ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2029 หวนนึกถึงอดีต
ใบชาสิบสองสายแค่ใบเดียวก็ว่ายากแล้ว เวลานี้หลี่ชิเย่กลับเอามาชงชา ฟุ่มเฟือยขนาดนี้ทำให้ผู้คนต้องอิจฉาอย่างที่สุด ไม่รู้ว่าได้ทำให้นักศึกษาจำนวนเท่าไรต้องคลั่งกับสิ่งนี้
หลังจากที่เหมยซู่เหยา อวี่เชียนเสวียนพวกนางได้ดื่มชาสัจธรรมไปได้ไม่นาน ปรากฏเสียงดังแว้งค์ขึ้นมาพร้อมกับเปล่งประกายออกมาทั่วร่าง สัจธรรมประสานเสียง เสมือนหนึ่งร่างกายได้กลับกลายเป็นต้นกำเนิดของสัจธรรมอย่างนั้น อักขระยันต์ไม่มีสิ้นสุดปรากฏลอยอยู่รอบๆ ตัวของพวกนาง ทำให้ร่างกายของพวกนางกลายเป็นไม่เหมือนเดิม เวลานี้นาทีนี้เหมือนว่าพวกนางได้กลับกลายเป็นเข้าใจอย่างถ่องแท้ยิ่งนัก สัจธรรมที่ปราศจากผู้เทียบเทียม มองแวบเดียวแปรเปลี่ยนความยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย สัจธรรมทุกอย่างล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นง่ายดายในสายตาของพวกนาง กลายเป็นไม่มีความสลับซับซ้อน
โดยเฉพาะพวกนางซึ่งมีพรสวรรค์ที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ความลึกซึ้งพิสดารของสัจธรรมเช่นนี้ยิ่งปรากฎออกมาอย่างเต็มที่บนตัวของพวกนาง
เวลานี้ เหมยซู่เหยา และอวี่เชียนเสวียนทยอยนั่งลงเข้าฌานเพื่อบรรลุ กล่าวสำหรับพวกนางแล้วเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งครั้งหนึ่ง ใบชาสัจธรรมชนิดกฎเกณฑ์สิบสองสายหาใช่ใครก็สามารถได้ดื่มกินกันง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น สามารถบรรลุสัจธรรมใต้ต้นชาสัจธรรมแล้วยิ่งยากขึ้นไปอีก
เรียกได้ว่า ภายใต้การบรรลุสัจธรรมในลักษณะเช่นนี้ ทุกอย่างก็จะสำนึกตื่นตัว ความฉงนที่ปรกติแล้ววนเวียนอยู่ภายในจิตใจ ในเวลานี้ปัญหาต่างๆ ล้วนแล้วแต่แก้ตกได้ในทันที
ไม่เพียงแต่เหมยซู่เหยากและอวี่เชียนเสวียน ในเวลานี้ทั่วทั้งตัวของหลิวจินเซิ่นก็เปล่งประกายจางๆ ออกมา เมื่อเปรียบเทียบกับเหมยซู่เหยากับอวี่เชียนเสวียนแล้ว ประกายบนตัวของหลิวจินเซิ่นดูจืดจางกว่ากันมากทีเดียว และไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายกับเหมยซู่เหยา และอวี่เชียนเสวียน แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม หลิวจินเซิ่นยังคงทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นเข้าฌานครุ่นคิด
ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด ผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดก็คือหลี่ชิเย่ หลี่ชิเย่เป็นผู้ที่ได้ดื่มชาสัจธรรมมากที่สุด แต่กลับมีปฏิกิริยาที่เรียบเฉยที่สุด มีเพียงประกายจืดจางที่ลอยขึ้นมาแล้วก็หายไปเท่านั้นเอง
ในสายตาของบุคคลอื่น ภาพที่เห็นทำให้เข้าใจได้ว่าชาสัจธรรมที่พวกเขาดื่มเข้าไปให้ผลที่แตกต่างกัน ปฏิกิริยาของหลี่ชิเย่ และหลิวจินเซิ่นไม่เท่ากับเหมยซู่เหยา และอวี่เชียนเสวียน ยิ่งไปกว่านั้นเหมยซู่เหยา และอวี่เชียนเสวียนทั้งสองคนต่างมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศในหล้า ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีของทุกคน
ดังนั้น เมื่อผู้คนจำนวมากที่ได้เห็นภาพนี้แล้วก็ต้องเข้าใจว่า หลังจากที่หลี่ชิเย่และหลิวจินเซิ่นดื่มชาสัจธรรมเข้าไปแล้วผลที่ได้ไม่ดี ขณะที่เหมยซู่เหยา กับอวี่เชียนเสวียนสองคนที่สามารถสำแดงพลังของชาสัจธรรมได้อย่างแท้จริง สามารถสำแดงพลังของชาสัจธรรมได้อย่างเต็มที่ ทำให้สามารถอาศัยอำนาจของชาสัจธรรมทำการตระหนักรู้ในสัจธรรมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ความจริงแล้ว ผู้คนจำนวนมากกลับไม่รู้ว่า นั่นเป็นเพราะการตระหนักรู้ในสัจธรรมของหลี่ชิเย่อยู่เหนือกว่าเหมยซู่เหยา อวี่เชียนเสวียน และหลิวจินเซิ่นไปมากทีเดียว
การที่หลิวจินเซิ่นมีปฏิกิริยาไม่ชัดเจนเท่ากับอวี่เชียนเสวียน และเหมยซู่เหยานั้น เป็นเพราะเขามีความแข็งแกร่งยิ่งทีเดียว เมื่อมาอยู่ในระดับเช่นนี้แล้ว อย่าว่าแต่เหมยซู่เหยาเลย ต่อให้เป็นอวี่เชียนเสวียน เมื่อเทียบกับเขาก็มีช่วงความห่างอย่างชัดเจน
เหมยซู่เหยา และอวี่เชียนเสวียนนั้นมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศในหล้า อีกทั้งด้านการบำเพ็ญเพียรก็ห่างชั้นและฝึกมาไม่นานเท่ากับหลี่ชิเย่ และหลิวจินเซิ่น ดังนั้น หลังจากดื่มชาสัจธรรมแล้วเรียกได้ว่า พวกนางได้รับประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว ทำให้พวกนางตระหนักสรรพวิชา สามารถสื่อสารทางจิตกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้
“วานรได้แก้ว” เทพบุตรซือจงเห็นว่าหลังจากหลี่ชิเย่ดื่มชาสัจธรรมไปแล้วไม่มีผลอะไร จึงส่งเสียงฮึเบาๆ พูดเสียงแผ่วเบาว่า “เสียดายน้ำชาดีๆ ไป”
แน่นอน คำพูดของเทพบุตรซือจงก็เป็นคำพูดที่ปวดใจ จะอย่างไรเสียเขาก็ไม่มีโอกาสได้ดื่มชาดีๆ เช่นนี้ได้
“นั้นสิ” มีนักศึกษาของหอศักดิ์สิทธิ์ก็พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ดื่มน้ำชาดีๆ เข้าไปมากมายแล้วยังไม่มีผลอะไร นับว่าสิ้นเปลืองมากจริงๆ”
แน่นอนที่สุด บรรดานักศึกษาที่อยู่ตรงหน้าเหล่านี้ทำได้แค่รู้สึกเสียใจเท่านั้นเอง ภายในใจของพวกเขารู้สึกอิจฉาอย่างยิ่ง
ขณะนี้นายน้อยทะยานฟ้าได้ส่งเสียงฮึออกมาคำหนึ่ง หันหลังจะเดินจากไปทันที
“ใครนะที่พูดว่าจะแสดงความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง?” จังหวะที่นายน้อยทะยานฟ้ากำลังจะจากไป หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ศักดิ์สิทธิ์ลืมตาทั้งสองขึ้น กล่าวท่าทีเหนื่อยหน่ายขึ้นมา
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา นายน้อยทะยานฟ้าพลันมีสีหน้าที่ดูไม่จืดถึงขีดสุด ก่อนหน้านั้นเขาเคยไว้เช่นนี้จริงๆ ว่า ถ้าหากหลี่ชิเย่สามารถเก็บใบชาสัจธรรมชนิดสิบสองสายได้ เขาก็จะแสดงความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง
แรกทีเดียว สิ่งที่ทุกคนนึกไม่ถึงก็คือ การเก็บใบชาสัจธรรมสิบสองสายเป็นเรื่องของคนเพ้อฝัน เวลานี้หลี่ชิเย่กลับสามารถทำได้แล้ว
