ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1913 อู่ฟ่งหยิ่งที่ไม่เหมือนเดิม
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 1913 อู่ฟ่งหยิ่งที่ไม่เหมือนเดิม
หลี่ชิเย่วางแผนลับๆ กับคนผู้นี้นานมาก ทั้งสองได้พูดคุยถึงความลับที่สะเทือนฟ้ามากมาย สุดท้าย เมื่อทุกอย่างได้มีข้อสรุปตัดสินแล้ว ทั้งสองคนได้ไปจากโดยอาศัยวิธีการที่ลึกลับที่สุดกลับไปยังที่ที่ของตนเอง การกระทำในครั้งนี้ของพวกเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ พวกเขาลบกระทั่งร่องรอยที่ปรากฏในมิติแห่งกาลเวลา ไม่เปิดโอกาสให้ผู้ใดสามารถติดตามและสำแดงใดๆ ได้
ในโลกนี้ เว้นแต่พวกเขาทั้งสองคนแล้ว ไม่มีใครล่วงรู้ว่าการวางแผนลับๆ ในครั้งนี้ได้ตัดสินชะตาชีวิตของคนหลายคนไว้แล้ว ตัดสินแนวโน้มทิศทางการก้าวเดินในอนาคต กระทั่งชะตาชีวิตของจอมราชันเซียนหวังจำนวนมากก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้วในการวางแผนลับๆ ครั้งนี้
ภายในเรือนิรันดร ธิดาราชันฉีหลินได้เฝ้าอยู่ด้านหน้าบ้านที่หลี่ชิเย่อาศัยอยู่ โดยไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปใกล้และไม่อนุญาตให้ใครได้เข้าไป
นอกจากธิดาราชันฉีหลินที่เฝ้าอยู่หน้าประตูทางเข้าแล้ว ภายในลานบ้านยังมีคนอื่นๆ ที่รออยู่ ผู้ที่รออยู่บริเวณลานบ้านยังมีหนึ่งชายหนึ่งหญิง ล้วนแล้วแต่อยู่ในวัยหนุ่มสาว ผู้หญิงก็คืออู่ฟ่งหยิ่งที่มาแล้วหลายวัน
“เอี๊ยด” เสียงเปิดประตูดังขึ้น หลี่ชิเย่ได้ก้าวเดินออกมาจากด้านใน
“คุณชาย” ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกโล่งอกทันทีที่ได้เห็นหลี่ชิเย่ แน่นอนนางย่อมไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องกับหลี่ชิเย่ แต่ระยะนี้ปราศจากซุ่มเสียงใดๆ นางย่อมรู้สึกกังวลอยู่ในใจจริงๆ
“ถึงไกลกันดารหรือยัง?” หลี่ชิเย่หัวเราะและบิดขี้เกียจ ท่าทางเหมือนกำลังตื่นอย่างนั้น หรือจะบอกว่าท่าทางเหมือนเพิ่งเสร็จจากการฝึกวิชา ดูเพลียๆ อยู่บ้าง
แน่นอนที่สุด ท่าทางที่ดูเพลียๆ ของหลี่ชิเย่ไม่ได้เกิดจากการเสแสร้งแกล้งทำ เขาได้ก้าวข้ามเวลาโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้ หากบอกว่าไม่รู้สึกเหนื่อยร้าคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“ยังไม่ถึงไกลกันดาร ยังคงต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่ง” ธิดาราชันฉีหลินรีบกล่าวตอบ
หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “งั้นดี มีเรื่องอะไรค่อยเรียกข้า” พูดจบหันหลังเพื่อกลับเข้าไปภายในบ้าน ท่าทางอิสระและผ่อนคลาย
จุดประสงค์การเดินทางมาครั้งนี้ของหลี่ชิเย่นับว่าสำเร็จลุล่วง ไกลกันดารเป็นแค่ถือโอกาสเท่านั้นจุดประสงค์หลักของการมาที่แท้จริงในครั้งนี้คือการพบปะกันกับผู้อื่นอย่างลับๆ ดังนั้น หลี่ชิเย่ในเวลานี้จึงดูผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ
