฮว่า จัดแจงชุดของตนที่สวมใส่อยู่ให้เรียบร้อย พากันเดินไปยังประตูเมืองของเมืองตี้ฮว่า
ทุกคนต่างรู้สึกตะลึงกับภาพที่เห็น ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์มีปฏิกิริยาตามไม่ทัน เนื่องจากมันอยู่เหนือความคาดคิดของพวกเขา
ในสายตาของผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากมองว่า จินเก๋อและหลี่ชิเย่ได้มาเจอกันเพราะโลกกลมโดยแท้ พลันที่พวกเขาเจอหน้ากันจะต้องมีการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าแน่นอน จะอย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ไม่สามารถอดกลั้นความอัปยศนี้เอาไว้ได้ แค้นที่สังหารพ่อตา เรียกได้ว่าอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!
แต่ทว่า นาทีนี้จินเก๋อกลับอดกลั้นเอาไว้ได้ ไม่ได้ลงมือต่อหลี่ชิเย่ ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมากมาย ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น มองเห็นจินเก๋อถือป้ายประกาศิตโบราณอันหนึ่งด้วยมือสองข้าง นำพาองค์หญิงเทียนหวงคุกเข่าลงกราบอย่างเคารพนอบน้อม และกล่าวว่า “วันนี้ ข้าจินเก๋อลูกหลานอกตัญญูขอเข้าพบท่านบรรพบุรุษ”
“เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด…” หลังจากที่จินเก๋อนำพาองค์หญิงเทียนหวงกราบสามครั้งแล้ว ประตูใหญ่ที่หนักอึ้งได้ค่อยๆ เปิดออก หลังจากที่ประตูได้เปิดออกแล้ว เห็นเพียงข้างในตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายขมุกขมัว เสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นโลกอีกโลกหนึ่งไปแล้ว
หลังจากที่จินเก๋อและองค์หญิงเทียนหวงเห็นประตูที่หนักอึ้งของเมืองตี้ฮว่าเปิดออกแล้ว จึงกราบอีกครั้งหนึ่ง หลังจากลุกขึ้นมาแล้วได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง จากนั้น สองสามีภรรยาจึงได้เดินเข้าไปยังเมืองตี้ฮว่าพร้อมกัน
หลังจากที่จินเก๋อและองค์หญิงเทียนหวงได้หายเข้าไปท่ามกลางกลิ่นอายขมุกขมัวแล้ว ได้ยินเสียงดัง “เอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยด” ดังขึ้นมาอีกครั้ง ประตูใหญ่ของเมืองตี้ฮว่าได้ปิดลงอย่างช้าๆ
จังหวะที่จินเก๋อนำพาองค์หญิงเทียนหวงเข้าไปยังเมืองตี้ฮว่านั้น หลี่ชิเย่ได้ไปจากเมืองตี้ฮว่าไปแล้ว เขานำพาธิดาราชันฉีหลินก้าวข้ามไปยังฝอเหย่ ระหว่างเขากับจินเก๋อแค่เฉียดกันไปเท่านั้นเอง
เดิมทีควรเป็นศึกสะเทือนโลกาก็ได้จางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเพียงชั่วแวบเดียว หากไม่เป็นเพราะองค์หญิงเทียนหวง บางทีอาจเป็นไปได้ที่จินเก๋อจะได้ลงมือก็เป็นได้
หลังจากที่จินเก๋อและองค์หญิงเทียนหวงเข้าไปยังเมืองตี้ฮว่าแล้ว ทุกคนจึงได้สติกลับมา หันหลังมองหาหลี่ชิเย่อีกที ไม่เห็นกระทั่งเงาอีกแล้ว
“รายการเสือปะทะสิงห์ ไม่นึกเลยว่ากลับไม่เกิดขึ้น” ผู้บำเพ็ญตนที่ต้องการให้วุ่นวายไปทั่วหล้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปย่อมอดไม่ได้ที่จะกล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจ
“นั่นสิ นับว่าอยู่นอกเหนือความคาดคิดเลยจริงๆ คนโหดอันดับหนึ่งสังหารน้องภรรยาและพ่อตาของจินเก๋อ แต่จินเก๋อกลับสามารถกล้ำกลืนความอัปยศนี้ไว้ได้ นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง ในสิบสามทวีปนี้จินเก๋อเกรงกลัวใครมาก่อนรึ? การแย่งชิงชะตาฟ้าในครั้งนั้นเขาก็อาศัยตาต่อตาฟันต่อฟัน แม้ว่าพวกของเหรินเซิ่นจะลอบโจมตีได้สำเร็จ แต่ภายหลังเขาก็ได้แก้แค้นเอาคืนได้เช่นกัน” ผู้บำเพ็ญตนรู้สึกไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
