ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2155 ไม่รู้จักคำว่าตาย
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2155 ไม่รู้จักคำว่าตาย
หลายวันต่อมา หลี่ชิเย่ไม่ได้เร่งรีบเดินทางเลย แต่ทว่า ขณะที่หลี่ชิเย่กำลังเอ้อระเหยอยู่นั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยรวมกลับคึกคักยิ่งนัก สำนักและตระกูลขุนนางโบราณจำนวนมากต่างมุ่งหน้ารุดไปยังเขาฟันหลอกัน
ช่วงเวลาหลายวันมานี้ กลุ่มคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าต่างวิ่งฮ้อกันไปอย่างรวดเร็ว ผ่านคณะของหลี่ชิเย่ไป บนเส้นทางสายนี้มีเพียงพวกของหลี่ชิเย่เท่านั้นที่เดินทางอย่างเอ้อระเหย ส่วนกลุ่มคนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่มุ่งหน้าเขาฟันหลออย่างชนิดที่เรียกว่าเร่งด่วนที่สุด พวกเขาต่างต้องการบินไปให้ถึงเขาฟันหลอทันทีให้รู้แล้วรู้รอดไป อยากจะเป็นคนที่ไปถึงเป็นคนแรกและชิงเอาโสมโลหิตมาอยู่ในมือให้รู้แล้วรู้รอดไป
“ตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่ง แดนอุดรแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ บวกกับฉู่ชิงหลินแห่งค่ายฉู่” ยามที่กลุ่มคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่วิ่งฮ้อผ่านไปอย่างรวดเร็ว หยางเซิ่นผิงถึงกับนั่งนับประวัติความเป็นมาของกลุ่มคนแต่ละกลุ่ม แล้วถึงกับตกใจ และพึมพำว่า “เวลานี้ขั้วอำนาจใหญ่ทั้งสามของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงล้วนแล้วแต่มากันหมดแล้ว ขาดแต่จวนหวังเท่านั้นเองแล้ว หรือว่านี่จะเป็นโสมโลหิตล้านล้านปีต้นหนึ่งจริงๆ รึ?”
“ถ้าหากจะมีโสมโลหิตล้านล้านปีจริงก็คงไม่อยู่รอจนถึงพวกเขาหรอกนะ” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “เรื่องราวบนโลกไหนเลยจะง่ายดายถึงเพียงนี้”
“คุณชาย หากไม่มาด้วยเรื่องของโสมโลหิต แล้วเพื่ออะไรกันแน่?” หยางเซิ่นผิงถึงกับเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
“บางทีถ้าจวนหวังมีคนมาแล้วล่ะก็เจ้าก็จะรู้เอง ถ้าหากหวังหานไม่ได้มาที่เขาฟันหลอนั่นแหละเรื่องใหญ่เลยล่ะ” หลี่ชิเย่ที่หลับตาพักผ่อนกายากล่าวเอ้อระเหยขึ้นมา
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้ภายในใจของหยางเซิ่นผิงขนลุกซู่ พลันรู้สึกว่ามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีทันที เหมือนว่าจะมีเรื่องที่ใหญ่คับฟ้าเกิดขึ้นอย่างนั้น
“พระนางจะเสด็จมาหรือไม่?” ภายในใจของหยางเซิ่นผิงถึงกับเต้นกระตุกนิดหนึ่ง รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ต่อให้เขาไม่สามารถมองเห็นภาพรวมทั้งหมด แต่ก็รู้สึกได้ถึงคลื่นใต้น้ำที่โหมสาดซัดอยู่ลางๆ !