“หลี่ ไม่ คุณชายหลี่” จังหวะที่หลี่ชิเย่หันหลังเพื่อกลับเข้าบ้าน เสียงหนึ่งได้ดังขึ้นเรียกหลี่ชิเย่เอาไว้ เจ้าของเสียงก็คืออู่ฟ่งหยิ่งนั่นเอง
หลี่ชิเย่หันหลังกลับมา มองดูอู่ฟ่งหยิ่ง แล้วก็มองดูผู้ชายที่อยู่ข้างกายของนาง
วันนี้อู่ฟ่งหยิ่งมาไม่เหมือนเดิม ปรกติแล้วอู่ฟ่งหยิ่งจะใส่ชุดเกราะ บุคลิกลักษณะองอาจผึ่งผายข่มขวัญผู้คน ด้วยท่าทางของอิสตรีไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ แต่มาวันนี้อู่ฟ่งหยิ่งสวมใส่ชุดสีแดง ขณะที่ชุดของนางพลิ้วไหวตามลม แลดูงดงามมากเป็นพิเศษ
เดิมทีตัวอู่ฟ่งหยิ่งเองก็นับว่ามีความงดงามปราศจากผู้เทียบเทียมอยู่แล้ว ถือเป็นหญิงงามที่ทำให้โลกต้องตะลึงแน่นอน เพียงแต่โดยปรกติแล้วนางมีความมุทะลุดุดันมากเหลือเกิน อีกทั้งยังเปี่ยมด้วยความพาล ทุกคนจึงมองข้ามความงดงามของนางไป เวลานี้นางสวมใส่ชุดสีแดงต้องเรียกว่างดงามยากจะหาผู้ใดเทียม ใช้คำว่าสวยหยาดเยิ้มมาเปรียบเปรยก็นับว่าไม่เกินเลย สามารถทำให้ผู้คนที่พบเห็นพลันหลงใหลในทันที
ปรกติแล้ว อู่ฟ่งหยิ่งจะมีความมุทะลุดุดันมากเป็นพิเศษ อีกทั้งมีความพาลอยู่เต็มเปี่ยม แต่อู่ฟ่งหยิ่งในวันนี้เหมือนเปลี่ยนนิสัยไปเป็นคนละคนอย่างนั้น ขณะท่วงท่าการก้าวเดินยังเป็นลักษณะของก้าวเดินสั้นๆ เหมือนว่ากลับกลายเป็นอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ แตกต่างจากเดิมเป็นพิเศษเหมือนเป็นคนละคน
“คุณชายหลี่ เป็นข้าที่ประสบการณ์น้อย ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ล่วงเกินต่อคุณชาย…” อู่ฟ่งหยิ่งในเวลานี้ก้มหน้าต่ำกล่าวขอโทษต่อหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่อดที่จะพิจารณาอู่ฟ่งหยิ่งตั้งแต่หัวจดเท้า หากไม่เป็นเพราะเห็นกับตาตนเอง เรียกได้ว่ายากจะเชื่อจริงๆ อู่ฟ่งหยิ่งที่อยู่ตรงหน้าก็คืออู่ฟ่งหยิ่งที่มุทะลุดุดันและอันธพาลคนนั้น นี่ไม่ใช่อู่ฟ่งหยิ่งคนนั้นชัดๆ
ธิดาราชันฉีหลินอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ไม่กล้า เมื่อมองเห็นท่าทางที่งดงามและนุ่มนวลของอู่ฟ่งหยิ่ง นางได้แต่พูดขึ้นมาเบาๆ ที่ข้างหูของหลี่ชิเย่ว่า “เจ้าเมืองอู่ได้รอคุณชายอยู่ที่ตรงนี้มาหลายวันแล้ว นางตั้งใจจะมาขอโทษคุณชายด้วยความจริงใจ”
สิ่งที่ธิดาราชันฉีหลินสามารถทำได้ก็คือพูดบวกให้กับอู่ฟ่งหยิ่ง ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ชิเย่กับอู่ฟ่งหยิ่งสามารถผ่อนคลายลงได้หรือไม่นั้น หาใช่นางจะไปบงการได้อยู่แล้ว
“ข้าตาลายไปรึ?” หลี่ชิเย่ที่มองดูอู่ฟ่งหยิ่งที่ดูงดงามและนุ่มนวลแล้ว ถึงกับหัวเราะและกล่าวว่า “หรือว่าวันนี้พราะอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตกหรือไง เจ้าที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง”
