ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2108 โลกนี้มีเซียนหรือไม่
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2108 โลกนี้มีเซียนหรือไม่
โลกดึกดำบรรพ์กลายเป็นเงียบสงัด ทั่วทั้งโลกกลับกลายเป็นเงียบสงบอย่างยิ่ง แต่ว่า ความสงบในเวลานี้หาใช่เป็นความกดดันก่อนเกิดสงครามก่อนหน้านั้น ความสงบในเวลานี้ดูจะเงียบสงัดเป็นพิเศษ เหมือนว่าทุกอย่างล้วนอยู่ในความหลับใหลอย่างนั้น
เวลานี้สถาบันศึกษาเทพเจ้าสงบเงียบมาก ท่ามกลางความสงบเงียบดูเงียบสงบยิ่ง เหมือนว่าทุกคนล้วนแล้วแต่หลับไหลเข้าสู่ความฝันตั้งแต่ยามเที่ยงคืน
มีเพียงเสียงเดียวก็คือเสียงของสวรรค์ลงทัณฑ์ที่ส่งเสียงเปรี๊ยะเปรี๊ยะผ่าลงมาจากบนท้องฟ้า และผ่าลงบนผนังหินนั้น ทำการหล่อเลี้ยงลวดลายเต๋าแต่ละเส้น
กล่าวสำหรับสวรรค์ลงทัณฑ์โดยปรกติแล้วนับเป็นเรื่องที่น่ากลัวยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับจอมราชันเซียนหวัง ทำให้สีหน้าต้องเปลี่ยนไปพลันที่มีการเอ่ยถึง
แต่ว่าเวลานี้สวรรค์ลงทัณฑ์ลงมาจากฟากฟ้ากลับเคียงข้างทุกคนในสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้เข้าสู่การนิทราที่แสนหวาน เหมือนว่าสวรรค์ลงทัณฑ์ที่ลงมาจากฟากฟ้านี้ได้กลายเป็นสายน้ำและน้ำตกของสถาบันศึกษาเทพเจ้าไปแล้วอย่างนั้น ทุกคนยังคงหลับได้อย่างสงบ นอนได้อย่างสบายใจ
ภายในโลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้มีสัตว์ขนาดยักษ์และสัตว์ปีกดุร้ายอยู่เป็นจำนวนมาก พวกมันคือผู้บงการของโลกนี้โดยแท้จริง พวกมันคือเจ้าของของโลกนี้ แต่ทว่าเวลานี้สัตว์ยักษ์สัตว์ปีกดุร้ายล้วนแล้วแต่หายไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาต่างหลบซ่อนตัวเข้าไปอยู่ในรังที่ลึกเข้าไปมากที่สุด
กล่าวสำหรับสัตว์ขนาดยักษ์และสัตว์ปีกดุร้ายของโลกดึกดำบรรพ์เวลานี้ อย่าว่าแต่ให้พวกมันเป็นฝ่ายริเริ่มโจมตีสถาบันศึกษาเทพเจ้าเลย การที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ล่าสังหารพวกมันหละก็ พวกมันก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว
สถาบันศึกษาเทพเจ้าดูเงียบสงบเป็นพิเศษ กล่าวได้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าในเวลานี้ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีใครคิดหาเหตุอะไรกับสถาบันศึกษาเทพเจ้า หลังจากศึกในครั้งนี้แล้ว เรียกได้ว่าเป็นการสร้างสถาบันศึกษาเทพเจ้าให้มีรากฐานมั่นคงเป็นสายตรงโดยพื้นฐานของร้อยชาติพันธุ์
โลกดึกดำบรรพ์ก็ได้รับความเสียหายอย่างหนักจากศึกในครั้งนี้ พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลถูกทำลาย แต่ทว่าโลกดึกดำบรรพ์มีพลังที่ลึกลับและแข็งแกร่ง แม้ว่าพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลถูกทำลายจนแตกละเอียดไปแล้ว แต่ว่า มันกำลังค่อยๆ ซ่อมแซมฟื้นฟูพื้นที่ที่แตกละเอียดนี้อย่างช้าๆ คงมีสักวันที่โลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้จะกลับคืนสู่สภาพเดิมที่ควรจะเป็นของมัน