“ไม่รู้” หลี่ชิเย่หลับตาเหมือนหลับไปแล้วอย่างนั้น กล่าวเฉยเมยว่า “ถ้าหากนางไม่มา นั่นเท่ากับบ่งบอกว่านางสูญเสียอำนาจไปแล้ว จวนหวังไม่ให้การสนับสนุนนาง ถึงเวลานั้นนางมีเพียงชื่อเท่านั้นเอง แต่หากว่านางสามารถมาได้ แสดงว่านางได้รับการสนับสนุนจากจวนหวัง สมควรได้เวลาที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะผลัดเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว เขาเพียงแค่ยิ้มเฉยเมยเท่านั้น เหมือนว่าเป็นการพูดถึงเรื่องๆ หนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับตนอย่างนั้น ซึ่งความจริงแล้ว ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเขาจริงๆ กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว จะมีจวนหวังให้การสนับสนุนหรือไม่อย่างไรนั้น ผลที่ออกมายังคงเหมือนเดิม ยามใดที่เขายืนอยู่บนผืนแผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ทุกอย่างก็เป็นที่แน่นอนแล้ว ทุกอย่างถูกลิขิตเอาไว้แล้ว มิฉะนั้นแล้วเขาคงไม่ไปที่เขาฟันหลอ!
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาหยางเซิ่นผิงถึงกับอกสั่นขวัญแขวน สมควรทราบว่าเขาได้นำเอาสำนักกระบี่ยักษ์ฝากไว้บนตัวของหวังหาน ฝากไว้บนตัวของหลี่ชิเย่
เกิดหวังหานสูญเสียอำนาจขึ้นมา สภาพการณ์เช่นนี้กล่าวสำหรับสำนักกระบี่ยักษ์แล้วย่อมไม่เป็นผลดีอย่างยิ่ง
หนทางยาวไกล คณะของหลี่ชิเย่สามคนได้เดินทางอีกหลายวันกว่าจะไปถึงด้านนอกของเขาฟันหลอ ขณะที่พวกเขาเข้าไปยังตำบลโบราณเล็กๆ แห่งหนึ่งนั้น ที่ตรงนั้นก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คนแล้ว ทุกที่เต็มไปด้วยความยุ่งยากจากผู้คนที่เป็นจำนวนมาก ไอรีนโนเวล
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับบริเวณด้านนอกของเขาฟันหลอนั้น ปรากฏยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากได้มาตั้งแต้นท์อยู่ ซึ่งบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาตั้งค่ายนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่มาจากสำนัก และตระกูลขุนนางโบราณของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง และมีอยู่ไม่น้อยที่เป็นการตั้งค่ายของกองทัพ่จากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยตรง
การมาปักหลักตั้งเต้นท์ของกองทัพจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยตรงที่ด้านนอกเขาฟันหลอนี้ ได้สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้คนจำนวนไม่น้อย
เนื่องจากเพื่อโสมโลหิตต้นหนึ่งแล้ว คุ้มค่ากับการโยกกองทัพแต่ละกองทัพมาอย่างนั้นรึ? มันเหมือนกำลังจะระเบิดศึกสงครามครั้งใหญ่ขึ้นมาอย่างนั้น
ดังนั้น ผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เมื่อมองเห็นกองทัพแต่ละกองทัพของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่เข้ามาตั้งค่ายแล้ว พวกเขารู้สึกขนลุกซู่ในใจ รู้ว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่แล้ว
ที่เข้ามาตั้งค่ายไม่เพียงแต่กองทัพของค่ายฉุ่เท่านั้น แม้แต่กองกำลังซั่ง และหอศักดิ์สิทธิ์ก็ส่งกองทัพมาตั้งค่ายเช่นกัน นอกเหนือจากนี้แล้ว บรรดาสำนักและตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อยที่มีศักยภาพก็จะมีศิษย์ที่เป็นแกนหลักมาตั้งค่ายที่นี่โดยตรงเช่นกัน
ด้วยกองทัพจำนวนมากมายพลันมาตั้งค่ายอยู่ด้านนอกของเขาฟันหลอกะทันหัน ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ทุกคนต่างรู้สึกว่านี่มันใช่เพียงมาเพื่อโสมโลหิตนะเนี่ย แต่เป็นการรวมตัวของกองกำลังทหารที่มีศักยภาพที่สุดของระบบถ่ายทอดทางรความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมาไว้ที่ตรงนี้
เวลานี้ ขั้วอำนาจ สำนัก และตระกูลขุนนางโบราณที่มีศักยภาพทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางรความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ต่างก็มีศิษย์หรือกองทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่ตรงนี้ หนึ่งเดียวที่ขาดไปก็คือจวนหวังของระบบถ่ายทอดทางรความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว!
จวนหวังคือขั้วอำนาจผู้กุมอำนาจทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางรความคิดด้านลัทธิลานกำแหงกลับไม่ได้เข้าร่วมในเวลานี้ ในขณะนี้จึงทำให้ผู้คนบังเกิดความคิดหลายอย่างที่ผุดขึ้นมาไม่ขาดสาย ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกแปลกใจ และรู้สึกอึดอัดกับเรื่องนี้
ขณะที่พวกของหยางผิงไปถึงด้านนอกของเขาฟันหลอที่เป็นตำบลโบราณนั้น เมื่อมองเห็นกองกำลังเช่นนี้แล้วทำเอาหยางเซิ่นผิงถึงกับตกใจยิ่งนัก รู้ว่าจะผลัดเปลี่ยนแผ่นดินแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นกองกำลังซั่ง หอศักดิ์สิทธิ์ และค่ายฉู่คงไม่นำกองทัพมาตั้งค่ายอยู่ด้านนอกของเขาฟันหลอ
ภายในตำบลโบราณคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทำให้ไม่ได้รับความสะดวกจากผู้คนที่มากมาย ภายใต้การจัดการของหยางเซิ่นผิง คณะของพวกเขาจึงได้เข้าพักในโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งได้ไม่ง่ายนัก
ในเวลานี้ โรงเตี๊ยมที่ปรกติกิจการเงียบเหงาพลันการค้าการขายดีขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา ผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่มาจากทั่วทุกสารทิศต่างมาพักอยู่ที่โรงเตี้ยมแห่งนี้ พวกเขาต่างมีท่าทีเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ตรงนี้
แม้จะกล่าวว่าได้มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยได้เดินทางเข้าไปตามหาร่องรอยของโสมโลหิตแล้ว แต่ว่า จากการที่กองทัพและสำนัก ตระกูลขุนนางโบราณจำนวนมากมายเช่นนี้ที่มาตั้งค่ายอู่ด้านนอกของเขาฟันหลอ ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่มาถึงภายหลังกลับไม่กล้าเข้าไปยังเขาฟันหลอ พวกเขาต่างมีท่าทีเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ในเวลานี้
เนื่องจากพวกเขาต่างไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น เกิดระบบถ่ายทอดทางรความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาจริงๆ หรือว่าเกิดการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินในชั่วข้ามคืน เมื่อเป็นดังนั้น บรรดาผู้ที่เข้าไปในเขาฟันหลอมิเท่ากับกลายเป็นหมูในอวย คิดจะหนีก็หนีไม่ได้แล้ว
ในขณะที่พวกของหลี่ชิเย่เพิ่งจะเข้าพักในโรงเตี้ยมแห่งนี้ ซึ่งภายในโรงเตี้ยมก็มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนอยู่เป็นจำนวนมาก มาจากทั่วทุกสารทิศ คณะของหลี่ชิเย่นั่งลงตรงมุมๆ หนึ่งโดยไม่เป็นที่สนใจของผู้คนแม้แต่น้อย จะอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่อะไรเมื่อมาอยู่ที่ตรงนี้
จังหวะที่เสี่ยวเอ้อของโรงเตี้ยมเพิ่งจะยกสุราอาหารมาวาง ด้านนอกโรงเตี้ยมปรากฏคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา คนกลุ่มนี้ต่างสวมใส่ชุดทะมัดทะแมง นำโดยชายหนุ่มผู้หนึ่ง
พวกของหลี่ชิเย่คุ้นเคยกับชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง เขาก็คือเผิงเวยจิ่น นายน้อยแห่งบ้านตระกูลเผิง
“นายน้อยเผิงมาแล้ว!” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต่างรู้จักเขา เมื่อมองเห็นเผิงเวยจิ่นที่เดินเข้ามา
แม้ว่าตัวของเผิงเวยจิ่นจะไม่ใช่ประเภทยอดเยี่ยมอะไรในระบบถ่ายทอดทางรความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แต่ว่า ตระกูลเผิงของพวกเขามีชื่อเสียงไม่น้อยในระบบถ่ายทอดทางรความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือเบื้องหลังผู้ให้การสนับสนุนบ้านตระกูลเผิงของพวกเขาก็คือกองกำลังซั่ง โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับตระกูลเฉินยิ่งมีความแน่นเฟ้นยิ่งนัก พวกเขาเคยเกี่ยวดองสมรสระหว่างกันกับตระกูลเฉินมาทุกยุคทุกสมัย
สมควรทราบว่า กองกำลังซั่งคือหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางรความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ขณะที่ตระกูลเฉินได้กุมอำนาจส่วนใหญ่ของกองกำลังซั่งเอาไว้ สำนักและตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อยในกองกำลังซั่งล้วนแล้วแต่เป็นพันธมิตรกับตระกูลเฉิน ย่อมสามารถประเมินได้ว่าอำนาจของตระกูลเฉินในกองกำลังซั่งจะยิ่งใหญ่เพียงใดแล้ว!
