ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1986 หมู่บ้านเถา
ทั่วทั้งชิงโจวตกอยู่ในความเงียบสงัดหลังจากศึกสะเทือนฟ้าผ่านไป ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงชั่วข้ามคืน แคว้นเจ้าลัทธิในชิงโจวจำนวนมากทยอยกันประกาศปิดสำนัก จำนวนนั้นรวมทั้งสายสำนักราชันเซียนอยู่ด้วย
มีบรรพบุรุษที่เคยแข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมเตือนศิษย์ภายในสำนักของตน ห้ามออกไปก่อเรื่องก่อราวนอกสำนัก ระหว่างห้วงเวลาที่ไม่ปรกติเช่นนี้ กระทั่งมีแคว้นเจ้าลัทธิถึงกับตัดขาดการติดต่อระหว่างกันกับบุคคลภายนอกทั้งสิ้น ยิ่งไม่อนุญาตให้ศิษย์ภายในสำนักก้าวออกจากสำนักแม้เพียงครึ่งก้าว เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาไปก่อเรื่องอะไรขึ้นมา
สภาพของชิงโจวดูวิเวกวังเวงหลังจากการศึกผ่านไป เดิมการได้เป็นราชันสวรรค์ของจินเก๋อนั้นเป็นเรื่องที่คึกครื้นยิ่ง แต่มาวันนี้ ไม่มีใครไปพูดถึงเรื่องที่จินเก๋อได้เป็นจอมราชันแต่อย่างใด
การศึกที่ไกลกันดารสร้างความสะเทือนหวั่นไหวไปทั่วชิงโจว แม้จะกล่าวว่านอกจากระดับจอมราชันเซียนหวังแล้ว ยอดฝีมือของชิงโจวล้วนแล้วแต่ไม่สามารถมองเห็นการต่อสู้ด้วยตาของตนเอง แต่พลังระดับทำลายล้างโลกที่สั่นสะเทือนเช่นนี้ บรรดายอดฝีมือยังสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน ขณะที่ผู้มีทักษะอ่อนยิ่งไม่รู้เลยว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่กลับถูกสยบด้วยพลังเช่นนี้
หลังจากการต่อสู้แล้ว ยอดฝีมือต่างปิดปากตัวเองไม่กล้าไปวิจารณ์เรื่องนี้มากนัก ขณะที่ผู้อ่อนด้อยไม่สามารถรับรู้ถึงความเป็นไปของเรื่องราว ได้แต่ฟังจากผู้อื่นว่าอย่าได้เอ่ยถึงมากนัก
ดังนั้น หลังจากศึกครั้งนี้แล้ว ส่งผลให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของชิงโจวจำนวนนับไม่ถ้วนต้องนิ่งเงียบ ต่อให้มีผู้เยาว์ต้องการจะรู้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวันนั้นกันแน่ แต่ผู้อาวุโสภายในสำนักต่างปิดปากเงียบ กระทั่งกล่าวเตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า อย่าคิดไปวิพากวิจารณ์ หากพลาดพลั้งอะไรขึ้น จะนำมาซึ่งภัยสำนักถูกทำลายล้างได้
แม้ว่าหลังจากการศึกในครั้งนี้ส่งผลให้ชิงโจวเงียบสงัดขึ้น แต่ก็เป็นประโยชน์สำหรับบรรดาสำนักเจ้าลัทธิจำนวนมากที่ปิดสำนัก เนื่องจากบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ล้วนแล้วแต่ถูกสั่งห้ามให้อยู่แต่ภายในสำนัก ทำให้พวกเขาขยันหมั่นฝึกปรือกัน หลังจากผ่านไปเพียงชั่วระยะสั้นๆ ไม่กีปี ทำให้มีผู้มีฝีมือเกิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
หลังการศึกในคราวนี้แล้ว หลี่ชิเย่ได้ไปจากชิงโจว ภายใต้การร่วมมือของพวกราชันสวรรค์จ้านหวังและเซียนหวังฉีหลิน ทำการเปิดประตูบานเล็กที่ผ่านไปยังทวีปเจียวเหิงโจว ทำให้หลี่ชิเย่ข้ามไปยังทวีปเจียวเหิงโจวได้อย่างสะดวกจากประตูบานเล็กดังกล่าว
หลี่ชิเย่ย่อมมีเหตุผลกับการเดินทางไปที่ทวีปเจียวเหิงโจว นอกจากต้องการสมทบกับพวกราชันทักษิณที่มาจากเก้าแดนแล้ว ขณะเดียวกันยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องไปทำ
