ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2001 นักศึกษาสามคน
“พี่ใหญ่หวัง อย่าได้พูดพล่อยๆ” เย่ซินเสวี่ยพลันมีใบหน้าที่แดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดจากชายผู้นั้น รีบกล่าวว่า “ท่านนี้คือคุณชายหลี่ อาจารย์คนใหม่ของเรือนตำราพวกเรา”
ชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำถึงกับตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดของเย่ซินเสวี่ย เขาจ้องมองหลี่ชิเย่ที่ดูธรรมดามากตรงหน้าด้วยความงุนงง ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรือนตำราของพวกเขาไม่เคยมีอาจารย์ เวลานี้กลับมีอาจารย์โผล่ออกมา นับว่าอยู่เหนือความคาดคิดของเขาเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าชายหนุ่มคือคนที่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่คนหนึ่ง อีกทั้งดูไปแล้วงอายุของเขาจะแก่กว่าหลี่ชิเย่เสียอีก แต่ว่าเขาเป็นผู้ที่ให้ความเคารพต่อผู้เป็นอาจารย์ จึงรีบเดินเข้าไปหัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่ง โค้งคำนับให้อย่างงาม และกล่าวว่า “ขออาจารย์อย่าได้ถือโทษ ข้าล้อเล่นกับนังหนูจนเคยชินแล้ว ไม่นึกเลยว่าจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้ขึ้นมา ขออาจารย์ท่านโปรดอภัย”
แม้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่คนหนึ่ง แต่ว่าเขายังนับว่ามีความจริงใจอย่างยิ่ง ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงพยักหน้ายอมรับการขอโทษของชายหนุ่มผู้มีร่างกายกำยำสูงใหญ่
“ศิษย์หวังจั๋วต้ง ฉายาแขนเหล็กห่วงทองคำ เข้ามาอยู่ในเรือนตำราได้หลายปีแล้ว วันหน้ายังต้องขอให้อาจารย์ได้โปรดชี้แนะและให้ความเอาใจใส่” ชายหนุ่มผู้มีร่างกายกำยำสูงใหญ่ผู้นี้ดูมีความกระตือรือร้นยิ่ง รีบเร่งแนะนำตัวเอง และสวมกอดหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง
หลี่ชิเย่สังเกตตัวเขาอย่างละเอียดทีหนึ่ง ปฏิกิริยาเรียบเฉย กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เก็บของให้เรียบร้อย วันนี้เข้าเรียนคาบแรกเลยก็แล้วกัน”
แขนเหล็กห่วงทองคำเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วไม่กล้าทำชักช้า ไม่พูดพล่ามทำเพลง เก็บของของตนเรียบร้อยและติดตามหลี่ชิเย่ไปทันที
เรือนตำราเรียกได้ว่าเป็นทะเลตำรา หรือโลกแห่งตำรา ขอเพียงพบเห็นสถานที่ที่เป็นบ้าน และหรือที่ที่เป็นถ้ำก็จะมีตำราวางอยู่ กระทั่งใต้ก้อนหินจำนวนไม่น้อยก็มีสารพันตำราซ่อนเอาไว้ในนั้น
อีกทั้งตำราทั้งหมด รวมทั้งภาพวาดฝาผนัง รูปปั้นแกะสลักต่างๆ ล้วนแล้วแต่เปิดให้กับนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทั้งสิ้น นักศึกษาใดๆ ล้วนแล้วแต่สามารถมาที่เรือนตำราเพื่อหาอ่านตำราได้ทุกเล่ม