ดังนั้น กล่าวได้ว่า หน้าตาของนายน้อยทะยานฟ้าดูไม่ได้เลย ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมากเขาไม่อาจไม่รักษาคำพูด จะอย่างไรเสียเขามีชื่อเสียงที่โด่งดัง หากไม่รักษาคำพูดก็จะทำให้ชื่อเสียงของเขาต้องเสียหายไป
“ยังไม่รีบแสดงความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้งอีก” หลี่ชิเย่สั่งการออกมาเรียบเฉย “ลูกผู้ชายอกสามศอก ต้องยอมรับความพ่ายแพ้”
“ตกลง เกมนี้ข้าแพ้แล้ว” นายน้อยทะยานฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง หมอบกราบลงกับพื้น สามารถแสดงความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้งได้จริงๆ กราบคารวะต่อหลี่ชิเย่
แม้ว่าภายในใจของนายน้อยทะยานฟ้าจะไม่ยินยอมอย่างยิ่ง กระทั่งออกจะโกรธเสียด้วยซ้ำ แต่ทว่า จะอย่างไรเสียเขาก็มีชาติกำเนิดเป็นถึงผู้สืบทอดที่มาจากหนึ่งสำนักห้าเซียนหวัง ข้อนี้เขายังคงสามารถทำได้ตามที่ลั่นวาจาเอาไว้ กล้าได้กล้าเสีย ไม่เหมือนเช่นบุคคลบางส่วนที่เรียกตัวเองว่าเป็นอัจฉริยะบุคคล แต่ไม่สามารถทำได้แบบกล้าได้กล้าเสีย
ดังนั้น เมื่อนายน้อยทะยานฟ้าแสดงท่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้งนั้น กลับทำให้นักศึกษาจากจวนราชันส่วนหนึ่งต้องยกนิ้วโป้งขึ้นมาอย่างลับๆ และรู้สึกว่านายน้อยทะยานฟ้าเป็นคนที่พูดได้ทำได้ มีความเป็นชายชาตรี มีความรับผิดชอบ
“อย่างนี้ถือว่าไม่ทำให้พรรคทะยานฟ้าต้องเสียหน้า” หลี่ชิเย่พยักหน้าเมื่อมองเห็นท่าทีที่แสดงความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง โบกมือและกล่าวว่า “ไปเถอะ หากเจ้าไม่พอใจ สามารถท้าสู้กับข้าได้ทุกเวลา”
นายน้อยทะยานฟ้าส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา ไม่ต้องการกล่าวให้มากความอีก หันหลังจากไปทันที เกมนี้เข้าพ่ายแพ้อย่างหมดรูปแล้วจริงๆ
แม้นายน้อยทะยานฟ้าจะพ่ายแพ้อย่างราบคาบ แต่ว่าความหยิ่งทระนงของเขายังคงอยู่ เขาไม่ได้เพียงเพราะพ่ายแพ้เกมนี้แล้วก็บังเกิดความกลัวต่อหลี่ชิเย่ ภายในใจของเขายังคงแข็งแกร่งมาก สักวันหนึ่งเขาต้องเอาคืนให้ได้อย่างแน่นอน
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เมื่อถูกสยบด้วยพลังยิ่งใหญ่เช่นนี้จากหลี่ชิเย่แล้ว เกรงว่าจากนี้ต่อไปเมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่แล้วก็จะบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ แต่ว่า นายน้อยทะยานฟ้ากลับไม่เป็นเช่นนั้น กระทั่งกล่าวได้ว่าเขานั้นยิ่งพ่ายแพ้ยิ่งกล้าหาญ ในใจของเขาตัดสินใจแล้วเงียบๆ คงมีสักวันเขาจะต้องเอาชนะหลี่ชิเย่ให้ได้
หลังจากที่นายน้อยทะยานฟ้าจากไปแล้ว ยุวกษัตริย์หกกระบี่ และเทพบุตรซือจงก็จากไปเช่นกัน
นักศึกษาคนอื่นๆ เมื่อเห็นว่าสามเทพบุตรสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างทยอยจากไปแล้ว พวกเขารู้สึกว่ามัวยืนน้ำลายหกอยู่ตรงนี้ต่อไปก็ไม่มีความหมาย จึงทยอยจากไปเช่นกัน
เวลานี้ สถานที่ตรงนี้ได้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ที่ตรงนี้คงไว้เพียงแค่พวกของหลี่ชิเย่ที่อยู่ใต้ต้นชาสัจธรรมเท่านั้น
หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก พวกของเหมยซู่เหยาต่างทยอยกันเก็บงำประกายและได้สติคืนกลับมา ในขณะนี้ผลที่เหมยซู่เหยา และอวี่เชียนเสวียนได้รับนั้นชัดเจนมาก ทั้งเหมยซู่เหยาและอวี่เชียนเสวียนสองคนต่างมีดวงตาที่เจิดจ้า เสมือนหนึ่งเป็นดวงตาแห่งสัจธรรม สามารถมองทะลุเมฆหมอกของสัจธรรมได้ทั้งหมดอย่างนั้น
“ขอบคุณคุณชาย วันนี้ได้รับดอกผลมาอย่างงาม เชียนเสวียนอยากจะกลับไปกักตนสักหน่อย” เวลานี้อวี่เชียนเสวียนลุกขึ้นยืนเอ่ยขึ้นและโค้งคำนับให้กับหลี่ชิเย่ด้วยบุคลิกลักษณะอันมีเสน่ห์ยิ่ง
“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “จวนกู่มีชาเซียนชั้นเลิศมากมาย สิ่งนี้เป็นเพียงช่วยเพิ่มเติมสิ่งที่ดีให้กับสิ่งที่ดีอยู่แล้วเท่านั้นเอง”
“โอกาสย่อมหาได้ยาก ควรคู่ให้เชียนเสวียนไปทะนุถนอมมัน” อวี่เชียนเสวียนยิ้มนุ่มนวล บุคลิกอันมีเสน่ห์ของนางทำให้ผู้พบเห็นต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหล ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ใฝ่ฝันถึงทุกคืนวัน
“ตาเฒ่าของจวนกู่มีสายตาแหลมคม” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “ในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่เจ้าไม่เห็นจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด และไม่เห็นเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงที่สุด แต่ความประพฤติและคุณธรรมแข็งแกร่งดั่งเหล็กหิน จวนกู่ก็นับว่าเลือกถูกคนแล้ว”
“ขอบคุณคุณชายที่ชม” อวี่เชียนเสวียนที่ใจกว้างดั่งหุบเขา ยิ้มแต่ไม่ขาดซึ่งความเคารพ
ในที่สุด อวี่เชียนเสวียนได้อำลาและล่องลอยจากไปด้วยบุคลิคที่ยากจะหาผู้ใดเทียม เหมือนหนึ่งเป็นเทพธิดาบนเมฆา ไปมาล้วนแล้วแต่เหลือไว้ซึ่งร่างเงาที่งดงามที่สุดเอาไว้
“คุณชาย ข้าก็คิดจะไปเดินเล่นบ้าง” หลังจากที่อวี่เชียนเสวียนจากไปแล้ว เหมยซู่เหยาก็เอ่ยขึ้นมาบ้าง เดิมนางก็มีกระดูกเซียนบนหน้าผากอยู่แล้ว ซึ่งสามารถแปลงเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย กระทั่งถึงความลึกซึ้งพิสดารของมัน ในขณะนี้หลังจากที่นางได้ดื่มชาสัจธรรมไปแล้ว ยิ่งรู้สึกได้ว่าจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนนั้นสว่างจ้า รับรู้ได้ถึงความลึกซึ้งพิสดารของสวนชาทั้งหมด เสมือนหนึ่งตนเองนั้นแค่ยกเท้าก็สามารถก้าวเข้าไปยังต้นกำเนิดสัจธรรมของสวนชาได้ สามารถตระหนักรู้ถึงความลึกซึ้งพิสดารของสัจธรรมได้ทุกเวลา
หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “แม้ว่าสวนชาจะยอดเยี่ยม แต่ยังไม่ใช่ยอดเยี่ยมที่สุด กลับไปเถอะ กลับไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า เจ้าจะได้รับดอกผลมากยิ่งกว่าเสียอีก เจ้าจะพบว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้ว สวนชาก็แค่โลกใบเล็กๆ เท่านั้นเอง สถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างหากที่เป็นโลกที่ยิ่งใหญ่ไม่มีสิ้นสุด มันจะยิ่งทำให้เจ้าได้รับดอกผลมากขึ้นไปอีก นี่ก็เป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรนังหนูเชียนเสวียนจึงต้องรีบเร่งกลับไปกักตน”