ท่ามกลางความเงียบสงบไปทั่วทั้งโลกดึกดำบรรพ์ หลี่ชิเย่ได้นำหวงหลงและป้าหู่ก้าวสู่หมายกำหนดการเดินทางที่ลึกเข้าไปภายในโลกดึกดำบรรพ์ส่วนที่ลึกที่สุด พวกเขามุ่งหน้าเข้าไปยังจุดหมายปลายทางอย่างสะดวกโยธิน
ด้วยความเร็วของพวกหลี่ชิเย่เรียกได้ว่าหนึ่งก้าวสามารถก้าวข้ามฟ้าดินได้ แต่ว่าพวกเขาไม่ได้รีบเร่ง พวกเขาก้าวเดินไปช้าๆ เก็บเอาภาพที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้เอาไว้ในสายตาทั้งหมด
ขณะที่พวกเขาก้าวข้ามพื้นที่ เคยมองเห็นสัตว์ขนาดยักษ์และสัตว์ปีกดุร้ายจำนวนนับไม่ถ้วน มองเห็นวานรยักษ์ที่แข็งแกร่งดุจขุนเขาตัวหนึ่ง ด้วยลักษณะของวานรยักษ์เช่นนี้ซึ่งมีพละกำลังที่จะถอนหรือเคลื่อนย้ายภูเขาได้สบายๆ เมื่อมันมองเห็นพวกของหลี่ชิเย่ที่ก้าวเดินมาแต่ไกล ก็รีบมุดเข้าไปในถ้ำลึกของตนไม่กล้าออกมาอีกเลย
พวกเขายังได้เห็นงูเหลือมยักษ์ที่ดูเหมือนเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง มันยึดครองผืนดินด้วยท่าทีสบาย บรรดาสัตว์บกสัตว์ปีกมากมายล้วนไม่กล้าเข้าไปใกล้ แม้ว่างูเหลือมยักษ์ที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่มาแต่ไกล มันก็ค่อยๆ เลื้อยจมลงสู่ก้นทะเลช้าๆ โดยไม่มีซุ่มเสียง และไม่กล้าโผล่ออกมาอีก
พวกเขายังเคยมองเห็นเหยี่ยวขนาดยักษ์ที่คล่องแคล่วว่องไว ยามที่มันกังปีกสองข้างออกสามารถปิดกั้นท้องนภาและสุริยัน อ้าปากกลืนกินสิ้นทุกสิ่ง น่ากลัวถึงขีดสุด แต่ทว่า เมื่อหลี่ชิเย่มาถึง เหยี่ยวที่คล่องแคล่วว่องไวและน่ากลัวยิ่งตัวนี้กระทั่งส่งเสียงร้องออกมายังไม่กล้า รีบทะยานหนีขึ้นไปยังจักรวาลนั่น
……
บรรดาสัตว์ขนาดยักษ์และสัตว์ปีกดุร้ายท่ามกลางโลกดึกดำบรรพ์แห่งนี้นับว่าน่ากลัวมากโดยแท้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่พบเห็นแล้วต้องตกใจจนร่างสั่นเทา แต่ทว่า ที่น่ากลัวอย่างแท้จริงนั้นหาใช่พวกมันที่เป็นสัตว์ขนาดยักษ์และสัตว์ปีกดุร้ายเหล่านี้แต่เป็นหลี่ชิเย่ เส้นทางที่หลี่ชิเย่ก้าวผ่านไป ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ขนาดยักษ์และสัตว์ปีกดุร้ายใดๆ ที่ทรงพลังและน่ากลัวกว่านี้ก็ต้องวิ่งหนีไปไกล หลบซ่อนตัวอยู่ในรังของตน หรือหมอบอยู่กับพื้นหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงก แม้ว่าหลี่ชิเย่จะเดินจากไปไกลแล้วพวกมันก็ยังไม่กล้าลุกขึ้นมา
หลี่ชิเย่นั่นแหละคือความน่ากลัวที่แท้จริง เขาก้าวเดินอยู่ท่ามกลางโลกดึกดำบรรพ์ บงการไปทั่วทั้งโลกดึกดำบรรพ์ ไม่ว่าจะเป็นสรรพสิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตาม จะต้องหมอบอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา เขาคือผู้ที่ได้รับการเคารพสูงสุด เป็นจ้าวที่มีฐานะสูงสุด!