เพียงแต่ว่านักศึกษาที่จะเข้ามาอ่านตำรานั้นมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น เหตุผลนั้นง่ายมาก จะมีนักศึกษาสักกี่คนที่ให้ความสนใจในตำราที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณีกันเล่า กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากแล้ว การมาค้นคว้าหาอ่านตำราเหล่านี้เป็นการเสียเวลาชัดๆ
“เหอะ ผู้เฒ่าหลิวมาหาตำราอีกแล้ว ตำราในเรือนตำรามีมากจนนับไม่ถ้วน เสมือนดั่งเป็นมหาสมุทรอย่างนั้น อย่าว่าแต่พวกเขาอ่านจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาเลย ต่อให้รั้งอยู่ที่นี่ชั่วชีวิตก็ไม่เห็นว่าจะอ่านตำราที่มีอยู่ในเรือนตำราได้หมด” ขณะที่เย่ซินเสวี่ยพาพวกของหลี่ชิเย่มาถึงวิหารที่มืดสลัวแห่งหนึ่งนั้น แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับยิ้มกล่าวขึ้นมา
โดยพื้นฐานเดิมเรือนตำราก็ไม่ค่อยมีนักศึกษามาอยู่แล้ว เรือนตำราขนาดใหญ่โตก็จะมีเพียงพวกของเย่ซินเสวี่ยเท่านั้น ดังนั้น วิหารใหญ่แห่งนี้ที่อยู่ตรงหน้าจึงดูเงียบสงัดเป็นพิเศษ แม้แต่ทั่วทั้งเรือนตำราก็เงียบสงัดเช่นกัน
ขณะที่พวกของหลี่ชิเย่เดินเข้าไปภายในวิหารแห่งนี้ สามารถได้ยินเสียงไอแค่ก แค่ก แค่กที่ดังออกมาเป็นระลอก โดยที่เสียงไอดังกล่าวได้ดังก้องอยู่ภายในวิหารใหญ่แห่งนี้เป็นเวลานาน เสียงไอที่ได้ยินเหมือนต้องการไอจนกระทั่งปอดหลุดออกมาทั้งยวงอย่างนั้น
วิหารแห่งนี้มีขนาดที่ใหญ่โตยิ่งนัก แต่ว่า สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาล้วนแล้วแต่เป็นตำราทั้งสิ้น ชั้นวางตำราจำนวนนับไม่ถ้วนวางเรียงรายสูงจดเพดานวิหารด้านบน ทุกๆ ชั้นวาง ทุกแถวล้วนเต็มไปด้วยตำรา ปรากฏกลิ่นตำราที่เหมือนขึ้นรา ซึ่งเป็นกลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะไม่มีใครเหมือนตลบอบอวลไปทั่ววิหารขนาดใหญ่แห่งนี้ เมื่อได้กลิ่นของตำราขึ้นราเช่นนี้แล้ว รู้สึกเหมือนอยู่ในทะเลตำราอย่างนั้น
เดินทะลุผ่านชั้นวางตำราแต่ละแถวเข้าไป สุดท้าย ณ มุมหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปมากที่สุดของวิหารแห่งนี้ก็ได้พบร่างของผู้เฒ่าคนหนึ่งแล้วในที่สุด มองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะวางตะเกียงน้ำมันที่มืดสลัวเอาไว้ ไฟที่อยู่ในตะเกียงโอนเอนส่ายไปมาช้าๆ
แสงตะเกียงที่สาดส่องลงบนใบหน้าที่ออกเป็นสีเหลืองของผู้เฒ่าผู้นี้ ทำให้ดูเป็นสีเหลืองมากยิ่งขึ้นไปอีก เขาพลิกหน้าตำราไปทีละหน้าๆ ท่ามกลางแสงจากตะเกียง ขณะที่มือของเขาพลิกตำราไป ปากก็พึมพำออกมาว่า “ม้ามทอง ม้ามทอง ม้ามทอง…”
อีกทั้งเขายังมักจะส่งเสียงไอออกมาเสมอๆ ทั้งยังไอรุนแรงมากเป็นพิเศษอีกด้วย เวลาที่ไอนั้น ร่างกายที่มีลักษณะหลังค่อมอยู่แล้วดู้จะโค้งงอมากขึ้นกว่าเดิมอีก