ดังนั้น เมื่อมีความสัมพันธ์เช่นนี้แล้ว จึงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยในระบบถ่ายทอดทางรความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่รู้จักเผิงเวยจิ่น จะอย่างไรเสีย บ้านตระกูลเผิงตั้งอยู่ที่ลานหลวง ในบางครั้งสำนักและตระกูลขุนนางโบราณจำนวนมากก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากบ้านตระกูลเผิง
“นายน้อย เชิญทางนี้” จังหวะที่เผิงเวยจิ่นเพิ่งจะมาถึง จึงมีศิษย์ของสำนักและตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อยที่ทยอยกันกล่าวทักทายกับเผิงเวยจิ่น แสดงความปรารถนาดีต่อเผิงเวยจิ่น
เมื่อเผิงเวยจิ่นเห็นว่าบรรดาศิษย์ของสำนักและตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยกันลุกขึ้นยืนแสดงความปรารถนาดีกับตน ทำให้เขารู้สึกลำพองใจไม่มากก็น้อย จะอย่างไรเสียบ้านตระกูลเผิงของพวกเขายังคงมีอิทธิพลอยู่
เวลานี้เผิงเวยจิ่นกวาดตามองไป และเขาก็ได้มองเห็นพวกของหลี่ชิเย่สามคนที่นั่งอยู่ตรงมุมๆ หนึ่ง พลันที่มองเห็นพวกของหลี่ชิเย่ สีหน้าของเผิงเวยจิ่นเปลี่ยนไปมากทีเดียว สีหน้าพลันเปลี่ยนไปดูไม่จืดเลยทีเดียว
ครั้งนั้นขณะอยู่ในห้างเจียวเหิงนั้น เผิงเวยจิ่นถูกหยางเซิ่นผิงกดเอาไว้และประเคนตบหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า นับเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวงชั่วชีวิตสำหรับเขา!
ตามหลักแล้ว หลังจากผ่านบทเรียนในครั้งนั้นแล้ว เผิงเวยจิ่นต้องไม่กล้ามาตอแยกับหลี่ชิเย่ ควรจะหลีกหนีไปให้ไกลจึงจะถูก
แต่ว่า มาคราวนี้เผิงเวยจิ่นกลับไม่ได้หนีไป เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เพื่อเรียกความกล้ากลับมา เดินเข้าไปหาพวกของหลี่ชิเย่
เนื่องจากวันนี้ไม่เหมือนเมื่อวานอีกแล้ว! เผิงเวยจิ่นอย่างเขากำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว ความอัปยศในครั้งนั้น เขาจะต้องให้ศัตรูชดใช้ให้สิบเท่า มิฉะนั้นคงยากที่จะหายแค้นได้!
