ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1932 สี่ราชันสวรรค์
ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ ต่างรวบรวมสมาธิมองดูองค์หญิงเทียนหวงกับหลี่ชิเย่
ไม่ว่าจะเป็นผู้คนจำนวนมากที่ตระหนกตกใจกับการแสดงความอ่อนแอขององค์หญิงเทียนหวง หรือนับถือในความเฉลียวฉลาดและมองการณ์ไกลขององค์หญิงเทียนหวง นาทีนี้ต่างรอคอยคำตอบของหลี่ชิเย่
ทุกคนล้วนแล้วแต่อยากจะรู้ว่า ภายใต้การยอมอ่อนข้อให้ขององค์หญิงเทียนหวงเช่นนี้แล้ว หลี่ชิเย่จะยอมยกเลิกบุญคุณความแค้นในครั้งนี้ไปหรือไม่
หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและมองดูองค์หญิงเทียนหวง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ผู้รู้จักสถานการณ์เป็นยอดคน ความเจ็บปวดจากการเฉือนเนื้อ ในเมื่อเจ้ายอมปล่อยผ่านไป หากข้ายังจะถือสาหาความหยุมหยิม เท่ากับว่าข้าเป็นคนใจแคบ เอาเถอะ ผู้ตายไปแล้วก็ปล่อยให้ล่องลอยไปตามลมก็แล้วกัน บุญคุณความแค้นที่ผ่านมาให้มันสิ้นสุดเพียงเท่านี้”
องค์หญิงเทียนหวงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ไม่ลืมแสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพ และกล่าวว่า “ข้าน้อยขอบคุณในความใจกว้างของคุณชายหลี่ ณ โอกาสนี้ด้วย”
ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง หรือว่าบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยืนดูอยู่ในระยะห่างไกล ต่างตกอยู่ในความนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน เมื่อมองเห็นผลที่ออกมาเช่นนี้
บางทีอาจมีผู้ที่รู้สึกว่าองค์หญิงเทียนหวงนั้นอ่อนแอเกินไป แค้นที่ฆ่าบิดาฆ่าน้องให้มันสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นเกรงว่าคงทนไม่ได้ เกรงว่าคงยากจะกล้ำกลืนความอัปยศเช่นนี้ได้
แต่ผู้คนจำนวนมากกว่า โดยเฉพาะบรรดาระดับบรรพบุรุษที่ผ่านอุปสรรคมามากมายกลับไม่รู้สึกว่านี่คือความอ่อนแอขององค์หญิงเทียนหวง ยิ่งรู้สึกได้ว่านี่คือความเฉลียวฉลาดและมองการณ์ไกลขององค์หญิงเทียนหวง
จะอย่างไรเสีย นางก็คือผู้ที่แต่งเข้าเป็นสะใภ้ของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง นางไม่ต้องการนำพาเอาบุญคุณความแค้นของครอบครัวฝ่ายตนเข้าไปยังตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง และไม่ได้นำเอาไฟสงครามที่เกิดจากความแค้นของครอบครัวลุกไหม้ลามเข้าไปในตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง
ย่อมไม่ต้องสงสัย องค์หญิงเทียนหวงถือเอาสถานการณ์โดยรวมเป็นสำคัญ นางไม่ได้ลืมฐานะของตนเอง ไม่ได้ลืมว่าตนเองคือสะใภ้ของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง การที่นางแต่งเข้าบ้านตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง ไม่เพียงแค่เสพสุขลาภยศสรรเสริญเงินทอง แต่ควรแบกรับภาระที่ถือเอาผลประโยชน์ของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังเป็นสำคัญ!