“พูดจาไร้สาระ” เมื่ออู่ฟ่งหยิ่งได้ยินหลี่ชิเย่พูดเช่นนี้พลันอดกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ กลับกลายเป็นร่างเดิมทันที กล่าวด้วยท่าทีที่มุทะลุดุดันว่า “เจ้าคนแซ่หลี่ เจ้าคนหน้าด้าน”
“ภาพลักษณ์ ภาพลักษณ์ ระวังภาพลักษณ์ รักษาภาพลักษณ์ของกุลสตรีเอาไว้ อ่อนหวานน่ารัก อ่อนโยนดุจสายน้ำ” ขณะที่อู่ฟ่งหยิ่งกำลังจะคลั่ง ผู้ชายที่ติดตามอยู่ข้างกายอู่ฟ่งหยิ่งจึงเตือนอู่ฟ่งหยิ่งที่กำลังบ้าคลั่งในทันที และไปปลอบนางทันที
ผู้ชายคนนี้ดูอ่อนเยาว์เป็นอันมาก หน้าตาหล่อเหลาแต่ท่วงท่าดูจะแฝงไว้ซึ่งความเป็นอันธพาลอยู่บ้าง ท่าทีเป็นคนเอ้อระเหยลอยชาย ไม่อยู่กับร่องกับรอยอย่างยิ่ง แค่มองเห็นแวบหนึ่งก็รู้ว่าเป็นเจ้าหนูที่ไม่ได้อยู่ในระเบียบกฎเกณฑ์อะไร
“อ่อนโยนกับผี!” อู่ฟ่งหยิ่งกล่าวด้วยความโกรธยิ่งนักว่า “เจ้าเจ็ด ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าโง่อย่างเจ้าที่เป็นคนเสนอความคิดให้ข้า ข้าจะเชือดเจ้าเสีย”
“พี่ ทุกอย่างยากที่การเริ่มต้น ถ้าหากทุกอย่างเริ่มต้นได้ง่ายขนาดนั้น โลกนี้ก็คงไม่มีเรื่องยากแล้วหละ” คนหนุ่มผู้นี้ยิ้มแต้พูดจาเกลี้ยกล่อมอู่ฟ่งหยิ่ง พูดไม่สู้จะจริงจังว่า “ภาษิตว่าไว้ว่า ขอเพียงมีความตั้งใจ ฝนทั่งให้เป็นเข็มได้ พี่ หากพี่ต้องการให้สมปรารถนาดั่งใจนึกก็ต้องมีความพยายาม จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง…”
“…มิเช่นนั้นล่ะก็ไหนเลยจะมีโอกาส ท่านไม่ลองมองดูธิดาราชัน งดงามและอ่อนโยน เช่นนี้ต้องเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชายอย่างแน่นอน ท่านว่าอย่างนั้นหรือไม่?” เจ้าหนูคนนี้ไม่รู้ว่าต้องการช่วยเหลืออู่ฟ่งหยิ่งจริงๆ หรือเพียงแค่ต้องการมาร่วมสนุกคึกครื้นเท่านั้น และหรือกลัวว่าเรื่องราวจะไม่วุ่นวายมากไปกว่านี้
สรุปก็คือ ท่าทางที่เอ้อระเหยลอยชายนั้น ให้ความรู้สึกเชื่อไม่ได้กับผู้คนที่ได้สัมผัส
ธิดาราชันฉีหลินได้แต่เอามือปิดปากเอาไว้ไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมา เมื่อได้ยินคำพูดโต้ตอบของสองพี่น้อง
ภายใต้การปลอบ และเกลี้ยกล่อมของผู้ชายผู้นี้ ทำให้อู่ฟ่งหยิ่งสงบสติอารมณ์ลงได้ไม่น้อย แต่ว่านางยังคงไม่สามารถขจัดความโกรธได้ทั้งหมด กล่าวด้วยความโกรธแค้นกับหลี่ชิเย่ว่า “เจ้าคนแซ่หลี่ ไม่ หลี่ชิเย่ คราวนี้ถือว่าข้าเป็นฝ่ายผิด เรื่องราวบุญคุณความแค้นระหว่างเราถือว่าจบสิ้น นับแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง”
“พี่พูดผิดอีกแล้ว น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองอะไรของพี่ ถ้าเป็นเช่นนี้พวกท่านทั้งสองมิต้องไม่คบหากันตลอดไปอย่างนั้นรึ?” ชายหนุ่มรีบพูดจาเกลี้ยกล่อมอู่ฟ่งหยิ่งทันทีว่า “พี่ควรจะพูดว่า คุณชายหลี่ ท่านเป็นผู้ใหญ่จิตใจกว้าง ไม่ถือสากับผู้หญิงตัวน้อยๆ…”
“พวกเจ้ากำลังทำอะไรกัน?” หลี่ชิเย่ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองคน ยิ้มกล่าวว่า “พวกเจ้ากำลังแสดงละครกันอยู่รึ?”