แม้ว่าในขณะนี้พวกของหลี่ชิเย่ได้เข้ามาถึงแล้ว แต่ว่าผู้เฒ่าได้ทุ่มเทมากเกินไป เรียกได้ว่าได้รวบรวมมั่นในสมาธิมากเหลือเกิน ยังคงไม่รู้สึกว่าพวกของหลี่ชิเย่ได้เข้ามาแล้ว
ผู้เฒ่าหลิว…หลังจากที่เดินเข้าใกล้แล้ว เย่ซินเสวี่ยได้ร้องเรียกขึ้นมา
ม้ามทอง ม้ามทอง ม้ามทอง…ผู้เฒ่าทุ่มเทสมาธิมากเหลือเกิน ยังคงไม่ได้ยินคำพูดของเย่ซินเสวี่ย และพลิกหน้าตำราในมือทีละหน้าๆ
“ถ้าหากเจ้าคิดจะหาตำราฝังเข็มศิลาหยกม้ามทองหละก็ เจ้าหาผิดที่เสียแล้ว” ในขณะที่ผู้เฒ่ากำลังมีสมาธิที่มุ่งมั่นอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้เอ่ยเฉยเมยขึ้นมา
ตุ๊บ…คำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งฟ้าผ่าลงมาอย่างนั้น ตำราเล่มนั้นที่อยู่ในมือหล่นลงพื้นทันที เขาลุกขึ้นแทบจะทันที ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่
“ผู้เฒ่าหลิว คืนสติกลับมา” จังหวะที่ผู้เฒ่าเหมือนถูกฟ้าผ่าเอานั้น เย่ซินเสวี่ยได้เดินเข้าไปหาและโบกไม้โบกมือตรงหน้าของเขา
“ท่าน ท่าน ท่านรู้ได้อย่างไร?” ผู้เฒ่าจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ กล่าวด้วยท่าทีที่ตกใจยิ่งนัก
“เรื่องที่อยู่ในเรือนตำรา มีรึที่ข้าจะไม่รู้?” หลี่ชิเย่พูดขึ้นมาด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ทราบว่าคุณชายมีนามว่ากระไร?” หลังจากที่ผู้เฒ่าได้สติกลับมาแล้วร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง และเอ่ยขึ้นมา
“ผู้เฒ่าหลิว นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับท่านแล้ว” แขนเหล็กห่วงทองคำยิ้มกล่าวว่า “คุณชายท่านนี้คืออาจารย์ที่มาใหม่ของเรือนตำราพวกเรา จากนี้ไปท่านต้องขอคำชี้แนะจากอาจารย์ให้มากแล้ว”
ผู้เฒ่าถึงกับตื่นตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดของแขนเหล็กห่วงทองคำ ปฏิกิริยาแรกของเขาก็เหมือนกับแขนเหล็กห่วงทองคำ แต่หลังจากนั้นเขาตามด้วยร่างที่สั่นเทิ้มทีหนึ่งในทันที เนื่องจากสิ่งที่หลี่ชิเย่ได้พูดออกมาเมื่อครู่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อเขาเหลือเกิน
“ศิษย์มีตาหามีแววไม่” ผู้เฒ่ารีบเร่งโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าอาจารย์มาด้วยตนเอง ศิษย์หลิวจินเซิ่น ทุกคนต่างเรียกข้าว่าตาเฒ่าหลิว” เดิมเขาก็หลังค่อมอยู่แล้ว ยามที่เขาโค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่ ศีรษะของเขาดูจะก้มต่ำยิ่งกว่าเสียอีก
หลี่ชิเย่พยักหน้า ยิ้มและกล่าวว่า “ไปเถอะ ได้เวลาที่ต้องขึ้นเรียนครั้งแรกแล้ว” กล่าวจบคำหันหลังเดินไปทันที
หลังจากที่หลี่ชิเย่ออกเดินไปแล้ว เย่ซินเสวี่ยรีบเร่งติดตามไปให้ทัน ขณะที่แขนเหล็กห่วงทองคำกับตาเฒ่าหลิวเดินตามมาด้านหลัง แขนเหล็กห่วงทองคำได้ยักคิ้วหลิ่วตากับตาเฒ่าหลิว เนื่องจากพวกเขาทั้งสามต่างสนิทกันมาก พวกเขาจึงมีวิธีการสื่อสารในแบบฉบับของตนเอง