ทวีปเจียวเหิงโจวคือหนึ่งในสิบสามทวีป และเป็นที่ที่มีความเจริญรุ่งเรืองของร้อยชาติพันธุ์ ในบรรดาสิบสามทวีปต้องนับว่าทวีปเจียวเหิงโจวมีประชาชนของร้อยชาติพันธุ์อาศัยอยู่มากที่สุด ทั้งยังเป็นที่ที่ร้อยชาติพันธุ์ลงหลักปักฐานมายาวนานที่สุด
ร้อยชาติพันธุ์ในทวีปเจียวเหิงโจวมีความเข้มแข็งและเกรียงไกรยิ่ง ตรงกันข้าม เผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่าดูจะอ่อนด้อยกว่าไม่น้อยทีเดียว
การที่ร้อยชาติพันธุ์มีความเข้มแข็งและเกรียงไกรยิ่งใหญ่ได้เหมือนเช่นทุกวันนี้ นอกจากความพยายามของปรัชญาเมธีแต่ละรุ่นแล้ว ผลงานยอดเยี่ยมที่สุดเป็นของราชันเซียนเจียวเหิง
ครั้งนั้น ราชันเซียนเจียวเหิงกระทำการโดยพละการ อาศัยกำลังบังคับเปลี่ยนชื่อทวีปไป๋โจวเป็นทวีปเจียวเหิงโจว ขณะเดียวกันประกาศให้ร้อยชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทวีปเจียวเหิงโจวทั้งหมดหลุดพ้นจากการปกครองของเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่า เป็นการวางรากฐานด้านฐานะให้กับร้อยชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทวีปเจียวเหิงโจวนับจากนั้นเป็นต้นมา
ดังนั้น ประชาชนร้อยชาติพันธุ์ของทวีปเจียวเหิงโจวล้วนจารึกชื่อของราชันเซียนเจียวเหิงอยู่ในใจ ชื่อของราชันเซียนเจียวเหิงถูกยกย่องสรรเสริญทุกยุคทุกสมัยตลอดมา
หลังจากที่หลี่ชิเย่มาถึงทวีปเจียวเหิงโจวแล้ว ไม่ได้สมทบกับพวกของราชันทักษิณในทันที เขาได้เดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยเทือกเขาที่ขึ้นลงสลับ มีต้นไม้ดึกดำบรรพ์ที่สูงเสียดฟ้า สัตว์ป่าและเหล่าวิหคน้ำพุน้ำตกมีให้เห็นทั่วไป
แม้จะกล่าวว่าเทือกเขาบริเวณนี้มีหมู่บ้านตั้งอยู่กระจัดกระจาย แต่พื้นที่ส่วนใหญ่คือมีผู้คนอาศัยอยู่น้อยมาก แม้ว่าท่ามกลางภูเขาที่สูงเสียดฟ้าจะมีหมู่บ้านตั้งอยู่ แต่ก็เป็นเพียงหมู่บ้านขนาดเล็กเท่านั้นเอง
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่หลังพิงผนังท่ามกลางภูเขาที่สูงเสียดฟ้านี้ มองไปยังภูเขาเขียวขจีที่ขึ้นลงสลับ และหมู่บ้านเล็กๆ ที่มองเห็นควันจากปล่องควันที่ลอยม้วนตัวขึ้นมาที่อยู่ห่างไกลออกไป
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่นั่งอยู่บนยอดเขาที่สูงทะลุเมฆาแห่งหนึ่ง ภูเขาลูกนี้มีลักษณะตั้งตรง รอบๆ ภูเขาล้วนแล้วแต่เป็นหน้าผาที่สูงชัน มนุษย์ปุถุชนธรรมดาไม่สามารถปีนขึ้นมาได้อยู่แล้ว
ด้วยยอดเขาที่มีหน้าผาสูงชันทุกด้านเช่นนี้ บนยอดเขากลับมีการปักป้ายหน้าหลุมศพแต่ละป้ายเอาไว้ ทุกๆ ป้ายก็จะมีตัวอักษรเป็นชื่อเขียนเอาไว้ไม่กี่ตัว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกเลย
บนยอดเขาแห่งนี้มีหลุมฝังศพอยู่เป็นร้อย ทุกๆ หลุมฝังศพล้วนแล้วแต่ธรรมดามากไม่มีการตกแต่งประดับประดาใดๆ กระทั่งเรียกได้ว่าง่ายๆ และทำการลวกๆ
หลุมฝังศพเหล่านี้จะหันหน้ามองไกลไปยังหมู่บ้านที่มีภูเขาเขียวขจีขึ้นลงสลับ และควันจากปล่องควันที่ลอยม้วนตัวขึ้นมา ด้านหลังอิงแอบกับผนังของภูเขาลูกนี้ สุสานหลุมฝังศพแต่ละหลุมเหล่านี้ไม่เคยมีใครมาไหว้ แต่กลับไม่ค่อยมีต้นหญ้าขึ้นปกคลุมสักเท่าไร มีเพียงต้นหญ้าสีเขียวที่โผล่หัวออกมารับลมจากรอยแยกของหินเป็นกระหย่อมๆ เท่านั้น
หลี่ชิเย่นำสุราเลิศรสพรมไปกับพื้นดิน จากนั้นหันหลังให้กับผนังภูเขา มองไกลไปที่ที่ห่างไกลออกไป ดื่มสุราเลิศรสที่อยู่ในไหไปพลางหยุดดื่มพลาง