“แสดงบ้าอะไรของเจ้า” อู่ฟ่งหยิ่งถึงกับมีใบหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ ทั้งโมโหทั้งโกรธ และรู้สึกอับอายยิ่งนัก จึงกล่าวกับหลี่ชิเย่ด้วยความแค้นเคือง
“เอาหละ พอแล้ว พี่ สงบสติอารมณ์หน่อย พี่เป็นกุลสตรี กุลสตรีหน่ะเข้าใจไหม” น้องชายของอู่ฟ่งหยิ่งรีบดึงตัวอู่ฟ่งหยิ่งที่กำลังจะคลั่ง และพูดปลอบออกมา
“เป็นเพราะความคิดที่ไม่เข้าท่าของเจ้าให้แสดงเป็นกุลสตรีบ้าบออะไรนั่น ข้าไม่ต้องการแสดงเป็นกุลสตรี!” อู่ฟ่งหยิ่งในเวลานี้ทั้งอับอายทั้งโกรธ กระชากชุดแดงที่สวมใส่อยู่ด้วยความโกรธ
หลี่ชิเย่ยิ้มเจื่อนๆ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าคิดจะเปลือยกายล่อนจ้อน ข้าว่าเจ้ากลับไปจะดีกว่า ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับเปลื้องผ้า”
คำพูดของหลี่ชิเย่พลันทำให้การกระทำของอู่ฟ่งหยิ่งชะงัก เมื่อนางได้สติกลับมา พลันรู้สึกอับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี แทบอยากจะทำให้เกิดรอยแยกบนพื้นดินขึ้นแล้วพาตัวเองมุดเข้าไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
“เจ้าคนแซ่หลี่ ข้าอยากจะแก้ผ้าก็แก้ กงการอะไรของเจ้า!” สุดท้าย อู่ฟ่งหยิ่งพาลโมโหวิ่งเข้าไปหา กล่าวด้วยความโกรธเคืองว่า “เจ้าแข็งแกร่งมากแล้วเก่งนักหรือ อย่างมากพวกเรามาสู้กันอีกสักครั้ง หากข้าพ่ายแพ้จะมอบชีวิตให้เจ้า!”
อู่ฟ่งหยิ่งในเวลานี้แยกเขี้ยวกางเล็บวิ่งเข้าหาด้วยท่าทางที่มุทะลุดุดัน แต่ทว่า ท้ายที่สุดแล้ว นางไม่สามารถบุกประชิดถึงตัวหลี่ชิเย่ได้ เนื่องจากเพลิงโกรธของนางอ่อนลงไปมาก เหมือนเป็นการทำท่าทำทางไปเท่านั้น บังเกิดความกลัวขึ้นภายในใจ และไม่มีความมั่นใจเพียงพอ
การที่ภายในใจของอู่ฟ่งหยิ่งบังเกิดความกลัวขึ้นมาไม่ได้เป็นเพราะหลี่ชิเย่แข็งแกร่งมากกว่านาง และไม่ได้เป็นเพราะนางเคยพ่ายแพ้ให้กับหลี่ชิเย่ แต่มีเหตุผลอย่างอื่น
หลี่ชิเย่ที่มองเห็นท่าทางของอู่ฟ่งหยิ่งแล้วยิ้มกล่าวว่า “ข้าจะเอาชีวิตของเจ้าเพื่ออะไร ข้าไม่ใช่ยมทูตขาวดำที่ตามเอาชีวิตคนนะ”
“ฮึ ใครจะไปรู้ว่าใช่หรือไม่ใช่!” จนแล้วจนรอดอู่ฟ่งหยิ่งก็ไม่สามารถบุกไปถึงข้างกายของหลี่ชิเย่ โดยนางยืนห่างจากหลี่ชิเย่ไม่ไกลนัก ส่งเสียงฮึออกมาและไม่รู้ว่าจะหาทางลงให้กับตนอย่างไร
หลี่ชิเย่จ้องมองนางแล้วยิ้มกล่าวว่า “เอาเถอะ เรื่องที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไปก็แล้วกัน ข้าเองหาใช่คนที่ใจแคบ ต่อไปอย่าได้มาหาเรื่องข้าก็แล้วกัน”
ถ้าหากหลี่ชิเย่ต้องการมีเรื่องกับอู่ฟ่งหยิ่งจริงๆ ล่ะก็อู่ฟ่งหยิ่งคงไม่มีชีวิตอยู่จนถึงเวลานี้ การที่หลี่ชิเย่สามารถไว้ชีวิตนางได้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ
ในขณะนี้ น้องชายของอู่ฟ่งหยิ่งรีบส่งสัญญาณมือให้นาง ท่าทางเหมือนเป็นการให้กำลังใจและบอกให้นางสู้ๆ
“ฮึ ฮึ ฮึ พูดแบบนี้หมายความว่าให้อภัยข้าแล้วสิ” อู่ฟ่งหยิ่งมองเห็นน้องชายของตนกำลังให้กำลังใจตน นางเองก็มีความกล้าเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ยังคงไม่กล้าสบตากับหลี่ชิเย่ ส่งเสียงฮึและกล่าวด้วยท่าทีเย็นชา
หลี่ชิเย่ถึงกับอมยิ้มเมื่อมองเห็นท่าทางของอู่ฟ่งหยิ่ง กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “มีใครเขากล่าวคำขอโทษเช่นเจ้ารึ? การจะขอโทษก็ควรมีท่าทีของการขอโทษ”
“ขอโทษอย่างไรยังไม่ได้อีก เจ้าต้องการอะไร!” อู่ฟ่งหยิ่งกลับมีทีท่าที่ดูตื่นเต้น ส่งเสียงฮึน่าเกรงขามออกมา มีทีท่าที่โกรธเคืองอยู่บ้าง อาศัยสิ่งนี้มาปกปิดความกังวลของตน!
“จะขอโทษคนอื่นดีชั่วอย่างไรก็ควรจะนุ่มนวลสักหน่อย เจ้าพูดจาไม่ดีเช่นนี้จะนับว่าเป็นการขอโทษได้อย่างไรกันเล่า” หลี่ชิเย่พูดหยอกเล่นออกมา
“เจ้า” ใบหน้าของอู่ฟ่งหยิ่งแดงก่ำ พลันจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ
ในขณะนี้ พวกเขาธิดาราชันฉีหลินต่างคิดว่าอู่ฟ่งหยิ่งต้องกคลั่งขึ้นมาแน่นอน แต่ว่า อู่ฟ่งหยิ่งที่เดิมจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธเคืองกลับก้มหน้าลง ท่าทางเหมือนลังเล แต่ก็เหมือนจะไม่ยินยอม แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว นางยังคงก้าวเดินสั้นๆ แผ่วเบาเข้าไปหา
“ใช่ ใช่ เป็นข้าที่ผิดเอง” อู่ฟ่งหยิ่งยืนก้มหน้าอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่ นางลังเลอยู่พักใหญ่ สุดท้ายรวบรวมความกล้าแล้วจะเอ่ยว่าจาเช่นนี้ออกมา พูดกันตามตรง กล่าวสำหรับนางแล้ว การที่จะให้นางพูดคำๆ นี้ออกมาเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
ด้วยนิสัยแข็งกร้าวของอู่ฟ่งหยิ่ง นางเป็นคนที่แม้ตายก็ไม่ยอมใคร นางยินดีถูกตัดหัวแต่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่ เวลานี้นางกลับทำได้แล้ว
หลี่ชิเย่ได้แต่ทอดถอนใจภายในใจเบาๆ เมื่อมองเห็นท่าทางของอู่ฟ่งหยิ่งที่ยืมก้มหน้า จึงเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้าไม่ได้เก็บเรื่องนี้ใส่ใจไปแล้ว เมือครู่แค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่ชิเย่ได้หยุดนิดหนึ่งและกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องยอมรับความไม่เป็นธรรมเพื่อให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น เดิมเจ้าเป็นคนแบบไหนก็ควรเป็นแบบนั้น”