สัญชาตญาณของสัตว์ขนาดยักษ์และสัตว์ปีกดุร้ายไวกว่าผู้บำเพ็ญตนใดๆ ทั้งสิ้น ยามที่หลี่ชิเย่ก้าวเดินเข้ามา บรรดาสัตว์ขนาดยักษ์และสัตว์ปีกดุร้ายทั้งหมดจึงได้รู้ว่าใครคือจ้าวผู้มีอำนาจสูงสุด
“ฉายา ‘คนโหดอันดับหนึ่ง’ ของท่านสมดังคำเล่าลือจริงๆ สัตว์ดุวิหคร้าย หรือคนโหดมารร้ายใดๆ ในโลกล้วนแล้วแต่ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง” ป้าหู่ถึงกับทอดถอนใจและยิ้มกล่าว เมื่อเห็นสัตว์ขนาดยักษ์และสัตว์ปีกดุร้ายทั้งหมดล้วนแล้วแต่ตกใจจนหมอบอยู่กับพื้น
แม้ว่าคำพูดของป้าหู่จะมีท่าทีล้อเล่นอยู่เจ็ดส่วน แต่ที่พูดมาก็เป็นความจริง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ดุวิหคร้ายใดๆ เมื่อเทียบกับคนโหดอันดับหนึ่งแล้วเรียกได้ว่าอ่อนจนสุดเปรียบเปรย อะไรคือจ้าวผู้สูงส่ง อีกาทมิฬนั่นแหละคือจ้าวผู้สูงส่ง!
“ข้าคือจ้าวในบรรดาเหล่าสรรพสัตว์ เนื่องจากข้าคืออีกาทมิฬ ข้าเป็นผู้สูงส่งของหมื่นเผ่าพันธุ์ เนื่องจากข้าคือปรมาจารย์!” หลี่ชิเย่หัวเราะกล่าว แม้ว่าคำพูดนี้เป็นการล้อเลียนตัวเอง แต่ก็เปี่ยมด้วยความพาล ในโลกนี้ก็คงมีเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดคำพูดที่พาลเช่นนี้ออกมาได้
หวงหลงเองก็ต้องทอดถอนใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ในยุคสมัยนี้ไม่มีใครสามารถขัดขวางการก้าวเดินของหลี่ชิเย่ได้อีกแล้ว แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดก็เป็นเช่นนี้!
คร๊ากก คร๊ากก คร๊ากกในขณะที่พวกของหลี่ชิเย่ก้าวเดินไปข้างหน้านั้น โลกดึกดำบรรพ์ได้ปรากฎเสียงกลิ้งเคลื่อนไหวของหินและไม้ดังขึ้นเป็นระลอก นั่นเป็นเพราะโลกดึกดำบรรพ์กำลังซ่อมแซมผืนแผ่นดินของตน ผืนแผ่นดินที่แตกร้าวค่อยๆ ประสานกลับดังเดิม
“นี่เป็นโลกที่มหัศจรรย์จริงๆ” หวงหลงที่มองเห็นโลกดึกดำบรรพ์กำลังซ่อมแซมผืนแผ่นดินที่แตกละเอียดอยู่ ถึงกับทอดถอนใจออกมาว่า “ได้รับความเสียหายหนักขนาดนี้ ยังคงสามารถฟื้นสภาพตัวเองได้”
“นี่คือแกนกลางของยุคสมัยๆ หนึ่ง เฉกเช่นไกลกันดารเป็นต้น” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ในยุคสมัยของพวกเขา โลกดึกดำบรรพ์กว้างกว่านี้เสียอีก ไม่รู้ว่ากว้างขวางกว่ากันมากมายเท่าไร กระทั่งอาจเป็นไปได้ว่ากว้างกว่าสิบสามทวีปและเก้าแดนรวมกันในวันนี้เสียอีก โลกใบนี้ของพวกเราในเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นส่วนที่หลงเหลืออยู่แล้วหละ โลกที่หลงเหลือเช่นนี้หากอยู่ในยุคสมัยของพวกเราหละก็ มันคือแผ่นดินเซียนพื้นที่ยอดเยี่ยมแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นแผ่นดินวิเศษทั้งสิ้น…”
“…ดังนั้น การที่แผ่นดินวิเศษเช่นนี้สามารถซ่อมแซมตนเองได้ก็ไม่นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์” หลี่ชิเย่มองไปยังที่ที่ห่างไกล ยิ้มกล่างเฉยเมยว่า “มิฉะนั้นแล้ว ราชันเซียนเฟยและราชันเทพจงหนานในครั้งนั้น คงไม่สร้างสถาบันเทพเจ้าเอาไว้ที่ตรงนี้”
ทั้งหวงหลงและป้าหู่ถึงกับพยักหน้า ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นราชันเซียนเฟย และราชันเทพจงหนาน มีสิ่งที่เรียกว่ามองการณ์ไกลที่พวกเขาไม่มี
“เพราะอะไรโลกดึกดำบรรพ์ที่อยู่นอกแดนแห่งการสืบค้นยังคงรักษาไว้ซึ่งความเป็นโลกที่เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา โดยไม่ได้ถูกทำลายเล่า?” ป้าหู่ไม่เข้าใจ ย่อมไม่ต้องสงสัย โลกดึกดำบรรพ์ไม่ถือว่าอยู่ในยุคสมัยของพวกเขา แต่มันกลับสามารถหลงเหลือบางส่วนเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่เหมือนเช่นไกลกันดารที่กลายเป็นพื้นที่ที่ตายไปแล้ว
“นี่คือปริศนา เป็นปริศนาที่ไม่ได้รับการเฉลย ที่ตรงนี้ได้ซ่อนเร้นความสูงส่งสุดที่ผู้คนบนโลกจะสามารถจินตนาการได้ เป็นต้นว่าเรื่องเซียน” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
“บนโลกมีเซียนอยู่จริงรึ?” หวงหลงและป้าหู่ทั้งสองถึงกับมองตากันและกัน รู้สึกหวั่นไหวในใจ
เรียกได้ว่า ทั้งหวงหลงและป้าหู่ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่ผ่านเรื่องราวสำคัญๆ มานับไม่ถ้วน ถ้าหากจะพูดถึงเซียนหละก็ พวกเขายังไม่เคยได้พบเห็นเซียนที่แท้จริง ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสาย นั่นมันก็ไม่ใช่เซียน
เซียน…ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่กลับกลายเป็นลำล้ำยิ่งนัก มองไปยังสถานที่ที่ห่างไกลออกไป เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “บางที ในโลกนี้อาจไม่มีเซียน แต่ไม่ได้หมายความว่าโลกอีกโลกหนึ่งไม่มีเซียน หากจะมีเซียนอยู่จริง บางทีไม่ถือเป็นโลกมนุษย์ของพวกเรา”
“แล้วเซียนนี่มีลักษณะเช่นใด?” ภายในใจของหวงหลงและป้าหู่ถึงกับก่อเกิดเป็นคลื่นขึ้นมา หัวข้อสนทนาเช่นนี้เรียกได้ว่าเกี่ยวพันถึงปริศนาที่เป็นนิรันดร์
โลกมนุษย์มีซียนหรือไม่ เป็นหัวข้อที่มีการถกกันมาของผู้คนจำนวนมากในพันล้านปีที่ผ่านมา ความจริงแล้วแม้แต่จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายก็ตามหาสิ่งนี้กันอย่างจริงจังมั่นคง
“เซียนจะเป็นอย่างไรได้?” หลี่ชิเย่หัวเราะออกมา และกล่าวว่า “ก็เหมือนเช่นพวกเรานั่นแหละ มีอารมณ์ความรู้สึกและความปรารถนาเฉกเช่นมนุษย์ปุถุชนทั่วไป การดำรงอยู่บนโลก ไม่มีใครสามารถหลุดพ้นตัวเองไปได้”
“เซียนนั้นแข็งแกร่งไปถึงระดับไหนกัน?” แม้แต่ป้าหู่ที่มีนิสัยชอบเอาชนะ เมื่อเอ่ยถึงเซียนดูจะระมัดระวังตัวมาก ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสาน
กล่าวสำหรับบนโลกแล้ว ชะตาฟ้าสิบสองสายนับว่าแข็งแกร่งพอแล้วกระมัง และผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดก็แข็งแกร่งพอแล้วสิ แต่ว่า บรรดาผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นนี้เมื่อเทียบกับเซียนแล้ว ดูเหมือนกลับกลายเป็นอ่อนแอยิ่ง
“บางที สักวันหนึ่งพวกเจ้าอาจได้มองเห็นว่าเซียนนั้นมีความแข็งแกร่งหรือไม่อย่างไร” ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ดูลึกล้ำ มองไปยังสถานที่ที่ห่างไกล เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แต่ว่า หากจะสามารถรับรู้ถึงเซียนได้อย่างแท้จริงหละก็ ต้องเริ่มต้นจากการมีชะตาฟ้าสิบสองสาย มีสิบสองชะตาฟ้าเป็นธรณีประตู!”
“พูดเช่นนี้ แสดงว่าโลกนี้มีเซียนอยู่จริงๆ?” ทั้งหวงหลงและป้าหู่ต่างรู้สึกสะเทือนอย่างแรงภายในใจ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เนื่องจากไม่เคยมีใครตัดสินเด็ดขาดได้ว่าโลกนี้มีเซียนดำรงอยู่หรือไม่ ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายก็ไม่กล้าตัดสินเด็ดขาด!
“โลกนี้ไม่มีเซียน” หลี่ชิเย่เพียงตัดสินเรียบเฉยออกมาเย่างนี้ กล่าวเรียบๆ ว่า “อย่างน้อยที่สุดโลกของพวกเราไม่มี แต่ว่า สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอย่างอื่น เป็นต้นว่าสิ่งของบางอย่างทที่ชาวโลกไมม่สามารถเข้าใจและจินตนาการได้”
“นอกเหนือจากสิบสองทวีปแล้ว ยังมีสิ่งที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงกว่านี้อีกหรือไม่?” หวงหลงนั้นเป็นคนละเอียดมาก พลันจับคำพูดที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยมของหลี่ชิเย่ได้ ถึงกับกล่าวว่า “เป็นต้นว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ในความมืด!”
ย่อมไม่ต้องสงสัยถึงความแข็งแกร่งของผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืด พวกเขาต่างประจักษ์ด้วยตาของตนเอง ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ภายในใจของหวงหลงเกิดความคิดเช่นนี้
“จำไว้ให้ดี ราชันเซียนก็ดี เซียนหวังก็ช่าง และหรือจอมราชัน” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “พวกเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด จะอย่างไรเสียก็คือผู้ดำรงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่สุด!”
“แต่ว่า สิ่งนี้ก็คือธรณีประตูหนึ่งเหมือนกัน!” ป้าหู่พลันนึกถึงอะไรมากมาย เป็นต้นว่าในเก้าแดน ราชันเซียนคือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุด
เมื่อมาถึงแดนสิบ ราชันเซียนหาใช่เพียงหนึ่งเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าราชันเซียนไม่แข็งแกร่งพอ ความจริงแล้ว ราชันเซียนก็ดี จอมราชันก็ช่าง ต่างก็ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งที่สุด
เพียงแต่ราชันเซียนคือธรณีประตูหนึ่ง ถ้าหากเจ้าไม่ใช่กระทั่งราชันเซียน ก็จะไม่สามารถก้าวไปถึงจุดสูงสุดได้ ต่อให้เจ้าเป็นถึงเทพโบราณไปแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงไม่เพียงพอที่มีมาแต่กำเนิด
“ถูกต้อง นี่คือธรณีประตู เจ้าสามารถมองว่ามันคือบัตรผ่านประตูใบหนึ่ง เป็นบัตรผ่านประตูที่ช่วยให้เจ้าได้เปิดโลกที่ใหม่ทั้งหมดโลกหนึ่ง ขณะที่บัตรผ่านประตูใบนี้เป็นสิ่งที่เทพโบราณไม่มี แต่จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายกลับมีได้!” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
“หรือว่าเหนือสิบสองชะตาฟ้าขึ้นไปยังคงมีระดับที่สูงกว่าอีกรึ?” ป้าหู่ถึงกับเอ่ยถามขึ้นมา “แต่ว่า ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ายังมีการบำเพ็ญเพียรอื่นใดที่อยู่เหนือสิบสองชะตาฟ้าขึ้นไป!”
“ในอดีตเจ้าก็ไม่เคยพบเห็นสิบสามลัคนามาก่อน อย่างนั้นก่อนที่จะได้พบกับข้า” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
……………………….