“ความจริงแล้ว การมองดูพระอาทิตย์ในยามเย็นค่อยๆ ลับตาไป ห้อมล้อมด้วยลูกหลานเต็มบ้านจนแก่ตายไปก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเลวร้าย เหมือนดั่งเช่นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาพูดเอาไว้อย่างนั้นว่าพรั่งพร้อมด้วยความสุขและอายุยืน ชีวิตนี้ก็นับว่าไม่เสียใจอีกแล้ว” หลี่ชิเย่จิบสุราเลิศรส มองดูควันจากปล่องควันที่ลอยขึ้นมา ถึงกับยิ้มกล่าวเฉยเมยขึ้นมา
ไม่มีผู้ใดรู้ว่า บนยอดเขาแห่งนี้ได้ฝั่งร่างแต่ละร่างของผู้ที่เคยอยู่ในฐานะสยบสิบสามทวีปมาก่อน ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นมีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยที่เป็นยอดฝีมือระดับจอมเทพ พวกเขาล้วนแล้วแต่เคยเป็นขุนพลที่องอาจห้าวหาญมาก่อน เคยหลั่งเลือดสมรภูมิรบ ทำให้ศัตรูต้องขวัญหนีดีฝ่อเพียงแค่ได้ยินชื่อของพวกเขา
สายลมโชยมาเฉื่อยฉิว หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ จ้องมองไปข้างหน้าที่ไกลออกไป หลังจากผ่านไปนานมาก เขาได้เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ชีวิตคนเรามักเป็นเช่นนี้ ยามที่เจ้าเป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ก็สมือนหนึ่งเป็นมดตัวน้อยๆ ตัวหนึ่ง เจ้าก็จะไฝ่หาให้ได้มาเช่นผู้บำเพ็ญตน ใฝ่หาวิชาประเภทเหินฟ้าดำดิน ก้าวข้ามภูเขาพันลูกแม่น้ำหมื่นสาย ใฝ่หาชีวิตที่ไปมาท่ามกลางเมฆหมอก อิจฉาชีวิตที่มีความเป็นอยู่ดั่งเซียน…”
“…ยามที่เจ้าได้กลายเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริงแล้ว ผ่านอุปสรรค บรรลุความหมายที่ลึกซึ้งพิสดาร เห็นอะไรมามาก รู้มาก ทันใดนั้นจะรู้สึกว่า ความจริงแล้ว การมีชีวิตเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งช่างดีแท้ ความโง่เขลามักจะเป็นความสุขอย่างหนึ่งเสมอ ตั้งแต่เกิดกระทั่งตายภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่สิบปี ไม่จำเป็นต้องผ่านความทุกข์ทรมานมากมายนัก มีพ่อแม่ มีทายาทลูกสาวลูกชาย มีวิถีชีวิต และสุดท้ายแก่ตายไป ทั้งหมดนี้เพียงพอแล้ว” เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ
หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก หลี่ชิเย่ถึงกับกรอกสุราเข้าปาก สุดท้ายแล้วถึงกับหัวเราะและเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “จะว่าไปแล้ว ข้าก็อิจฉาพวกเจ้า อย่างน้อยที่สุดพวกเจ้าสามารถปล่อยวางได้ พวกเจ้าสามารถเกษียณเพื่อกลับบ้าน สามารถปล่อยวางทุกสิ่ง ออกจากฐานะของผู้บำเพ็ญตน ออกจากกาลเวลาที่ชีวิตที่ต้องกวาดล้างไปทั่วทุกทิศ…”
“…เสียดาย ข้าทำไม่ได้ ต่อให้มีสักวันข้าคิดเช่นนั้น แต่ข้าก็ทำไม่ได้ การก้าวเดินบนเส้นทางสายนี้ของข้าถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าหันหลังกลับไปไม่ได้ ได้แต่ก้าวต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าปัจจุบันเป็นเช่นใด อนาคตเป็นอย่างไร ข้าก็ได้แต่ก้าวต่อไปให้ตลอด ไม่สามารถหยุดก้าวเดินเพื่อใคร ไม่สามารถหยุดเพื่อผู้ใด” ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วหัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่ง ทอดถอนใจออกมาทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ใครใช้ให้ข้าคือหลี่ชิเย่เล่า!”
หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตรงนั้น ดื่มสุราไป มองไปที่ที่ห่างไกล นั่งแบบนี้รวดเดียวหลายวัน มองดูพระอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ และพระอาทิตย์ยามอัสดง มองดูเมฆที่รวมตัวกันและคลายออกจากกัน เหมือนว่าทัศนียภาพเช่นนี้ดูไม่รู้สึกเบื่อสำหรับเขาอย่างนั้น
“ลาก่อนสหาย จงสู่สุขคติเถอะ” สุดท้าย หลี่ชิเย่ลุกขึ้นยืน หยิบเอาดินขึ้นมากำหนึ่งแล้วปล่อยให้ไหลลงลอดไปตามร่องระหว่างนิ้วให้มันโปรยปรายออกไปตามสายลม หลี่ชิเย่มองดูหลุมฝังศพแต่ละหลุมที่อยู่ตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นหันหลังเดินจากไป
ไม่ไกลจากยอดเขาแห่งนี้มีหมู่บ้านอยู่แห่งหนึ่ง หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหมากญ่นัก มีไม่กี่สิบครอบครัวเท่านั้นเอง ครอบครัวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ยังชีพด้วยการล่าสัตว์ เป็นวิถีชีวิตที่ออกทำงานยามพระอาทิตย์ขึ้น และกลับบ้านพักผ่อนยามพระอาทิตย์ตก
หมู่บ้านนี้มีชื่อว่าหมู่บ้านเถา ที่มันมีชื่อเช่นนี้เป็นเพราะชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ล้วนแล้วแต่แซ่เถาทั้งสิ้น ส่วนเรื่องที่ว่าพวกเขามาจากที่ใดนั้น ผู้คนในหมู่บ้านไม่สามารถทราบได้อีกแล้ว พวกเขารู้แต่เพียงบรรพบุรุษแต่ละรุ่นของพวกเขาล้วนแล้วแต่อาศัยอยู่ที่นี่
หมู่บ้านเถาไม่ได้มีข้อแตกต่างอะไรกับหมู่บ้านอื่นๆ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ภายในหมู่บ้านล้วนแล้วแต่อาศัยการยังชีพด้วยการล่าสัตว์และเพาะปลูก ออกทำงานยามพระอาทิตย์ขึ้น และกลับบ้านพักผ่อนยามพระอาทิตย์ตก เป็นเช่นนี้มาทุกยุคทุกสมัย
บริเวณทางเข้าหมู่บ้านเถามีลำธารขนาดเล็กไหลผ่าน น้ำในลำธารไหลเอื่อยๆ ยามที่พระอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้นมาจากบนเขา แสงจากพระอาทิตย์ที่สาดส่องลงในลำธาร ส่งประกายแวบวับน้อยๆ กระจายออกมา
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้อิงแอบอยู่กับต้นหวายแก่ที่ขึ้นอยู่ริมลำธาร มองดูยามอรุณรุ่งของหมู่บ้านเถา
ในขณะนี้เอง ภายในหมู่บ้านเถาปรากฏเสียงอ่านหนังสือเสียงใสๆ ดังขึ้น เสียงอ่านหนังสือแต่ละเสียงที่ดังขึ้นมีทั้งชายและหญิง เป็นน้ำเสียงที่อ่อนเยาว์มาก เป็นเสียงอ่านหนังสือของเด็กๆ
เสียงอ่านหนังสือนี้ดังออกมาจากยุ้งฉางภายในหมู่บ้าน ปรกติแล้วจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับตากพืชผลทางการเกษตร แต่ว่าเวลานี้ในยามเช้าตรู่ บรรดาเด็กๆ ภายในหมู่บ้านต่างทยอยกันมานั่งขัดสมาธิอยู่กับพื้น ทำสมาธิและผ่อนลมปราณ
“ผู้เป็นราชันอยู่เหนือศีรษะขึ้นไปสามฟุต จักษุประสาทไม่หวั่นไหว ภายในใจปราศจากความคิด…” เวลานี้น้ำเสียงที่ใสกังวานเสียงหนึ่งดังขึ้น ที่สนามของยุ้งฉางมีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น พูดออกเสียงชัดถ้อยชัดคำถ่ายทอดหลักการบำเพ็ญเพียร
