ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2241 ทุบให้ตาย
“ระวังคำพูด?” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งและกล่าวว่า “ข้าพูดกับเจ้าก็คือเกียรติของเจ้า แค่แคว้นว่านโซ่วเท่านั้นเองนับเป็นตัวอะไร หากข้าอารมณ์ดีก็คือแคว้นๆ หนึ่ง ทำให้ข้าไม่สบอารมณ์มันก็แค่มดปลวกที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของข้าเท่านั้นเอง เท้าข้างหนึ่งก็บี้มันจนตาย!”
เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สีหน้าของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วดูไม่จืดถึงขีดสุด แคว้นว่านโซ่วของพวกเขาหาใช่นายหมูนายหมาที่ไหน พวกเขาคือสำนักอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ กำลังกล้าแข็งพอที่จะเป็นหลักและมีบทบาทนำพาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะทั้งหมด มีสิทธิ์ที่จะปกครอง และกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ แต่ว่า เมื่อออกจากปากของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับไร้ค่าเทียบไม่ได้กับหนึ่งอีแปะ
คำพูดของหลี่ชิเย่เป็นการดูแคลนต่อแคว้นว่านโซ่วของพวกเขา เป็นการเหยียดหยามต่อชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วให้ได้อาย และเป็นการเหยียดหยามต่อแคว้นว่านโซ่วของพวกเขา
ในเวลานี้ ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธแค้น ศิษย์ที่อยู่ข้างกายของเขาก็ทยอยกันชักกระบี่ออกมาและจ้องมองด้วยความโกรธ ดวงตาทั้งสองของพวกเขาแทบพ่นเป็นไฟแห่งความโกรธออกมา
กล่าวสำหรับศิษย์ของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วแล้ว ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมีสำนักใด หรือยอดฝีมือใดๆ หาญกล้าดูแคลนต่อแคว้นว่านโซ่วของพวกเขา? ต่อให้อยู่ต่อหน้าศิษย์ของหุบเขาอมตะ พวกเขาที่เป็นศิษย์ของแคว้นว่านโซ่วก็ยังคงสามารถยืดอกได้เหมือนเดิม มาวันนี้ถูกหลี่ชิเย่ดูแคลนถึงเพียงนี้ พวกเขาไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน
“ผู้เยาว์ เจ้าพูดอะไรให้ระวัง” ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพลันร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง กล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยือกออกมาว่า “เกรงว่าเจ้าจะรับไม่ไหวกับผลที่จะเกิดขึ้นทั้งหมด? เวลานี้เจ้ายอมอ่อนข้อให้ยังทัน! ข้าเป็นผู้ใหญ่มีใจกว้าง มิฉะนั้นล่ะก็…”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มเฉยเมย เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แววตาของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วดูเข้มและน่าเกรงขาม จ้องมองหลี่ชิเย่เย็นชาและกล่าวน้ำเสียงเย็นยะเยือกออกมาว่า “การที่แคว้นว่านโซ่วของพวกเรามาสู่ขอต่อหุบเขาอมตะ ถือเป็นการเห็นแก่ไมตรีจิตที่มีต่อกันในอดีต และเห็นแก่ความเป็นนิกายเดียวกัน สิ่งนี้ก็นับว่าเป็นการส่งเสริมพวกเจ้าสักครั้ง…”
“พูดแบบนี้ แสดงว่าเป็นพวกเราหุบเขาอมตะที่อาจเอื้อมน่ะสิ” สำหรับคำพูดของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วนั้น ฟ่านเมี่ยวเจินได้กล่าวเสียงเย็นชาตัดบทของเขาทันที
“แม่นางฟ่าน พูดคำพูดที่ไม่น่าฟังสักคำ โลกนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว มันหาใช่โลกใบเดิมในอดีตอีกต่อไป ต้องอาศัยสายตาแบบใหม่ๆ ไปปฏิบัติต่อโลกใหม่ มิฉะนั้นล่ะก็อาจมีสักวันที่กระทั่งไม่รู้เลยว่าตัวเองตายแบบไหน” ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วหัวเราะน่าครั่นคร้าม และกล่าวว่า “อย่าว่าแต่หมอเทวดามู่เลย กล่าวสำหรับแม่นางฟ่านแล้วก็สมควรหาสามีที่ดีและแต่งออกไปได้แล้ว องค์ชายของแคว้นว่านโซ่วพวกเราก็มีความปรารถนาที่จะมีสนม…”
เมื่อชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมเป็นการปราศจากหวั่นเกรงโดยสิ้นเชิง เหมือนว่ามีการเตรียมการมาอย่างดี
ทันใดนั้น บรรดาศิษย์หุบเขาอมตะที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างจ้องมองชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วด้วยความโกรธ ฟ่านเมี่ยวเจินคือศิษย์เอกของนักพรตฉางเซิน คือศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขา ได้รับการเคารพอย่างยิ่งต่อศิษย์ร่วมสำนัก ขณะที่แคว้นว่านโซ่วเป็นเพียงแคว้นๆ หนึ่งภายใต้หุบเขาอมตะเท่านั้น เวลานี้ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วถึงกับคุยโวไร้ยางอายว่าองค์ชายของพวกเขาต้องการรับฟ่านเมี่ยวเจินเป็นสนม เท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจของหุบเขาอมตะโดยตรง และเหยียดหยามต่อหุบเขาอมตะของพวกเขา
“รับข้าเป็นสนม?” ฟ่านเมี่ยวเจินไม่โกรธกลับหัวเราะ ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายหุยชุนที่อาศัยวิชามารมาสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองคิดจะรับข้าเป็นสนม? ไม่รู้จักหากระจกมาส่องดูตนเอง เป็นแค่คางคกริอ่านจะกินเนื้อห่านฟ้า!”
“แหะแม่นางฟ่าน เกรงว่าอีกไม่นาน เมื่อถึงเวลานั้นแล้วเจ้าคิดจะหยิ่งยโสก็หยิ่งยโสไม่ขึ้น เมื่อถึงวันนั้น เกรงว่าแม้แม่นางฟ่านคิดจะเป็นสนมก็ไม่มีคุณสมบัติ เกรงว่าถึงตอนนั้นคงกวักมือก็มา โบกมือก็ไป…”
เพียะ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพูดยังไม่ทันจบ หนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้ตบเข้าให้ที่หน้าของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วเต็มแรง
ฝ่ามือนี้ของหลี่ชิเย่รวดเร็วเหลือเกินคล้ายดั่งสายฟ้าแลบ ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วไม่สามารถหลบหลีกได้ทัน พลันถูกฝ่ามือนี้ของหลี่ชิเย่ตบเข้าให้อย่างแรง ทำเอาเขาถึงกับมองเห็นดาวเห็นเดือน เลือดไหลหยดลงมาจากมุมปาก
“สวะเท่านั้น ไสหัวไปตอนนี้ข้ายังจะไว้ชีวิตเจ้า” หลี่ชิเย่กล่าวเย็นชาขึ้นมา
“จะฆ่าเจ้า!” ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพลันโกรธจัด ตัวเขาในฐานะชิงหวังที่มีกำลังทหารอยู่ในมือ ไหนเลยจะเคยถูกหยามเหยียดเช่นนี้มาก่อน ทำให้เขารู้สึกโกรธแค้นอย่างยิ่ง และขาดสติยั้งคิดไปทันที
“ฆ่า…” ฉับพลันที่มีการสั่งการ บรรดาศิษย์ของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วล้วนแล้วแต่ชักกระบี่และดาบออกจากฝัก พลันมองเห็นเงาดาบและกระบี่ที่บิดเข้าสังหารต่อหลี่ชิเย่