การที่องค์หญิงเทียนหวงสามารถได้รับการยอมรับจากบรรดาระดับบรรพบุรุษจำนวนมาก รวมทั้งจอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดาย การที่นางมีฐานะเช่นทุกวันนี้ได้ ย่อมมีสิ่งที่เหนือผู้คนอยู่ในตัว
เวลานี้ หลี่ชิเย่หัวเราะและเดินหน้ามุ่งไปยังยอดเขา ขณะหลี่ชิเย่เดินหน้าเพื่อขึ้นไปบนยอดเขานั้น ทำให้กองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังรู้สึกเกร็งขึ้นมา ยิ่งบรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่ทำหน้าที่เฝ้าด่านด้วยแล้วถึงกับอยู่ในสภาพพร้อมรบ
เพียงชั่วพริบตาเดียว บรรยากาศได้กลับสู่ความตึงเครียดอีกครั้ง กองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังพลันอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด
แม้จะกล่าวว่า หลี่ชิเย่นั้นตกลงให้ความแค้นระหว่างเขากับองค์หญิงเทียนหวงเลิกแล้วต่อกัน แต่ เขาไม่ได้บอกว่าจะไม่ลอบโจมตีการก้าวสู่เป็นจอมราชันของจินเก๋อ แล้วจะไม่ให้กองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังตื่นเต้นได้อย่างไร
ความจริงแล้วผู้คนจำนวนมากต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ขณะมองเห็นหลี่ชิเย่ก้าวเดินขึ้นไปยังยอดเขา พวกเขาต่างเข้าใจว่าหลี่ชิเย่ต้องการลอบโจมตีจินเก๋อที่กำลังจะสืบทอดชะตาฟ้า
ขณะที่บรรดาบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังกำลังอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดอยู่นั้น องค์หญิงเทียนหวงที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ส่ายหน้าเบาๆ ส่งสัญญาณให้บรรดาเหล่าบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังอย่าได้ลงมือ
เหล่าบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังทำท่าลังเลนิดหนึ่ง สุดท้าย “เอี๊ยด” บรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังได้เปิดด่านยอมให้หลี่ชิเย่ผ่านเข้าไปได้
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มจางๆ กับภาพเช่นนี้ ก้าวข้ามแนวกั้นของด่าน เดินขึ้นไปบนยอดเขาอย่างเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรต้องตระหนกแทน เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ที่ก้าวเดินไปช้าๆ อย่างมีความสุข ท่ามกลางกองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง นี้มันเป็นการเดินเข้าไปยังปากเสือเองชัดๆ การที่เดินเข้าไปท่ามกลางกองทัพนับล้านโดยลำพังตนเอง หากไม่ทันระวังก็จะถูกล้อมด้วยกองทัพนับล้านจนต้องตาย
ความจริงแล้วไม่เพียงบุคคลภายนอกที่รู้สึกตื่นเต้น แม้แต่กองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังเองก็ตื่นเต้น พวกเขาถึงกับกำอาวุธที่อยู่ในมือแน่น
แม้จะกล่าวว่าการที่หลี่ชิเย่เดินอยู่ท่ามกลางกองทัพนับล้านของพวกเขา ทำให้พวกเขาง่ายต่อการที่จะปิดล้อมโจมตี แต่ทว่า พวกเขาก็กลัวหลี่ชิเย่ก่อการขึ้นมาและหันมาโจมตีพวกเขาอย่างกะทันหัน
หลี่ชิเย่ก้าวขึ้นไปอยู่บนยอดเขา ยืนอยู่ด้านหน้าปะรำพิธี มองดูจินเก๋อที่อยู่บนปะรำพิธีแวบหนึ่ง ขณะที่จินเก๋อกำลังรวบรวมสมาธิทั้งหมดเพื่อรับรู้ถึงพลังของฟ้าดินโดยตลอด ไม่มีจิตที่วอกแวก ต่อให้หลี่ชิเย่มาถึงเขาก็ไม่ได้เสียสมาธิเพราะเหตุนี้
ในขณะนี้ ผู้ที่เหงื่อเย็นไหลออกมากลางฝ่ามือไม่ใช่บุคคลภายนอก แต่เป็นกองทัพนับล้านของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง ในเวลานี้บรรดาระดับบรรพบุรุษทั้งหมดของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ พวกเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
พวกเขาต่างมีความรู้สึกว่า การปล่อยให้หลี่ชิเย่เข้ามาเป็นการกระทำที่เสี่ยงมาก เกิดหลี่ชิเย่คิดก่อการขึ้นมาด้วยการโจมตีใส่จินเก๋อล่ะก็ กล่าวสำหรับตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังของพวกเขาแล้ว นับเป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถประเมินได้เลยทีเดียว
หลี่ชิเย่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ้มเฉยเมยและกล่าวเอ้อระเหยออกมาว่า “พวกเจ้าคิดว่าจะเปิดประตูต้อนรับเอง หรือว่าจะให้ข้าบุกฝ่าเข้าไปเองดีหละ?” หลังจากที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกไปแล้ว บนท้องฟ้าเงียบกริบ บุคคลภายนอกไม่มีวันรู้หรอกว่าหลี่ชิเย่กำลังพูดกับใครอยู่
