ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1964 รำพันถึงอดีต
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยสำหรับคำพูดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ข้าคือผู้ที่สังหารเจ้าอยู่แทบเท้าของข้า”
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจ้องมองดูหลี่ชิเย่ด้วยสายตาที่ลึกล้ำ หัวเราะและกล่าวว่า “ถ้าหากด้วยอารมณ์ขณะข้ายังอยู่ในวัยหนุ่มล่ะก็ ต้องลงมือทันทีด้วยการทรมานเจ้าจนตายเสียดีกว่าอยู่ แล้วค่อยสังหารเจ้าเสีย เสียดาย ข้าแก่แล้ว อารมณ์ไม่ร้อนเท่าแต่ก่อนเสียแล้ว”
“ไม่ผิด เจ้าหน่ะแก่แล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “แต่ว่า โลกนี้คนที่สามารถสังหารข้าได้นั้นไม่ใช่เจ้า ยกเว้นสวรรค์โจรแล้ว ข้ายังนึกไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะมาสังหารข้าได้”
ดวงตาทั้งสองของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยส่งประกายออกมา ขณะที่เขาเปล่งประกายออกมา โลกทั้งโลกแตกสลาย เหล่าสวรรค์เทพมารมลายสิ้น เขาไม่ได้มีกลิ่นกายที่สะเทือนฟ้า ไม่ได้มีอานุภาพที่ปราศจากผู้ต่อกร แต่ว่ายามที่ดวงตาคู่นั้นของเขาเปล่งเป็นประกายออกมา ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังก็ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึง กระทั่งกล่าวได้ว่าประกายตาของเขาสามารถเข่นฆ่าเทพสังหารราชันได้
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่อยู่พักใหญ่ สุดท้ายพยักหน้าหนักแน่นและกล่าวว่า “เป็นความจริง ในโลกนี้ข้าฆ่าเจ้าไม่ตายแล้ว ไม่ห้าวหาญเหมือนก่อน แต่ว่า กล่าวสำหรับข้าแล้วการฆ่าไม่ตายไม่แน่เสมอไปว่าต้องเป็นเรื่องไม่ดี จับเจ้าคุมขังเอาไว้ เมื่อถึงตอนนั้น สำหรับผู้ที่ไม่มีวันตายอย่างเจ้าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดยิ่งกว่า เจ้าว่าหากตกอยู่ในกำมือของข้าแล้ว มันช่างเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเพียงใด?”
คำพูดบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้มีน้ำเสียงข่มขู่ และไม่ได้ยกตนข่มท่าน เพียงอาศัยน้ำเสียงที่ราบเรียบพูดเรื่องจริงเท่านั้นเอง แต่ว่า ด้วยน้ำเสียงคำพูดที่ราบเรียบเช่นนี้แหละ กลับทำให้ผู้คนต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่ ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าหากตกอยู่ในมือของผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดเช่นนี้แล้วจะมีจุดจบที่เศร้ารันทดอย่างไร
ปฏิกิริยาของหลี่ชิเย่เรียบเฉยมาก หัวเราะและกล่าวว่า “ความเจ็บปวดบนโลกนี้มีมากเหลือเกิน ข้าลิ้มลองมาหมดแล้ว เคยมีคนที่แข็งแกร่งไม่ด้อยกว่าเจ้าจับข้าไปขังเอาไว้ ข้าเชื่อว่าวิธีการที่เจ้าคิดออกมาได้ เขาก็คิดได้เช่นกัน เพียงแต่เสียดาย ผลลงเอยมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ข้าจัดการหลอกต้มตุ๋นเขาจนสุก และรีดสิ่งมีค่าทุกอย่างของเขาจนแห้ง!”