ในสายตาของพวกเขาที่เป็นผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่อารมณ์ร้อนมองว่า การที่คนโหดอันดับหนึ่งสังหารพ่อตาและน้องภรรยาของจินเก๋อ จินเก๋อจะต้องล้างแค้นให้กับพ่อตาและน้องภรรยาของตนแน่นอน จะอย่างไรเสียแค้นนี้ไม่สามารถอยู่ร่วมโลกกันได้ เป็นใครก็ไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อความอัปยศเช่นนี้ได้ แต่ว่า จินเก๋อกลับอดกลั้นเอาไว้ได้
“ได้ยินว่าจอมราชันที่เข้าเวรเมืองตี้ฮว่าในยุคนี้คือจอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง ต่อหน้าประตูเมืองตี้ฮว่าใครบังอาจแตะต้องศิษย์ของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง เมื่อมีจอมราชันคอยให้ท้าย ต่อให้ศัตรูแข็งแกร่งมากกว่านี้ก็เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเอง เพราะอะไรจินเก๋อจึงไม่ลงมือกันเล่า?” กลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่อาจเข้าใจในการกระทำของจินเก๋อ
ผู้คนจำนวนมากต่างมองว่า จอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังก็อยู่ภายในเมืองตี้ฮว่านี้เอง ขณะที่ตัวจินเก๋อเองก็มีความแข็งแกร่งเพียงพอ หากว่าจินเก๋อลงมือในเวลานี้ ต่อให้เป็นจอมเทพก็เท่ากับรนหาที่ตายเองเช่นกัน! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนโหดอันดับหนึ่งแล้ว
แต่ทว่า ภายใต้เงื่อนไขที่ได้เปรียบอย่างยิ่งเช่นนี้ จินเก๋อกลับนิ่งเงียบ จึงทำให้บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ไม่อาจเข้าใจได้ เพราะอะไรจินเก๋อจึงไม่ลงมือสังหารคนโหดอันดับหนึ่งเสีย
แน่นอน ไม่มีใครกล้าหัวเราะเยาะจินเก๋อว่าใจเสาะอ่อนแอ ยิ่งไม่มีใครคิดว่าจินเก๋อนั้นเกรงกลัวต่อคนโหดอันดับหนึ่ง สำหรับจินเก๋อที่ก้าวเดินมาจนถึงจุดนี้แล้ว ผู้ซึ่งผ่านการศึกน้อยใหญ่มาครั้งแล้วครั้งเล่า คนที่อาศัยเลือดของศัตรูจำนวนนับไม่ถ้วนมาชำระกายาของตน จินเก๋อต้องไม่ใช่ประเภทหวาดกลัวต่อการรบอย่างแน่นอน
“จินเก๋อได้แต่งงานกับภรรยาที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม นาทีนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าการได้เป็นจอมราชัน” รุ่นอาวุโสมองภาพนี้ได้กระจ่าง แม้ว่าองค์หญิงเทียนหวงจะแสดงท่าทีเล็กน้อยเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถรอดจากสายตาคู่นี้ของผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสไปได้
มีรุ่นอาวุโสได้ทอดถอนใจออกมาว่า “องค์หญิงเทียนหวงไม่ได้ถูกความแค้นบังตา หลังจากผ่านการถูกลอบโจมตีมาแล้วครั้งหนึ่ง นางยิ่งเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าอะไรคือทำตัวค่อมต่ำ อะไรคือการออมกำลังเอาไว้ พวกเขาจะทุ่มเต็มที่ก็ต่อเมื่อจังหวะต้องการสืบทอดชะตาฟ้าเท่านั้น ก่อนที่จะสำเร็จลุล่วงภารกิจยิ่งใหญ่กับการเป็นจอมราชัน บุญคุณความแค้นส่วนตัวก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ภาพนี้ทำให้ผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสจำนวนมากซึ่งผ่านอุปสรรคมามากมายต่างไม่สามารถรับได้กับการที่บิดาและน้องชายของตนถูกสังหาร หากเปลี่ยนเป็นผู้หญิงคนไหนก็ตามก็ ก็ต้องสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ต้องล้างแค้นให้กับน้องชายและบิดาของตนแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้นในมือขององค์หญิงเทียนหวงยังกุมกำลังทหารจำนวนมากเอาไว้อีกด้วย!”