แต่ทว่า นาทีนี้เองได้ยินเสียงดัง “แว้งค์” ปรากฎอักขระยันต์เคลื่อนไหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลี่ชิเย่ ตัวอักขระยันต์เสมือนหนึ่งเป็นประตูบานหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาเดียวได้ยินเสียง “แว้งค์” อีกครั้ง ร่างของหลี่ชิเย่หายวับไปจากตรงนั้น เหมือนว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวอยู่ที่ตรงนั้นมาก่อน
การที่หลี่ชิเย่หายตัวไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่มองดูอยู่ในระยะห่างไกลต่างมองหน้ากันและกัน ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่เข้าใจว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
สำหรับบรรดาผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง พวกเขาต่างรู้ดีว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น และเนื่องเพราะเหตุนี้เอง ทำให้พวกเขาถึงกับโล่งอก
“จอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังอยู่ในเหตุการณ์นี้เอง” ในบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่ยืนดูในระยะห่างไกล ผู้ยิ่งใหญ่ระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งเข้าใจได้ทันทีว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ถึงกับพึมพำออกมาและร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต่างรู้ว่า ตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังเป็นสายสำนักราชันเซียนที่มีจอมราชันถึงห้าองค์ กระทั่งได้รับการยกย่องว่า จอมราชันทั้งห้าของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังยังคงมีชีวิตอยู่ ลองนึกภาพดู การที่จะต้องเผชิญหน้ากับจอมราชันถึงห้าองค์อย่างกะทันหัน มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้น ราชันสวรรค์จ้านหวัง ปฐมบรรพบุรุษคือจอมราชันที่มีชะตาฟ้าสิบเอ็ดสาย ความแข็งแกร่งของเขาหาใช่ชนรุ่นหลังสามารถจินตนาการได้
แค่นึกถึงหลี่ชิเย่จะต้องไปพบกับบรรดาจอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังแล้ว ผู้คนจำนวนมากถึงกับขนลุกซู่ในใจ นี่เป็นการเผชิญหน้ากับจอมราชันหลายองค์โดยลำพังตนเอง เกรงว่าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว
ขณะนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างคาดเดากันว่า ไม่แน่นักหากหลี่ชิเย่ไม่ทันระวังอาจไม่สามารถเอาชีวิตรอดกลับมา เมื่อไรที่เขาไปทำให้บรรดาจอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังโกรธขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไป ไม่เหลือแม้แต่ซาก!
ในสายตาของบุคคลภายนอกจำนวนมากมองว่า กล่าวสำหรับ เหล่าจอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังแล้ว การที่จะสังหารผู้เยาว์สักคนเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าอะไร ต่อให้เขาผู้นั้นจะแข็งแกร่งปานใดก็ตาม
หลี่ชิเย่ถูกพาตัวไปในชั่วพริบตา นาทีต่อมาเขาได้ไปยืนอยู่ท่ามกลางช่องว่างที่ลึกลับ ทุกสิ่งทุกอย่างบริเวณนี้ได้รับการปกปิดอย่างสิ้นเชิง ที่ตรงนี้มีแต่กลิ่นอายขมุกขมัวที่ตลบอบอวล ด้วยกลิ่นอายขมุกขมัวหนาแน่นที่ไม่อาจสลายได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกเหมือนว่ามันคือความจริงที่ได้มายืนอยู่ท่ามกลางทะเลที่ขมุกขมัวอย่างนั้น
ท่ามกลางช่องว่างที่ลึกลับแห่งนี้ ปรากฏมีการจัดวางอาสน์ราชันเอาไว้สี่ตัว อาสน์ราชันทุกตัวจะมีจอมราชันองค์หนึ่งประทับนั่งสยบอาณาบริเวณหนึ่งเอาไว้ จอมราชันสี่องค์สยบสี่ทิศ เรียกได้ว่าทั่วบริเวณช่องว่างแข็งแกร่งมากจนไม่สามารถตีแตกได้
จากการที่จอมราชันเฝ้าช่องว่างหนึ่งแห่งพร้อมกันทีเดียวสี่องค์ ส่งผลให้กลิ่นอายจอมราชันตลบอบอวลไปทั่วช่องว่างดังกล่าว ต่อให้จอมราชันทั้งสี่เก็บงำกลิ่นอายของตนเอาไว้ แต่ทว่า กลิ่นอายจอมราชันที่ตลบอบอวลไปทั่วช่องว่างก็ยังคงน่ากลัวยิ่งจนผู้คนต้องตัวสั่นดั่งลูกนก กล่าวได้อย่างไม่เป็นการโอ้อวดว่า ภายใต้กลิ่นอายจอมราชันที่ตลบอบอวลเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับสวรรค์สัจธรรมก็ไม่อาจทรงตัวยืน ณ ที่ตรงนี้ได้อย่างมั่นคง เกรงว่าจะต้องหมอบคลานอยู่กับพื้นภายใต้การสยบของกลิ่นอายจอมราชันเช่นนี้
ไม่ว่าใครก็ตาม หากได้เห็นภาพของจอมราชันทั้งสี่ที่เฝ้าควบคุมด้วยตนเองแล้วก็ต้องรู้สึกใจหายใจคว่ำ ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาจอมราชันทั้งสี่มีจอมราชันผู้หนึ่งเป็นจอมราชันที่มีชะตาฟ้าสิบเอ็ดสายอยู่ในครอบครอง!