เมื่อได้รับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่ เหมยซู่เหยารู้สึกดีใจรีบทำความคารวะ และกล่าวว่า “ซู่เหยาจะไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากที่อวี่เชียนเสวียน และเหมยซู่เหยาจากไปแล้ว หลี่ชิเย่มองดูหลิวจินเซิ่นที่นิ่งเงียบ และยิ้มกล่าวว่า “สัจธรรมลึกซึ้งพิสดาร บางคนมักจะสามารถมองทะลุได้เพียงแค่แวบเดียว บางคนต้องทำความบรรลุอย่างยากลำบาก นี่ก็คือเหตุผลว่าเพราะอะไรผู้ที่เป็นอัจฉริยะบุคคลถึงได้หยิ่งผยอง จะอย่างไรเสียความสำเร็จนั้นได้มาง่ายดายเหลือเกิน”
“อาจารย์พูดได้ถูกต้อง” หลิวจินเซิ้นพยักหน้า และพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ข้าเองก็เป็นคนที่โง่เขลาคนหนึ่ง เหตุผลบางอย่างต้องทำความบรรลุเป็นหมื่นปีจึงจะตระหนักรู้”
“ถ้าหากเจ้าเป็นคนที่โง่เขลา เกรงว่าคิดจะหาคนที่ฉลาดออกมาสักคนก็คงยากแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
“อาจารย์กล่าวชมเกินไปแล้ว” หลิวจินเซิ่นหัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่งและกล่าวว่า “แม่นางเชียนเสวียนกับแม่นางซู่เหยาก็คือสุดยอดบุคคลในหล้าของยุคนี้ พรสวรรค์ของพวกนางสุดยอดในหล้ายากจะหาผู้ใดเทียม หาใช่ข้าสามารถเทียบเคียงได้”
“หากจะว่ากันถึงเรื่องพรสวรรค์ ไม่เห็นพวกนางจะเหนือกว่าเจ้าขณะยังหนุ่มแน่นสักเท่าไร” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและกล่าวว่า “เพียงแต่พวกนางเกิดในยุคสมัยนี้ พบเจอถูกคน พวกนางเข้าใจว่าฟ้าดินนั้นสูงและกว้างใหญ่เพียงใด”
“นั่นสิ ความไม่รู้ก็คือเรื่องที่มีความสุขอย่างหนึ่ง และก็เป็นเรื่องที่โง่เขลาอย่างหนึ่ง เมื่อเจ้าไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด จะไม่รู้ว่าฟ้าดินสูงและกว้างใหญ่เพียงใด” หลิวจินเซิ่นถึงกับทอดถอนใจออกมา และกล่าวว่า “ในอนาคต โชคชะตาของแม่นางซู่เหยาและแม่นางเชียนเสวียนเกรงว่าคงอยู่เหนือกว่าข้ามาก”
“เจ้าเองก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวตามอารมณ์ขึ้นมาว่า “ในอนาคตไม่แน่นักเจ้าเองก็มีโอกาสขึ้นสู่จุดสูงสุด เรื่องบางเรื่องก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
“ขอบคุณอาจารย์ที่ให้เกียรติและคอยปกป้อง” หลิวจินเซิ่นหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “หากก่อนหน้านี้หนึ่งหมื่นปี บางทีข้าอาจยังคงมีความมั่นใจเช่นนี้ เวลานี้แก่แล้ว สังขารไม่อาจทนต่อไปได้อีก เกรงว่าข้าคงสุดอยู่เพียงเท่านี้แล้ว เมื่อได้พบเห็นจุดสูงสุดแล้วจึงจะเข้าใจว่า จุดสูงสุดมีช่วงห่างมากน้อยเช่นใด ซึ่งช่วงห่างดังกล่าวหาใช่แค่ก้าวสองก้าวก็สามารถก้าวข้ามไปได้อยู่แล้ว”
“น่าเสียดาย ศิษย์ไม่ได้พบเจออาจารย์ก่อนหน้านั้น” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ หลิวจินเซิ่นได้ทอดถอนใจออกมาอยู่บ้าง
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “มันก็ไม่แน่หรอกนะ ถ้าหากพบกับข้าขณะเจ้ายังหนุ่มแน่นอยู่ ไม่แน่นักอาจถูกข้าสังหารไปนานแล้ว”