แต่ว่า องค์หญิงเทียนหวงกลับไม่ได้เลือกที่จะล้างแค้น กระทั่งไม่ต้องการให้สามีของตนต้องเสียสมาธิเพราะเรื่องของครอบครัวฝั่งของตน ภายในใจของนางต้องการให้สามีของตนทุ่มเทกายใจทั้งหมดไปที่การสืบทอดชะตาฟ้า
แม้แต่ธิดาราชันฉีหลินที่ติดตามหลี่ชิเย่ไปจากเมืองตี้ฮว่าก็พูดออกมาจากใจว่า “แม้ว่าองค์หญิงเทียนหวงจะมีชาติกำเนิดมาจากสายสำนักราชันเซียน แต่นางมีสติสัมปชัญญะยิ่งกว่าใครๆ ด้วยสติปัญญาของนางแล้ว นางมีสิทธิ์เป็นราชินีได้อย่างแท้จริง”
“นี่มันก็เป็นเรื่องปรกติ” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาเรียบๆ ว่า “นางเป็นบุคคลภายนอกคนหนึ่ง การที่ตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังกลับสามารถมอบอำนาจใหญ่ให้กับบุคคลภายนอกคนหนึ่ง ต่อให้บรรดาบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังจะแก่จนเลอะเลือนแล้วก็ตาม แต่เฉกเช่นจอมราชันที่ผ่านความเป็นความตายมานับไม่ถ้วนอย่างราชันสวรรค์จ้านหวังนั้น เขาไม่ได้เลอะเลือนแม้แต่น้อยนิด…”
“…ในเมื่อเป็นเพียงบุคคลภายนอกคนหนึ่ง แต่กลับได้รับความไว้วางใจจากตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังมากมายถึงเพียงนี้ สามารถกุมอำนาจใหญ่ของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง สิ่งนี้หาใช่บุคคลทั่วไปภายในตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังสามารถตัดสินใจได้ มีเพียงบุคคลระดับราชันสวรรค์จ้านหวังพยักหน้าเห็นชอบเท่านั้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะได้กุมอำนาจใหญ่ของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง การเลือกสรรผู้ที่จะมาเป็นสะใภ้ของตระกูลสำหรับผู้ดำรงอยู่ในฐานะราชันสวรรค์จ้านหวังเช่นนี้ ย่อมหาใช่ผู้หญิงทั่วไปสามารถได้รับการคัดเลือกอยู่แล้ว
เรื่องราวเกี่ยวกับองค์หญิงเทียนหวงนั้น หลี่ชิเย่ก็เคยได้ยินได้ฟังมาบ้าง เขาแค่วิจารณ์ไปตามอารมณ์เท่านั้น แต่ว่า แค่วิจารณ์ไปตามอารมณ์กลับจี้ถูกจุดอย่างเหมาะเจาะ
เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วและรู้สึกว่าเป็นความคิดเห็นที่ชัดเจน นางเองก็มีชาติกำเนิดมาจากสายสำนักราชันเซียน การที่คนนอกตระกูลคนหนึ่งจะมาปกครองกุมอำนาจของสายสำนักราชันเซียนใช่จะเป็นเรื่องง่ายดาย ซึ่งมองถากๆ ก็พอจะดูออกว่าตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังไว้วางใจองค์หญิงเทียนหวงขนาดไหน
ด้วยเหตุที่องค์หญิงเทียนหวงกุมอำนาจอยู่ในมือนั่นเอง จึงส่งผลให้น้องชายรัชทายาทเทียนหวง และบิดาของนางเข้าใจว่ามีผู้ให้การสนับสนุนที่แข็งแกร่งยากจะหาใดเทียม กลายเป็นผู้ที่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา สุดท้ายต้องเสียชีวิตเพราะเหตุนี้!