“ผู้เป็นราชันอยู่เหนือศีรษะขึ้นไปสามฟุต จักษุประสาทไม่หวั่นไหว ภายในใจปราศจากความคิด…” เด็กๆ ที่นั่งอยู่บนพื้นของยุ้งฉางก็ท่องตามผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดหลักการบำเพ็ญเพียรมีอายุไม่มาก อายุของนางแค่สิบหกเท่านั้น รูปโฉมก็ไม่ได้เป็นประเภทสวยหยาดเยิ้ม แต่มองดูแล้วก็ทำให้สบายใจสบายตา ดวงหน้ารูปแตงผิวขาวสะอาดสะอ้านอ่อนเยาว์ ดูบอบบางแค่เป่าหรือดีดเบาๆ ก็ขาดแล้ว นัยน์ตาที่ใสดั่งน้ำในสารทฤดู ทำให้ผู้พบเห็นถึงกับนัยน์ตาลุกวาว
ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เสริมแต่งด้วยเครื่องสำอาง ใบหน้าสดใสโดยไม่ได้อาศัยเครื่องสำอาง สวมใส่ชุดหญิงสามัญชน ดูเรียบง่ายยิ่งนัก แต่ไม่ทำให้ความงามของนางต้องมัวหมอง โดยเฉพาะผมของนางที่ผูกเอาไว้ด้านหลังอย่างตามอารมณ์ แลดูสง่างามตรงไปตรงมา แต่แฝงไว้ซึ่งความฉลาดและทะเล้นอยู่สามส่วน
ผู้หญิงคนนั้นถ่ายทอดหลักการบำเพ็ญเพียรทีละคำทีละประโยค ขณะที่เด็กๆ หลายสิบคนต่างนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นให้ความสนใจยิ่งต่อการอ่านเคล็ดวิชานี้ทีละคำทีละประโยคของนางอย่างยิ่ง
ยามที่น้ำเสียงคำอ่านที่เยาว์วัยแต่ละเสียงที่อ่านออกมา และดังก้องอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้แล้ว ได้เพิ่มอรรถรสไม่น้อย ฟังแล้วดูมีชีวิตชีวา และน่าฟังเป็นพิเศษ
หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ริมลำธาร อิงแอบอยู่กับต้นไม้ใหญ่ มองดูภาพนี้แล้ว และได้ยินน้ำเสียงที่อ่านออกมาแต่ละคำ เขาถึงกับยิ้มอยู่บนใบหน้า ทันใดนั้น ภาพเรื่องราวในอดีตเหมือนได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้งอย่างนั้น
ในห้วงเวลาที่ยาวไกลครั้งนั้น ก็เคยมีคนผู้หนึ่งถ่ายทอดวิชาการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ในหมู่บ้านลักษณะเช่นนี้ น้ำเสียงเยาว์วัยของเด็กคนนั้นก็เคยดังก้องอยู่บนท้องฟ้าเช่นกัน
ในที่สุด เมื่อพระอาทิตย์ลอยขึ้นสูงบนท้องฟ้า ผู้หญิงก็ได้ถ่ายทอดหลักการบำเพ็ญเพียรจบบทๆ หนึ่ง นางลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า “วันนี้พอแค่นี้ก่อน ทุกคนกลับไปได้”
“เย่ กลับบ้านกินข้าวกันแล้ว” เด็กๆ จำนวนไม่น้อยกระโดดโลดเต้นขึ้นมาด้วยความดีใจเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้ วิ่งกลับไปบ้านของตนดั่งพายุ
“พี่ถิง เมื่อไหร่ท่านจะถ่ายทอดวิชาให้กับพวกเรา เหมือนเช่นพี่สาวที่เหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า” มีเด็กๆ ที่ดวงตาโตๆ ส่งแววตาด้วยความกระหายอยากคู่นั้นเอ่ยถามผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา