ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2150 มรดก
เผิงเวยจิ่นที่คุกเข่าอยู่กับพื้นในเวลานี้มีสีหน้าที่ซีดเผือด ขาทั้งสองข้างสั่นเทา เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าคนรับใช้ที่อยู่ตรงหน้าถึงกับเป็นราชินีปลอมตัวมา
เวลานี้เผิงเวยจิ่นถึงกับสั่นเทิ้ม เมื่อนึกได้ว่าตัวเองเพิ่งจะด่านางว่า ‘คนรับใช้ชั้นต่ำ’ ซึ่งเป็นโทษประหารทั้งตระกูล ต่อให้ไม่ประหารบ้านตระกูลเผิงของพวกเขา เกรงว่าตัวเขาก็ต้องถูกลากตัวออกไปตัดหัว
“พระนาง โปรดไว้ชีวิตด้วย!” เวลานี้เผิงเวยจิ่นถึงกับโขกศีรษะพร้อมกับร้องออกมา
หวังหานมองเผิงเวยจิ่นด้วยสายตาเย็นชาแวบหนึ่ง นี่จะเป็นการขจัดอิทธิพลร้าย นางขี้คร้านจะไปสนใจเขา เพียงจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่เท่านั้นเอง
สายตาของหลี่ชิเย่ในเวลานี้ยังคงตกอยู่กับหินที่อยู่ในมือก้อนนั้นเท่านั้น เขาข้คร้านจะไปมองหน้าเผิงเวยจิ่นสักแวบด้วยซ้ำ จังหวะที่หวังหานจ้องมองมานั้น เขาเพียงโบกมือและกล่าวเฉยเมยว่า “ตบปาก!”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่จำเป็นต้องให้หวังหานลงมือด้วยตนเอง หยางเซิ่นผิงทำแทนก็พอแล้ว มองเห็นหยางเซิ่นผิงถลกแขนเสื้อขึ้น มองดูเผิงเวยจิ่นด้วยท่าทีเย็นชาว่า “นายน้อยบ้านตระกูลเผิง คุณชายและพระนางนับว่ากรุณาเป็นพิเศษแล้ว ถือว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้แล้ว!” ขาดคำใช้มือบีบคางของเผิงเวยจิ่นเอาไว้
เพียะ เพียะ เพียะ…ในขณะนี้หยางเซิ่นผิงกดเผิงเวยจิ่นเอาไว้ แต่ละฝ่ามือได้ตบเข้าไปที่แก้มของเผิงเวยจิ่น เพียงไม่กี่ฝ่ามือก็ทำเอาใบหน้าของเผิงเวยจิ่นบวมแดงขึ้นมา เลือดไหลออกมาจากมุมปากไม่หยุด
เสียงเพียะ เพียะ เพียะที่ดังก้องอย่างยิ่ง ตบจนเลือดไหลออกจากมุมปากของเผิงเวยจิ่นตลอดเวลา แต่ว่าเผิงเวยจิ่นเวลานี้ไม่กล้าส่งเสียงร้องสักเอะ ไม่ลากตัวเขาออกไปตัดหัวเวลานี้ก็นับว่าบุญแล้ว
ผู้คนจำนวนมากยังไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น มองเห็นนายน้อยของบ้านตระกูลเผิงถึงกับคุกเข่ากับพื้น ถูกคนอื่นกดเอาไว้และตบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ทำเอาผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกตระหนก
เผิงเวยจิ่นถูกหยางเซิ่นผิงบีบปากและถูกฝ่ามือตบเข้าไปอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่าท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก สิ่งนี้กล่าวสำหรับเผิงเวยจิ่นแล้วมันคือความอัปยศอย่างใหญ่หลวง แต่ทว่า ต่อให้เป็นเรื่องที่น่าอัปยศยิ่งกว่านี้ย่อมดีกว่าต้องเสียชีวิต
เพียะ เพียะ เพียะ…ฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่าที่ตบไปที่ใบหน้าอย่างรุนแรง ผ่านไปกว่าสิบฝ่ามือ ทำเอาเผิงเวยจิ่นเลือดกลบปาก ฟันถูกตบจนแทบร่วงหมดปาก
หลี่ชิเย่มัวแต่พินิจพิเคราะห์หินก้อนที่อยู่บนมือนั่น ขณะที่หวังหานยืนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่เงียบๆ ขี้คร้านจะไปสนใจเผิงเวยจิ่นที่ถูกตบปากท่ามกลางสาธารณชน
ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับใจหายใจคว่ำเมื่อมองเห็นเผิงเวยจิ่นถูกตบปากอย่างรุนแรงเช่นนี้ ต่างไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“ของชิ้นนี้ข้าซื้อเอาไว้” สุดท้ายหลี่ชิเย่ได้สั่งการกับพนักงานขายของเรือนอัญมณี
พนักงานขายของเรือนอัญมณีไม่พูดมากความจัดการห่อให้เรียบร้อย ไม่จำเป็นต้องให้หลี่ชิเย่สั่งการ หวังหานจัดการควักเงินจ่ายให้ทันที เมื่อครู่นางได้เสนอราคาขึ้นไปถึงสิบล้าน นางยังคงจ่าไปสิบล้านโดยตรง กล่าวสำหรับนางแล้ว สิ่งนี้ไม่นับเป็นเรื่องอะไร
ลูกค้าจำนวนไม่น้อยของเรือนอัญมณีจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกว่าบ้าบิ่น เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ถึงกับทุ่มเงินสิบล้านซื้อก้อนหินที่ไม่สะดุดตาก้อนหนึ่ง แม้แต่พนักงานขายของเรือนอัญมณีก็รู้สึกว่ามันเป็นการบ้าบิ่น ราคานี้สูงขึ้นกว่าราคาเดิมเกือบสิบเท่า ลูกค้าที่มือเติบมากเพียงนี้นับว่าพบเห็นได้ยากเหลือเกิน
หลี่ชิเย่เก็บหินก้อนนี้เอาไว้โดยไม่ได้มอบให้กับหวังหานที่อยู่ข้างกาย จากนั้นหันหลังจากไปทันที
ขณะที่หลี่ชิเย่จากไปนั้น มีหวังหานและจูซือจิ้งที่ติดตามไปด้วย หยางเซิ่นผิงได้ตบหน้าเผิงเวยจิ่นอย่างแรงเข้าให้อีกหลายสิบทีแล้ว จึงติดตามพวกของหลี่ชิเย่จากไป
เผิงเวยจิ่นที่เลือดกบปากคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ถูกทำให้อับอายจนแทบอยากจะให้พื้นดินแตกเป็นช่องออกมา จะได้มุดหายตัวไปให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เผิงเวยจิ่นถึงกับต้องกำหมัดแน่นกระทั่งเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ เขาถึงกับกัดฟันกรอด ดวงตาทั้งสองพวยพุ่งปณิธานที่น่ากลัวออกมา เขาสามบานภายในใจว่า แค้นนี้จะต้องชำระให้ได้ หากไม่แก้แค้นนี้ไม่ขอเป็นคน เขาจะต้องให้ทุกคนที่สร้างความอัปยศให้เขาในวันนี้ต้องแลกด้วยค่าตอบแทน!
หลังจากที่หลี่ชิเย่กลับไปถึงที่พักแล้ว หลี่ชิเย่ได้สั่งการให้พวกเขาล่าถอยไป จากนั้นปิดกั้นช่องว่างเสีย ค่อยๆ หยิบก้อนหินก้อนนั้นที่เพิ่งได้มาจากเรือนอัญมณีออกมา ท่าทีหนักแน่นจริงนัง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ตาเฒ่า บางทีนี่อาจเป็นวาสนา และบางทีสิ่งของบางสิ่งถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”
หลังจากพูดจบ หลี่ชิเย่ได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น นาทีนี้ลัคนาของเขาปรากฏ ได้ยินเสียงดังตึง ตึง ตึงชะตาดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ปรากฏ กฎเกณฑ์สิบสองสายทิ้งตัวห้อยลงมา ทำการอารักขาหลี่ชิเย่เอาไว้
ในเวลานี้ ท่ามกลางทะเลแห่งความรู้ของหลี่ชิเย่ปรากฏอักขระยันต์แต่ละตัวลอยขึ้นมา อักขระยันต์แต่ละตัวเก่าแก่โบราณยิ่งนัก เหมือนว่ามันได้กลายเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน
ได้ยินเสียงตึงเสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้อักขระยันต์แต่ละตัวได้ถักทอเข้าด้วยกัน ภายในระยะเวลาอันสั้น อักขระยันต์แต่ละตัวได้ถักทอจนกลายเป็นกฎเกณฑ์ขนาดเล็กเส้นหนึ่ง กฎเกณฑ์ขนาดเล็กเส้นนี้ดั่งเส้นใยดั่งโซ่ แลดูลึกซึ้งพิสดารและงดงามเป็นอย่างยิ่ง มันส่งแสงแวบวับออกมา
ในเวลานี้ กฎเกณฑ์ดั่งเส้นใยขนาดเล็กเส้นนี้กำลังแหวกว่ายอยู่ สุดท่ายมันได้มุดออกมาจากปลายนิ้วของหลี่ชิเย่ และมุดเข้าไปในก้อนหินที่ดุจดั่งก้อนอิฐเก่าแก่ก้อนนั้น
ในเวลานี้ ได้ยินเสียงดังแว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น มองเห็นก้อนหินที่คล้ายดั่งก้อนอิฐเก่าแก่ได้เปล่งเป็นแสงออกมาเป็นสายๆ แสงแต่ละสายที่ปรากฏขึ้นมาดั่งประกายเซียน โดยที่ประกายเซียนแต่ละสายเหมือนดั่งมีชีวิตอย่างนั้น
เสียงตูมดังขึ้นเสียงหนึ่ง มองเห็นประกายเซียนที่ถักทอ และปรากฏเป็นร่างเงาของคนผู้หนึ่งท่ามกลางประกายเซียน เป็นผู้เฒ่าผู้หนึ่ง แม้ว่าผู้เฒ่าผู้นี้จะดูไม่เหมือนจริงนัก แต่ว่าดวงตาคู่นั้นของเขากลับทะลุผ่านดึกดำบรรพ์อย่างนั้น
หลี่ชิเย่มองดูร่างเงาที่ปรากฏลอยขึ้นมาแล้วนิ่งเงียบไม่พูดอะไร เขาคุ้นเคยกับร่างเงานี้มากเหลือเกิน ร่างเงานนี้ก็คืออมตะตระกูลเซียวแห่งถ้ำเซียนมารนั้นเอง เขาได้ทิ้งจิตที่ยึดติดเอาไว้!
“เจ้าหนู ถ้าหากเจ้าสามารถเปิดมันออก นั่นหมายความว่าเป็นความจริง” เวลานี้ร่างเงาของอมตะตระกูลเซียวได้เอ่ยปากพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าเคยอ่านตำราโบราณมานับไม่ถ้วน เคยอาศัยกฎเกณฑ์ของหนึ่งในตำราสวรรค์นพเก้ามาคำนวณ ข้าเคยคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หวังมองเห็นล้านล้านชาติ ปรากฎการณ์ประหลาดทยอยกันปรากฏขึ้นมา เท็จหรือจริงยังไม่ได้รับการยืนยัน เฉกเช่นวันนี้ที่เจ้ากับข้าได้พบกันโดยห่างกันด้วยกาลเวลาที่ห่างไกลกันมาก ซึ่งสิ่งนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเท็จ แต่หากเป็นความจริง ย่อมเป็นการบ่งชี้ว่าข้าได้ตายไปแล้ว…”
“…มนุษย์เราจะอย่างไรเสียก็ต้องตาย สรรพสิ่งล้วนแล้วแต่ยากจะหลีกหนีเคราะห์กรรมนี้ไปได้ ในโลกนี้อาจมีบางคนที่สามารถเป็นอมตะ เป็นต้นว่าหญ้าอายุวัฒนะ และหรือเป็นต้นว่าบรรดาผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ข้างหลัง แต่ ทั้งหมดนี้หาใช่เป็นอมตะที่แท้จริง ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่การหลุดพ้นที่แท้จริง! มีเพียงไม่ต้องอาศัยสิ่งนอกกายใดๆ แล้วเป็นอมตะได้ นั่นจึงจะเป็นเซียนแท้จริง นั่นแหละเป็นการหลุดพ้นที่แท้จริง มิฉะนั้นแล้วมันก็เป็นเพียงเซียนปลอมๆ เท่านั้นเอง…”
“…ถ้าหากเจ้าได้หินความทรงจำของข้า เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความจริง ส่วนหนึ่งที่ข้าคิดคำนวณเอาไว้ในอดีตก็เป็นความจริง อื่นๆ นอกเหนือจากนี้บางทีอาจเป็นเพียงมโนภาพเท่านั้นเอง หากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดเป็นความจริง ถ้าเช่นนั้นแล้วนับว่าเป็นผลที่ข้าไม่ต้องการเห็นมากที่สุด จะอย่างไรเสียไม่ว่าใครก็ต้องการอมตะไม่มีวันตาย!”
อมตะตระกูลเซียวกล่าวขึ้นช้าๆ เสมือนหนึ่งสหายเก่าที่ได้พานพบกันหลังจากกันมานานกำลังคุยกัน และเหมือนญาติที่พูดคุยกันเบาๆ ต่อเนื่องไม่หยุดอย่างนั้น
“…ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เจ้าหนู การที่เจ้าสามารถก้าวเดินถึงขั้นนี้ข้าก็รู้สึกภูมิใจในตัวเจ้า ในโลกนี้ข้าเองก็ไม่มีญาติ โดดเดี่ยวเอกาอยู่เพียงลำพังคนเดียว ในวันนี้ข้าเองก็ถือว่าเจ้าคือญาติเพียงคนเดียวของข้า แน่นอนที่สุด เจ้าคงไม่ยอมนับญาติกับข้า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การที่พวกเราได้รู้จักกันนับว่ามีวาสนาต่อกัน เรื่องบางเรื่องถูกลิขิตเอาไว้แล้ว”
ครั้นอมตะตระกูลเซียวเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้หัวเราะและกล่าวว่า “การที่เจ้าประสบความสำเร็จในวันนี้ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ขาดเคลนในอัญมณีของวิเศษเซียน แต่ว่า ข้ายังคงมีมรดกนิดหนึ่งให้เจ้า ถือเสียว่าเป็นของขวัญนิดหนึ่งของข้า จะอย่างไรเสียข้าได้กลั่นเจ้าให้กลายเป็นอีกาทมิฬ ภายในใจของเจ้าจะมากหรือน้อยก็ต้องแค้นเคืองข้า สิ่งนี่เป็นความทรงจำฉบับหนึ่ง แม้ว่าไม่อาจบอกได้ว่ามันคือของล้ำค่าที่ประเมินราคาไม่ได้ แต่ทว่า บางทีบนเส้นทางที่จะก้าวเดินในอนาคตอาจช่วยเจ้าได้ไม่มากก็น้อย…”
เมื่ออมตะตระกูลเซียวกล่าวมาถึงสุดท้ายแล้วได้จ้องมองดูหลี่ชิเย่ หลังจากผ่านไปนานมาเขาจึงได้ทอดถอนใจออกมา และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ลาก่อน จากกันชั่วนิรันดร์…”
หลังจากที่อมตะตระกูลเซียวกล่าวคำๆ นี้จบแล้ว ร่างเงาของเขาได้ค่อยๆ สลายไปอย่างช้าๆ ไม่เหลือทิ้งไว้ซึ่งร่องรอยใดๆ เหมือนว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวบนโลกนี้อย่างนั้น
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น เวลานี้ก้อนหินที่ดูเหมือนเป็นก้อนอิฐเก่าแก่โบราณก้อนนี้ถึงกับพลิกหน้าแต่ละหน้าขึ้นมา เสมือนหนึ่งมันไม่ใช่ก้อนหิน แต่เป็นตำราโบราณเล่มหนึ่งอย่างนั้น
จากนั้นตามติดด้วยเสียงตูมเสียงหนึ่งดังขึ้น มองเห็นแต่ละหน้าที่พลิกขึ้นมาพลันพวยพุ่งอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วน อักขระยันต์ที่โบราณยิ่งจำนวนมากเช่นนี้ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ทั้งหมด ยิ่งไม่มีใครสามารถมองเห็นความลึกซึ้งและยอดเยี่ยมของมัน
ได้ยินเสียงดังตึง ตึง ตึงดังขึ้น เห็นเพียงอักขระยันต์แต่ละตัวเหล่านี้ได้ถักทอเข้าด้วยกันและกัน กลายเป็นกฎเกณฑ์ขนาดเล็กแต่ละเส้น ทุกๆ เส้นส่งประกายที่ลึกล้ำออกมาแวบวับ เหมือนว่ากฎเกณฑ์เส้นเล็กๆ ปราศจากสิ่งใดเทียบเทียมได้สืบทอดร่องรอยกาลเวลานับไม่ถ้วนเอาไว้อย่างนั้น ที่ตรงนี้ได้บันทึกความลับที่บุคคลภายนอกไม่สามารถพบเห็นมากมายเหลือเกิน
หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนใจเบาๆ ออกมาเมื่อได้เห็นกฎเกณฑ์แต่ละสายที่ปรากฏขึ้นมา เขายื่นมือออกไปดูดเอากฎเกณฑ์เหล่านี้เข้ามา จากนั้น กฎเกณฑ์เหล่านี้เสมือนดั่งสายน้ำที่อบอุ่นไหลรินอยู่เงียบๆ
สุดท้าย ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของชะตาดั้งเดิมดึกดำบรรพ์ หลี่ชิเย่ได้ทำการหลอมกลั่นกฎเกณฑ์ขนาดเล็กแต่ละสาย และกฎเกณฑ์ทั้งหมดก็ได้หลอมรวมเข้าไปอยู่ภายในทะเลแห่งความรู้ของเขา สุดท้าย ได้ยินเสียงดังตูม ภายในทะเลแห่งความรู้ของหลี่ชิเย่ถูกบุกเบิกมุมๆ หนึ่งขึ้นมา และความทรงจำชุดหนึ่งได้ถูกจุดติด
นี่คือความทรงจำที่เป็นของอมตะตระกูลเซียวแห่งถ้ำเซียนมาร ความทรงจำชุดนี้กว้างใหญ่ไพศาลดั่งทะเล ไม่ได้ด้อยไปกว่าตาเฒ่าใต้หน้าผาของหอศิลาโรยแม้แต่น้อย
ความทรงจำที่เหมือนดั่งทะเลที่กว้างใหญ่ไพศาล มันเหมือนเป็นตำราโบราณที่หนาเตอะเล่มหนึ่ง ความทรงจำชุดนี้ได้แบกรับสิ่งของไว้มากมาย ได้จดบันทึกร่องรอยต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วน
เหมือนดั่งที่อมตะตระกูลเซียวพูดเอาไว้อย่างนั้น นี่คือมรดกที่เขาทิ้งเอาไว้ แต่ว่ามันหาใช่อย่างที่อมตะตระกูลเซียวพูดเอาไว้ว่าไม่ล้ำค่าอะไร ความจริงแล้วมันมีความล้ำค่ายิ่งนัก ความทรงจำลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้
ในอดีต ขณะที่หลี่ชิเย่อยู่ที่ถ้ำเซียนมารนั้น หลี่ชิเย่ได้ล่วงรู้ความลับจำนวนมากจากอมตะตระกูลเซียว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่บุคคลภายนอกไม่สามารถล่วงรู้ได้ทั้งสิ้น
แต่ทว่า ได้ครอบครองความทรงจำชุดนี้อีก ย่อมไม่เป็นที่สงสัยว่าได้ทำให้ความลับจำนวนมากสมบูรณ์ขึ้น เป็นการแต่งเติมช่องว่างจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องราวจำนวนมากของแดนสามเซียน ยิ่งเรียกได้ว่าชัดเจนขึ้นทันที
จะอย่างไรเสีย อมตะตระกูลเซียวในครั้งนั้นก็เคยมาแดนสามเซียนมาก่อน และเคยทิ้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเอาไว้เช่นกัน
………………………………………………..