หลี่ชิเย่ที่ได้มายื่นอยู่ตรงนี้เพียงเผยรอยยิ้มจางๆ เท่านั้นเอง ได้ยินเสียง “แว้งค์” ดังขึ้น หลักกฎเกณฑ์แต่ละสายได้ถักทอกัน เพียงชั่วพริบตาเดียวกลายเป็นอาสน์ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดตัวหนึ่งปรากฎขึ้นที่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ หลี่ชิเย่ได้นั่งลงบนอาสน์ศักดิ์สิทธิ์ตัวนั้นด้วยท่านั่งที่ไม่เกรงใจใคร
ต่อให้เป็นจอมราชันทั้งสี่ที่มาควบคุมด้วยตนเอง เขายังคงมีท่าทีที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายราชันที่ตลบอบอวลไปทั่วช่องว่างแห่งนี้
“ท่านปรมาจารย์ ไม่พบกันเสียนาน” ในเวลานี้ปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนี้ไม่ได้ดังกังวานอะไรแต่กลับเปี่ยมด้วยพลังและอานุภาพราชันอย่างยิ่ง ด้วยเสียงที่ไม่โกรธแต่มากด้วยอำนาจ สามารถสยบจิตใจของผู้คนยิ่งนัก
ผู้ที่ปริปากพูดคือจอมราชันที่นั่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก จอมราชันผู้นี้สวมชุดโบราณและสวมหมวก ภาพรวมดูเป็นผู้ที่มีรูปร่างผอมบาง แต่กลับให้ความรู้สึกสูงตระหง่าน การที่เขานั่งอยู่ตรงจุดนั้นเท่ากับได้ตัดขาดเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ตัดขาดอดีตและปัจจุบัน มองเห็นตัวเขาที่นั่งไปตามอารมณ์อย่างนั้น แต่สามารถให้ความรู้สึกผู้คนว่าไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
“จ้านหวัง ไม่พบกันเสียนาน หลังจากศึกในครั้งนั้นแล้ว ยังคงมีท่วงท่าที่สง่างามเหมือนเดิม” หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนอาสน์ราชันยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเรียบๆ
จอมราชันที่นั่งอยู่ด้านทิศตะวันออกก็คือราชันสวรรค์จ้านหวัง ผู้ก่อตั้งตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังนั่นเอง! จอมราชันที่มีชะตาฟ้าสิบเอ็ดสายอยู่ในครอบครอง
แน่นอนที่สุด การที่ราชันสวรรค์จ้านหวังสามารถจดจำหลี่ชิเย่ได้ไม่นับเป็นเรื่องแปลก จะอย่างไรเสียราชันสวรรค์จ้านหวังคือผู้หนึ่งที่เคยเข้าร่วมศึกสงครามล่าราชันในครั้งนั้น ต่อให้บุคคลภายนอกไม่รู้ว่าการศึกในครั้งนั้นมีอีกาทมิฬที่เป็นผู้คอยบงการอยู่เบื้องหลัง แต่ทว่า ราชันสวรรค์จ้านหวังในฐานะที่เป็นจอมราชันเข้าร่วมรบในครั้งนั้นกลับรู้เรื่องนี้อย่างละเอียด
“เทียบกับท่านปรมาจารย์แล้ว พวกเราดูแก่ไปแล้ว” ราชันสวรรค์จ้านหวังเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ความจริงแล้วตัวของราชันสวรรค์จ้านหวังยังไม่พบว่ามีส่วนไหนที่แลดูมีลักษณะแก่ชรา เขายังคงดูมีความกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม ภาพรวมยังคงเปี่ยมด้วยพลังชีวิต ดูไม่เหมือนเป็นจอมราชันผู้มีชีวิตมานานนับพันล้านปีมาแล้ว