หยางเซิ่นผิงถึงกับตะลึงนิดหนึ่งเมื่อเห็นเผิงเวยจิ่นเดินเข้ามาหา ถ้าหากเผิงเวยจิ่นจะรู้จักกาลเทศะสักนิด สมควรหลบไปให้ไกลจึงจะถูก เวลานี้นอกจากเผิงเวยจิ่นจะไม่ได้หลบหนีไปแล้ว ตรงกันข้ามกลับเดินเข้ามาหา นี่เท่ากับกินดีหมีใจเสือมาชัดๆ
เมื่อเผิงเวยจิ่นเดินเข้ามาถึง มองดูพวกของหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง หัวเราะเยาะทีหนึ่ง และกล่าวน่าครั่นคร้ามออกมาว่า “วันนี้นายน้อยอย่างข้าอารมณ์ดี จะไม่ทำให้พวกเจ้าลำบาก หากพวกเจ้ารู้จักกาลเทศะล่ะก็ไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้ ทางที่ดีอย่าได้ปรากฎตัวอยู่ในรัศมีสายตาของข้า!”
สำหรับการยั่วยุในลักษณะเช่นนี้ของเผิงเวยจิ่นนั้น หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปมองหน้าเขาสักแเวบหนึ่งด้วยซ้ำ ยังคงดื่มสุราจอกนั้นอยู่
“นายน้อยเผิง โปรดระวังคำพูดของท่าน” หยางเซิ่นผิงถึงกับขมวดคิ้วทีหนึ่ง รู้ทั้งรู้ว่าเบื้องหลังของพวกเขามีหวังหานหนุนหลังอยู่ เผิงเวยจิ่นยังกล้าเข้ามาแสดงอำนาจ เห็นทีคราวนี้เผิงเวยจิ่นนับว่าคงกินดีหมีในเสือมาแล้วจริงๆ !
“หุบปาก” เวลานี้เผิงเวยจิ่นได้ส่งเสียงตวาดใส่หยางเซิ่นผิงด้วยเสียงอันดังว่า “หยางเซิ่นผิง นายน้อยอย่างข้าไม่คิดบัญชีกันเจ้า เจ้าก็ควรถือว่าโชคดีแล้วมุดหัวอยู่ในบ้านจุดธูปบูชา ยังกล้ามาพูดกับข้าเช่นนี้!”
การที่จู่ๆ เผิงเวยจิ่นอาละวาดขึ้นมากะทันหัน พลันดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ เมื่อสายตาทุกคู่มองไปแล้ว ทุกคนต่างไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเผิงเวยจิ่นจึงได้อาละวาดใส่พวกของหลี่ชิเย่ทั้งสามกะทันหัน
“นายน้อยเผิงต้องการอะไร?” หยางเซิ่นผิงถึงกับขมวดคิ้ว การที่เผิงเวยจิ่นกลับกลายเป็นโอหังขนาดนี้ เบื้องหลังจะต้องมีใครคอยหนุนหลัง
“คิดจะทำอะไรรึ?” เผิงเวยจิ่นหัวเราะน่าครั่นคร้ามทีหนึ่ง และกล่าวว่า “หยางเซิ่นผิง เจ้าคงไม่คิดว่ามีผู้คอยให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังของตนก็ไม่ต้องกังวลใดๆ น่ะสิ แหะ เจ้ายังไม่ได้ข่าวน่ะสิ แหะ ผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังเจ้าจบแล้ว! เจ้าเองก็จบแล้วเช่นกัน!”
ผู้สนับสนุนเบื้องหลังที่เผิงเวยจิ่นพูดถึงย่อมหมายถึงหวังหานแล้ว เนื่องจากเขาได้รับข่าวจากทางลานหลวง ได้ยินมาว่าทางจวนหวังวางแผนจะเปลี่ยนตัวอยู่เข้ารับการคัดเลือก
สีหน้าของหยางเซิ่นผิงพลันเปลี่ยนไป เมื่อได้ฟังคำเช่นนี้แล้ว ภายในใจของเขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก เวลานี้กองทัพของสามขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างก็อยู่ที่เขาฟันหลอ หนี่งเดียวที่ขาดหายไปก็คือจวนหวังแล้ว
การที่ทางจวนหวังยังไม่ได้มีกองทัพมาถึง ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นที่จวนหวังแล้วจริงๆ อาจเป็นไปได้ที่หวังหานอาจจะสูญเสียอำนาจแล้วจริงๆ!
……………………………………………..