“ข้าก็สามารถรีดของมีค่าทุกอย่างของเจ้าจนแห้ง ไม่ต้องเหมือนเช่นครั้งก่อนนั้น วันนี้ข้าเพียงสยบเจ้าเอาไว้ก็สามารถรีดทุกอย่างของเจ้าจนแห้ง” เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วเผยรอยยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขาดูอ่อนโยนยิ่งนัก
ขณะที่หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมาเช่นนั้น ทำให้พวกของราชันสวรรค์จ้านหวังถึงกับขนลุกซู่ในใจ กลับกลายเป็นว่าคำพูดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้ทำให้พวกเขาต้องขนลุก เป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนของหลี่ชิเย่ต่างหากที่ทำให้พวกเขาต้องขนลุก
เนื่องจากพวกของราชันสวรรค์จ้านหวังเคยเห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นนี้ของหลี่ชิเย่มาก่อน ยามที่หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยนเช่นนี้ต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“น่าสนใจ ข้าคาดหวังว่าจะมีใครสักคนสามารถสยบข้าได้จริงๆ กาลเวลาผ่านไปนานเกินไปแล้ว รู้สึกจืดชืดเหลือเกิน ถ้าหากมีใครสยบข้าได้จริงๆ นั่นถือเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง แสดงว่าข้ายังมีงานที่จะทำได้อีกต่อไป เพียงแต่น่าเสียดาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำสำเร็จ” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยิ้มกล่าวและส่ายหัว
“บอกได้แต่เพียงโชคชะตาเจ้าไม่เลวเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาในยุคสมัยนี้ เจ้าไม่ใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุด และไม่ได้เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ถ้าหากเจ้ามีความแข็งแกร่งถึงปานนั้น เจ้าคงไม่เอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืดตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่กล้าสู้กับสวรรค์โจรสักครั้ง”
“รู้อยู่แล้วว่าทำไม่ได้ แล้วจะทำไปทำไมเล่า” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยอมยิ้มและกล่าวว่า “ข้าแค่เปิดเกมด้วยปัญญาเท่านั้นเอง นับแต่โบราณกาลมาใครเล่าจะยกเว้นได้ แทนที่จะต้องตายหรือไม่ก็ถูกสยบจนคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง มิสู้ออมกำลังเอาไว้ เพื่อรุกกลับในวันข้างหน้าดีกว่า”
“อยู่ที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้ม ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ขลาดก่อนรบ สุดท้ายมันก็แค่ตกลงสู่ความมืดมิดเท่านั้นเอง สายน้ำแห่งกาลเวลาในอดีตถึงปัจจุบัน เคยมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่คิดหาวิธีการต่างๆ นานา ต่างก็มีดีของตน ไม่ว่าวิธีการเหล่านี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม อย่างน้อยก็ยังได้ทำ”
เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว มองดูบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแล้วหัวเราะและกล่าวว่า “ถ้าหากเจ้าคิดว่านี่คือการเปิดเกมที่ชาญฉลาดของเจ้า แต่ตลอดชีวิตของเจ้าในอนาคต เจ้าก็ไม่ได้สู้รบเสียที แล้วเจ้าจะบอกว่าเป็นการเปิดเกมที่ชาญฉลาดได้อย่างไรกัน? เจ้าทำการเก็บเกี่ยวชีวิตในยุคของตนเองสมัยแล้วสมัยเล่า กลืนกินสิ่งมีชีวิต สิ่งที่เจ้าได้ทำลงไปทั้งหมดมันก็แค่เหนื่อยเปล่าเท่านั้นเอง หากเป็นเพราะเพียงต้องการอยู่ไปวันๆ เท่านั้น เจ้าไหนเลยบอกได้ว่านี่เป็นความชาญฉลาดได้ มันก็แค่ผีดูดเลือดที่อยู่ในความมืดเท่านั้นเอง”
“อนาคตจะเป็นเช่นใด ใครเล่าที่จะล่วงรู้” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็ไม่โกรธ ไม่โมโห ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “หนทางอันยาวไกล วางแผนโดยยังไม่ลงมือ หากไม่วางแผนแล้วจะลงมือได้อย่างไรกัน”
“พูดไปพูดมายังคงเป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรนั่น” หลี่ชิเย่ส่ายหน้า และกล่าวว่า “ต่อให้เจ้าที่คิดว่าตัวเองนั้นคือผู้ที่มีสติปัญญายิ่งใหญ่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ยังคงไม่สามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนั้นเอาไว้ได้”
“เจ้าให้คำจำกัดความกับจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรอย่างไร? หรือเจ้าคิดว่าการยึดมั่นในคุณธรรม ยึดมั่นในแสงสว่างจึงนับเป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงอย่างแท้จริงรึ?” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยิ้มกล่าว