การที่แขนเหล็กห่วงทองคำยักคิ้วหลิ่วตากับตาเฒ่าหลิวเป็นเพราะเขาต้องการถามตาเฒ่าหลิวว่า รู้ถึงประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่หรือไม่ จะอย่างไรเสียในเรือนตำราแห่งนี้นับว่าตาเฒ่าหลิวที่มีอายุมากที่สุด และมีประสบการณ์มากที่สุดแล้ว
หากเป็นปรกติก่อนหน้า ตาเฒ่าหลิวต้องมีการสื่อสารกับแขนเหล็กห่วงทองคำแน่นอน แต่ว่า ในขณะนี้ท่าทีของเขาดูหนักแน่นจริงจัง ไม่ได้ให้ความสนใจต่อแขนเหล็กห่วงทองคำ
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้พาพวกของเย่ซินเสวี่ยทั้งสามคนกลับมาถึงตำหนักหลัก โดยหลี่ชิเย่นั่งอยู่ด้านบน ขณะที่พวกของเย่ซินเสวี่ยในฐานะเป็นนักศึกษานั่งอยู่ด้านล่าง
ในบรรดาพวกเขาทั้งสามคนยกเว้นเย่ซินเสวี่ยแล้ว ทั้งแขนเหล็กห่วงทองคำและตาเฒ่าหลิวดูไปแล้วล้วนแล้วแต่มีอายุแก่กว่าหลี่ชิเย่ เพียงแต่เวลานี้ทั้งแขนเหล็กห่วงทองคำและตาเฒ่าหลิวต่างก็อยู่ในกฎไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม และไม่กล้าทำอะไรชักช้า เหมือนเป็นนักศึกษาที่น่ารักนั่งอยู่ตรงนั้น
หลี่ชิเย่มองดูพวกเขาทั้งสามคน กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “ข้ามาเป็นอาจารย์ที่เรือนตำราอาจไม่ยาวนานนัก แต่ คนอย่างข้าเป็นคนแบบนี้ ถ้าหากใครมาเป็นศิษย์ของข้า ข้าไม่ต้องการให้มีสักวันได้ยินว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไร ทำให้ข้าเสียชื่อ ดังนั้น ในระหว่างที่ข้าสอนอยู่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามที่ข้าพูด ถ้าหากว่าในใจของใครต้องการลองดีอะไรหละก็ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะได้เข้าใจเร็วๆ นี้ หากเจ้าเป็นมังกรก็จงขดตัวให้เรียบร้อยแต่โดยดี หากเป็นพยัคฆ์จงหมอบลงให้เรียบร้อยแต่โดยดีเช่นกัน”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้พวกเย่ซินเสวี่ยนิ่งเงียบไม่พูดอะไร แน่นอนที่สุด หญิงสาวเฉกเช่นเย่ซินเสวี่ยย่อมไม่กล้าพูดอะไรกับผู้เป็นอาจารย์อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดทั้งแขนเหล็กห่วงทองคำและตาเฒ่าหลิวพวกเขาก็ไม่ต้องการพูดอะไร จะอย่างไรเสียการรั้งอยู่ที่เรือนตำราของพวกเขามีเหตุผลในตัวอยู่แล้ว
“เอาหละ คำพูดของข้าพูดหมดแล้ว ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องพูดบ้างแล้ว” หลี่ชิเย่จ้องมองพวกเย่ซินเสวี่ยแล้วเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
เย่ซินเสวี่ยนั่งก้มหน้า เดิมทีนางก็เป็นคนที่ไม่มั่นใจในตนเองสักเท่าไร ย่อมไม่ใช่ผู้ที่เอ่ยวาจาขึ้นมาเองในชั้นเรียนอยู่แล้ว ขณะที่ตาเฒ่าหลิวยิ่งเป็นคนที่ถือคตินิ่งเสียตำลึงทอง ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมา
“อาจารย์ ท่านต้องการให้พวกเราพูดอะไรรึ?” สุดท้าย ยังคงเป็นแขนเหล็กห่วงทองคำที่ค่อนข้างมีชีวิตชีวาได้เอ่ยถามขึ้นมา