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่ง กวาดตามองออกไป สุดท้ายสายตาได้ตกไปอยู่บนตัวของจอมราชันที่นั่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตก เพียงยิ้มจางๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ยังสามารถเห็นตัวเป็นๆ ที่กระโดดโลดเต้นได้ของเจ้า นับว่าเหนือความคาดคิดของข้าโดยแท้”
“ด้วยบารมีของท่านปรมาจารย์” จอมราชันผู้นี้ยิ้มจางๆ และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ครั้งนั้นรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิดโดยไม่ได้ตายในสนามรบ นับว่าข้านั้นดวงแข็ง”
จอมราชันผู้นี้คือหนึ่งในห้าจอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง มีชื่อเรียกขานกันว่าจอมราชันจ้านซัว เขาเองได้เข้าร่วมในศึกล่าราชันครั้งนั้นเช่นกัน ตัวเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากจากศึกล่าราชันครั้งนั้น เรียกว่าบาดเจ็บจวนเจียนจะเสียชีวิต ผู้คนจำนวนมากต่างเข้าใจว่าเขาคงทนไปได้ไม่เกินพันปี ไม่นึกว่าหลังจากสิ้นสุดศึกล่าราชันในครั้งนั้นแล้ว จอมราชันจ้านซัวกลับสามารถทนผ่านมาได้ ทั้งยังสามารถกลับคืนสู่ระดับสูงสุดเช่นในอดีตได้ เรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง
“มิน่าเล่าตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังของพวกเจ้าจึงมีความมั่นใจเช่นนี้ จอมราชันทั้งสี่ยังคงมีชีวิตอยู่นับเป็นเรื่องที่ไม่เลวนัก” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “ยิ่งไปกว่านั้นทั้งสี่ยังมาชุมนุมอยู่ที่เดียวกัน ยิ่งเป็นเรื่องที่ยากขึ้นไปอีก”
“เป็นที่หัวเราะเยาะของท่านปรมาจารย์แล้ว” ราชันสวรรค์จ้านหวังกล่าวช้าๆ ว่า “ชนรุ่นหลังไม่เอาไหน พวกเราจึงได้แต่ยืดเส้นยืดสายสักหน่อย ข้าเชื่อว่าท่านปรมาจารย์คงไม่ขัดขวางผู้เยาว์คนหนึ่ง”
“เอาหละ พวกเราไม่ต้องพูดจาอ้อมค้อม” หลี่ชิเย่โบกมือ แล้วกล่าวเฉยเมยว่า “ถ้าหากข้าต้องการตัดขาดชะตาฟ้าผู้เยาว์ของพวกเจ้าล่ะก็คงลงมือไปนานแล้ว ต่อให้พวกเจ้าทั้งสี่นั่งคุมเชิงอยู่ตรงนี้ก็เปล่าประโยชน์เช่นกัน”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้จอมราชันทั้งสี่ถึงกับนิ่งเงียบ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงไม่กล้าพูดเช่นนี้ต่อหน้าพวกเขา แต่ว่า พวกเขาต่างรู้ดีแก่ใจว่าที่เผชิญอยู่นั้นคือผู้ดำรงอยู่ในสถานะเช่นใด เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะอีกาทมิฬ ต่อให้เขาไร้สิ้นเรี่ยวแรงก็ยังคงส่งผลให้ผู้อื่นต้องหวาดกลัว กระทั่งกับจอมราชันเซียนหวังก็เป็นเช่นนี้
“เช่นนั้นไม่ทราบว่าท่านปรมาจารย์มีอะไรจะชี้แนะรึ?” ราชันสวรรค์จ้านหวังเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
แม้จะกล่าวว่า ครั้งนั้นเป็นศัตรูผู้ที่ต่อสู้กันจะเป็นจะตายไปข้างหนึ่ง แต่ หลังจากสงครามสิ้นสุดลง ท่ามกลางยุคสมัยที่สงบเช่นนี้ พวกเขาที่อยู่ในฐานะจอมราชันยังคงสามารถรักษาบุคลิกที่สง่างามของจอมราชันเอาไว้ได้!
………………………………………………………