“เจ้าลองถามใจตัวเองว่า ยามที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเจ้าตื่นตัว สิ่งที่เจ้าปรารถนาคือสิ่งใด?” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “จิตที่ไม่ลืมความตั้งใจแรกเริ่ม นั่นแหละคือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคง ไม่เกี่ยวกับการยึดมั่นในคุณธรรม ไม่เกี่ยวกับการยึดมั่นในแสงสว่าง หรือว่ายามที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเจ้าตื่นตัว ความตั้งใจแรกเริ่มของเจ้าก็คือการกลืนกินฟ้าดิน เลือดล้างสิ่งมีชีวิตยุคแล้วยุคเล่ารึ? บนโลกใบนี้เว้นแต่เผ่าพันธุ์ที่มีความพิเศษแล้ว มีใครเล่าที่ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับจิตใจที่มืดดำดวงหนึ่ง”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้าย เขายิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ผลแพ้ชนะยังไม่ปรากฏ สรุปตอนนี้ออกจะเร็วไปนิดหนึ่ง”
“ในสายตาของข้ามองว่า วันนี้ได้ตัดสินชี้ขาดไปแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยส่ายหัวและกล่าวว่า “ไกลกันดารควรได้เวลาเปลี่ยนเจ้าของได้แล้ว และสมควรกลายเป็นประวัติศาสตร์ได้แล้ว สมควรสลายไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาได้แล้ว ไม่ดื้อรั้นหยั่งรากลงดินและวนเวียนอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา”
“เช่นนั้นแล้ว ได้เวลาที่เจ้าสมควรแสดงฝีมือออกมาแล้ว” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะและกล่าวว่า “แต่ทว่า ข้ามองว่าไม่เพียงเหยื่อล่อของเจ้า แม้แต่พวกเจ้าก็ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารอันโอชะของข้าเท่านั้นเอง” กล่าวพลางมองดูจอมราชันเซียนหวังทั้งสิบเจ็ดองค์ที่ยืนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ทั้งสองข้าง
คำพูดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยสามารถทำให้บรรดาจอมราชันเซียนหวังที่เป็นผู้ชมอยู่ด้านนอกไกลกันดารต้องเย็นวาบ อาศัยจอมราชันเซียนหวังเป็นอาหาร คงมีเพียงผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจึงสามารถทำได้
แต่ทว่า สมควรทราบว่า บนโลกนี้ไม่ได้มีเพียงบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเท่านั้น ดังนั้น เมื่อบังเกิดแนวความคิดเช่นนี้แล้ว ทำให้ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะจอมราชันเซียนหวังต่างรู้สึกเย็นวาบในใจ
“งั้นก็มาเข้ามากินก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ก็มีความสงบนิ่งมาก กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหย
เสียง “ตูม…” ดังสนั่น มองเห็นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยอ้าปากขึ้น พลันกลืนกินเลือดเซียนบ่อนั้นที่หลี่ชิเย่ได้หลอมกลั่นเข้าไปทั้งหมด อาศัยฟันบดเคี้ยวทีหนึ่ง “คร๊ากก” กัดหลักกฎเกณฑ์ที่พราวพร่างและเจิดจรัสแต่ละเส้นจนขาด และกลืนเลือดเซียนทั้งบ่อนั้นลงท้องจนหมดสิ้น
ขณะเดียวกัน ร่างกายของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยสว่างไสวขึ้นพร้อมกับสั่นสะเทือนทีหนึ่ง พลันสยบและตัดขาดผลกรรมทั้งปวง เขายิ้มจางๆ และกล่าวว่า “เหยื่อล่อของเจ้าช่างโอชะเหลือเกิน ไหนๆ เจ้าได้โยนเหยื่อลงมาทั้งที หากข้าไม่กินมันลงไปเท่ากับเป็นการเสียความตั้งใจของเจ้า เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่เบ็ดที่อยู่ภายในเหยื่อมันอ่อนเกินไป ตกข้าไม่ได้และพันธนาการข้าไม่ได้หรอกนะ ทั้งยังไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของข้า เกรงว่าต้องทำให้เจ้าผิดหวังเสียแล้ว”
หลี่ชิเย่กลั่นเลือดเซียนบ่อนี้ขึ้นมา และได้มีการวางกับดักเอาไว้ในเลือดเซียน ซึ่งก็คล้ายดั่งเบ็ดตกปลาที่อยู่ในเหยื่ออันโอชะอย่างนั้น ขอเพียงปลากลืนกินเหยื่อเข้าไปก็ต้องกลืนเอาเบ็ดตกปลานี้เข้าไปด้วย
เสียดาย บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยมีความแข็งแกร่งมากเกินไป ทำการสยบและตัดขาดผลกรรมทุกอย่างโดยฉับพลันทันที ทำให้เบ็ดที่อยู่ภายในเหยื่อแหลกละเอียดไปทันทีภายใต้พลังของเขา ไม่สามารถตกปลาใหญ่ที่เป็นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเอาไว้ได้