หลี่ชิเย่จ้องมองดูพวกเขาแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีชั้นเรียนอยู่ห้าชั้นเรียน ชั้นเรียนอีกสี่ข้าจะไม่กล่าวถึงให้มากความ ข้าจะพูดถึงแต่เรือนตำราของพวกเรา เมื่อเปรียบเทียบกับเรือนตำราของพวกเราแล้ว ชั้นเรียนอีกสี่แห่งดูจะเป็นแก่นมากกว่า ในเมื่อพวกเจ้าเลือกที่จะอยู่ในเรือนตำราย่อมต้องมีเหตุผลของพวกเจ้า ข้าอยากจะฟังเหตุผลการเลือกอยู่ที่เรือนตำราของพวกเจ้า”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา พวกของเย่ซินเสวี่ยต่างมองตากันและกัน จากนั้นพวกเยาทั้งสามก็นิ่งเงียบ ไม่มีใครยอมปริปากพูดอะไร
“ก็ดี ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้พูดเองลำพังคนเดียว เวลานี้พวกเจ้าออกไปยืนด้านนอก แล้วเข้ามาทีละคน” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ
หลังจากครู่เดียว พวกของเย่ซินเสวี่ยทั้งสามคนต่างยืนอยู่ด้านนอกตำหนักหลัก เวลานี้เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการจะเข้าไป
กล่าวสำหรับ หวังจั้วต้งและตาเฒ่าหลิวแล้ว พวกเขาดูจะมีอายุแก่กว่าหลี่ชิเย่ แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ลึกๆ ในใจแล้วพวกเขารู้สึกหวาดหวั่นต่อหลี่ชิเย่ยิ่งนัก และพวกเขาก็บอกไม่ถูกว่าเพราะอะไร
“แหะ ผู้เฒ่าหลิว ท่านมีประสบการณ์กว้างขวาง ย่อมต้องมีความเข้าใจในตัวอาจารย์คนใหม่ของพวกเราที่เป็นหนึ่งไม่เหมือนใครอยู่แล้ว ท่านผู้อาวุโสไปกับเขาก่อนจะเป็นเช่นใด?” ภายในใจของแขนเหล็กห่วงทองคำเกิดไม่มั่นใจขึ้นมา จึงหัวเราะแหะ แหะ และกล่าวต่อตาเฒ่าหลิว
ปรกติแล้วเขาจะเรียก “ตาเฒ่าหลิว” “ตาเฒ่าหลิว” แบบนี้ แต่ เวลานี้กลับดูจะให้ความเคารพขึ้นมา ต้องการผลักให้เข้าไปในกองเพลิง
ขณะที่ตาเฒ่าหลิวก็เหลือบมองแขนเหล็กห่วงทองคำทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ภายในใจเจ้าแอบซ่อนแผนการน้อยนิดเอาไว้กลัวถูกจับได้น่ะสิ ถ้าจะไปเจ้าเข้าไปก่อน อย่างไรเสียคอยดูว่าใครสามารถยืนอยู่ข้างนอกนี้ได้นานที่สุด” กล่าวพลางเขาก็ทำหน้าหนาหน้าทนอ้อมไปยืนอยู่ด้านหลังต่อจากแขนเหล็กห่วงทองคำ
“ตาเฒ่าหลิว ท่านหมายความว่าอะไร?” แขนเหล็กห่วงทองคำหันหัวกลับไปถมึงตาสา และกล่าวว่า “ข้าน่ะไม่มีแผนการอะไรที่บอกต่อใครไม่ได้หรอกนะ”
“ให้ข้าเข้าไปก่อนก็แล้วกัน” ระหว่างที่แขนเหล็กห่วงทองคำกับตาเฒ่าหลิวกำลังเกี่ยงกันไปมาอยู่นั้น เย่ซินเสวี่ยที่มีความงดงามขลาดกลัวอยู่สามส่วนได้กล่าวขึ้น
พูดขาดคำ เย่ซินเสวี่ยทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปในตำหนัก
“เฮ่อ พวกเราที่เป็นผู้ชายทั้งสองคนวันนี้นับว่าน่าขายหน้ายิ่งนัก เทียบไม่ได้กะทั่งสาวน้อยคนหนึ่ง” แขนเหล็กห่วงทองคำส่ายศีรษะไปมา และกล่าวว่า “เป็นเพราะกลัวผู้อื่นจะล่วงรู้แผนการน้อยๆ ที่อยู่ในใจของตนน่ะสิ”