เวลานี้ หลี่ชิเย่และธิดาราชันฉีหลินได้เข้าไปในฝอเหย่แล้ว ฝอเหย่นั้นมีพื้นที่กว้างขวางมาก ทอดสายตามองออกไปคือทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนมองไม่เห็นปลายทางสิ้นสุดของมัน
พูดไปแล้วก็ให้รู้สึกแปลก ในแดนแห่งการสืบค้นนั้นยากจะได้เห็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นพืช เฉกเช่นแหลมฮ่าวว่างอะไรเหล่านั้น มันมีแต่ความวิเวก อย่าว่าแต่ต้นไม้สักต้นเลย แม้แต่ต้นหญ้าเล็กๆ สักต้นก็ไม่มี
แต่ว่า ฝอเหย่กลับแตกต่างกัน ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่ไพศาลกลับขึ้นเต็มไปด้วยหญ้าที่เฉาและเหลือง ท่ามกลางสายลมที่พัดมาเบาๆ ต้นหญ้าที่เฉาและเหลือเหล่านี้พริ้วไหวไปตามลม เสมือนหนึ่งเป็นการพริ้วไหวของหญิงสาว
แต่ว่า ต้นหญ้าในฝอเหย่นับว่าแปลก พวกมันมีลักษณะเฉาและเหลืองตั้งแต่กำเนิด คือมีลักษณะของสีที่เป็นเหมือนถูกไหม้เกรียมมาสามส่วนตั้งแต่เกิด กระทั่งให้ความรู้สึกแก่ผู้คนถึงลักษณะที่ใกล้จะสิ้นลมอย่างนั้น เหมือนว่าต้นหญ้าเหล่านี้พลันที่งอกขึ้นมาก็อมโรคพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว
แต่ว่า ด้วยลักษณะเหมือนอมโรคเช่นนี้ กลับสามารถเจริญเติบโตขึ้นมาอย่างทรหด กลายเป็นต้นหญ้าแห้งเฉาที่สุดลูกหูลูกตา ซึ่งนับเป็นเรื่องแปลกมาก
“เพราะอะไรฝอเหย่จึงมีหญ้าขึ้นมาได้?” เรื่องราวเกี่ยวกับฝอเหย่ธิดาราชันฉีหลินก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน เมื่อมองเห็นหญ้าที่แห้งเฉาสุดลูกหูลูกตาแล้ว นางเองก็รู้สึกแปลกใจ
พื้นที่เช่นแหลม ฮ่าวว่างเหล่านั้นไม่มีหญ้าขึ้นแม้แต่ต้นเดียวอยู่แล้ว แต่ที่ฝอเหย่กลับมีต้นหญ้าขึ้นมาได้ แม้จะเป็นแบบเฉาเหลืองก็ตาม แต่มันก็คือต้นหญ้าที่มีชีวิต
“ภายในแดนแห่งการสืบค้น ล้วนแล้วแต่เป็นวันเวลาที่แตกละเอียดทั้งสิ้น สายน้ำแห่งกาลเวลาสายยาวๆ สายหนึ่งเคยถูกขยี้จนแหลกละเอียดมาแล้ว ยุคสมัยดึกดำบรรพ์แต่ละยุคเคยแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ มาแล้ว!” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “เรียกได้ว่า แดนแห่งการสืบค้นจะไม่มีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้น เว้นเสียแต่ว่าจะฝืนลิขิตสวรรค์เป็นพิเศษ การที่ต้นหญ้าสามารถเจริญเติบโตขึ้นที่ฝอเหย่มันมีความลึกลับที่ยากจะเข้าใจได้อยู่แล้ว”
“ความลึกลับอะไรรึ?” ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกประหลาดใจยิ่ง กระหายใคร่อยากรู้เป็นอันมาก
“พลัง พลังคุ้มครอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “ความจริงแล้ว ผืนแผ่นดินที่หลงเหลืออยู่ในแดนแห่งการสืบค้นนี้ จะเป็นผืนแผ่นดินก็ดี หรือเป็นแค่เศษเสี้ยวหนึ่งของโลกก็ช่าง ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งดำรงอยู่ที่ยอดเยี่ยมมาก ตัวของพวกมันเองแฝงไว้ซึ่งพลังที่ปราศจากผู้ต่อกรในหล้าอยู่แล้ว มิฉะนั้นล่ะก็ ขณะสายน้ำแห่งกาลเวลาพังพินาศก็จะไม่สามารถคงอยู่ได้ แต่ว่า ฝอเหย่จะมีข้อแตกต่างจากที่อื่นๆ”
ธิดาราชันฉีหลินฟังหลี่ชิเย่พูดเงียบๆ โดยไม่ได้พูดแทรกแต่อย่างไร
“เจ้าคิดว่าหากวันหนึ่งโลกพังทลายลงมา เจ้าจะทำเช่นใด?” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นช้าๆ พร้อมกับมองหน้าธิดาราชันฉีหลินทีหนึ่ง
“รักษาชีวิตเอาไว้” ธิดาราชันฉีหลินหลุดปากตอบโดยไม่ต้องคิด การที่นางหลุดปากตอบออกมาเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์ และสิ่งนี้ก็คือสัญชาตญาณของทุกๆ สิ่งมีชีวิตที่ควรมี