หลี่ชิเย่ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ และไม่รู้สึกร้อนรนสำหรับผลที่ออกมา เขาเพียงยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “สิ่งนี้อยู่ในความคาดคิดของข้าอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องแปลกใจ”
“ดูท่าเจ้าจะมั่นใจเต็มเปี่ยม” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยถึงกับรู้สึกสนใจ หัวเราะและกล่าวว่า “เจ้ามั่นใจว่าตัวเองสามารถสู้จนถึงที่สุดได้จริงๆ รึ? พูดตามตรงเลยนะ ข้ามองธาตุแท้ภายในที่เจ้าจะนำมาสู้ให้ถึงที่สุดไม่ออกจริงๆ”
“ถูกต้อง ข้าสามารถสู้จนถึงที่สุดได้” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ธาตุแท้ภายในเช่นนี้หาใช่สิ่งที่เจ้าจะมองเห็นได้ ที่สุดก็คือเจ้าไม่ได้มีเจตนารมณ์ที่จะสู้จนถึงที่สุด และเจ้าไม่เคยทำมาก่อน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าสามารถสู้จนถึงที่สุดได้หรือไม่ นี่คือสงครามที่แปรเปลี่ยนได้มากมายหลายหลากไม่ขาดสายในพริบตา ไม่มีกลอุบายทั้งนั้น ไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าจินตนาการ และไม่เป็นอย่างที่เจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าอย่างนั้น”
“น่าสนุก” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยถึงกับหัวเราะออกมา และกล่าวว่า “เจ้ามีความมั่นใจก็ดี เป็นการคุยโวก็ช่าง ข้ากลับสนใจที่จะได้เห็น เอาเถอะ วันนี้ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ เจ้าต้องการสิ่งใดในขุมทรัพย์ของไกลกันดารข้า? สุดยอดอาวุธในหล้า และหรือตำราเซียนอื่นๆ ขอเพียงข้ามี ล้วนสามารถหยิบยืมให้เจ้าได้ทั้งสิ้น”
คำพูดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยทำให้พวกของราชันสวรรค์จ้านหวังรู้สึกตกใจ ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเฉกเช่นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้เกรงกลัวต่อจอมราชันเซียนหวัง เอาเสียเลย เวลานี้ถึงกับใจกว้างยินดีให้ยืนอาวุธยอดเยี่ยม นับเป็นสิ่งที่ทำให้สะเทือนหวั่นไหวเหลือเกิน
“ในไกลกันดารมีอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคอยู่ชิ้นหนึ่งใช่หรือไม่!” ราชันสวรรค์องค์หนึ่งของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาคาดเดาอยู่ตลอดเวลาว่า ในขุมทรัพย์ของไกลกันดารมีความเป็นไปได้ที่จะมีอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นจริงหรือเท็จ
“อาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคนะเนี่ย” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเผยรอยยิ้มออกมา ส่ายหัวเบาๆ และกล่าวว่า “เกรงว่าคงทำให้พวกเจ้าต้องผิดหวังเสียแล้ว อาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคที่อยู่ในมือข้าได้ทำทำลายไปพร้อมกับการทำลายล้างในครั้งนั้น ถ้าหากเจ้าต้องการ ข้าสามารถให้เจ้ายืมของสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าอาวุธยอดเยี่ยมแห่งยุคชิ้นนั้น”
เมื่อบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพูดมาถึงตรงนี้ได้จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ เป็นการชัดเจน บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยให้ความสำคัญต่อหลี่ชิเย่ มีความชื่นชมในตัวของหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา อมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าไม่ปฏิเสธ ที่พวกเรามาสังหารเจ้าในครั้งนี้ก็เพื่อขุมทรัพย์ไกลกันดารจริงๆ แต่ว่า กล่าวสำหรับข้าแล้ว ขุมทรัพย์นั้นเป็นเพียงของแถมเท่านั้น จุดประสงค์ของข้ายังคงต้องการสังหารเจ้า! ข้าเพียงต้องการให้โลกนี้ได้เข้าใจ ไม่มีสิ่งใดที่ข้าหลี่ชิเย่ทำไม่สำเร็จ…”
“…ผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในความืดก็ดี พวกที่คอยสอดแนมก็ช่าง หากรู้จักกาลเทศะละก็จงเจียมเนื้อเจียมตัวเสีย นี่คือโลกของข้า เป็นยุคสมัยของข้า เป็นศักราชของข้า ใครคิดจะเป็นผู้เก็บเกี่ยว ใครคิดจะให้ความมืดมาปกคลุม ข้าไม่ถือสาที่จะให้ศีรษะของเขาแขวนไว้เหนือท้องฟ้าสูงขึ้นไปของสิบสามทวีป!”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้บรรดาจอมราชันเซียนหวังทั้งหมดถึงกับหวั่นไหวในใจ คำพูดนี้มีความอหังการมาก ไม่เพียงสยบเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน เป็นการสยบทั้งยุคสมัย การสยบในลักษณะเช่นนี้ต้องก้าวข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลา การสยบในลักษณะเช่นนี้ภายในระยะเวลาอันสั้นไม่สามารถลบเลือนได้อยู่แล้ว