ศิษย์ของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วล้วนแล้วแต่มีฝีมือไม่เบา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังชำนาญวิชาการต่อสู้ พลันที่ลงมือก็จะแยกเข้าสังหารซ้ายขวา และสามารถเข้ากันได้อย่างไม่มีช่องโหว่ ท่ามกลางประกายดาบและเงากระบี่ที่รุนแรง ต้องการสับร่างของหลี่ชิเย่ให้เละ
“มดปลวกที่ไม่เจียมตัวเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ไม่ได้มองด้วยซ้ำ เห็นเงาแวบหนึ่ง คล้ายดั่งสิ่งของที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารที่พุ่งชนเข้าไป
ปัง ปัง ปังเสียงสิ่งของชนกระแทกกันดังขึ้น ตามติดมาด้วยเสียงคร๊ากก คร๊ากกที่เป็นเสียงแตกละเอียดของกระดูกดังขึ้นไม่ขาดสาย ในเสี้ยววินาทีนี้เอง บรรดาศิษย์ที่บุกสังหารเข้ามาพลันถูกพุ่งชนจนร่างกายแหลกละเอียด ที่สาหัสมากไปกว่านี้คือกลายเป็นหมอกเลือดไปทันที
ศิษย์สิบกว่าคนถูกสังหารโดยพลัน ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องเสียงน่าเวทนาออกมา
“ฆ่า…” ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วร้องคำรามเสียงดังออกมา ฉวยโอกาสที่หลี่ชิเย่หันหลังให้กับตนเองลอบโจมตีกะทันหัน เจดีย์วิเศษได้กลับกลายเป็นเขาไท่ซัวที่สูงตระหง่านพลันทุ่มใส่หลี่ชิเย่ เสียงเจดีย์วิเศษที่ร้องตูมตาม สามารถทำลายภูเขาและแม่น้ำจนแหลกละเอียดได้
“ฝีมือเล็กน้อยเท่านั้นเอง…” มือขนาดใหญ่ของหลี่ชิเย่พลันคว้าจับเจดีย์ที่สูงใหญ่ดั่งภูเขาขนาดยักษ์เอาไว้ ได้ยินเสียงดังคร๊ากกขึ้นเสียงหนึ่ง เจดีย์วิเศษพลันถูกบีบจนละเอียด
จังหวะนาทีที่บีบจนเจดีย์จนแหลกละเอียดนั้น หลี่ชิเย่ได้เหวี่ยงแขนข้างหนึ่งขึ้น แลดูคล้ายดั่งเป็นเทือกเขาในอดีตที่ยาวสิบล้านลี้ฟาดเข้าไปอย่างแรง
เสียงปังดังสนั่นขึ้นมา ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วสำแดงสุดยอดวิชาของตนออกมา เพื่อต้านรับกับแขนข้างนั้นของหลี่ชิเย่ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ท่ามกลางเสียงดังสนั่นที่เกิดขึ้น ร่างของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วปลิวไปตามแรงกระเด็นออกไปจากหุบเขาอมตะ
ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วถูกฟาดจนกระเด็นออกไปจากหุบเขาอมตะ ร่างกายชุ่มไปด้วยเลือดทั้งตัว กระดูกไม่รู้ว่าแตกหักละเอียดไปเท่าไร นาทีนี้เขาตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง พยายามอย่างสุดแรงเกิดพาตัวเองขึ้นมาจากใต้พื้นดิน
นาทีนี้ไม่เพียงแต่ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วที่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อเท่านั้น แม้แต่ฟ่านเมี่ยวเจินก็มองดูจนอ้าปากตาค้าง ความแข็งแกร่งของหลี่ชิเย่นั้นอยู่เหนือความคาดคิดของนาง นี่เป็นการทำลายล้างชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วดุจพลิกฝ่ามือ ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วเมื่ออยู่ในมือของหลี่ชิเย่เรียกได้ว่าสู้ไม่ได้แลย
ขณะที่ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วพาตัวขึ้นมาจากพื้นดินยังไม่ทันได้หนีไป ด้านหลังของเขาปรากฏเสียงที่เอ้อระเหยลอยมา “ดูท่ากระดูกค่อนข้างจะแข็งนะเนี่ย สามารถทานทนต่อการทุบตีได้”
“เจ้า เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร!” นาทีนี้ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วแม้คิดจะหยิ่งผยองก็หยิ่งผยองไม่ขึ้นเสียแล้ว ถูกทำให้ตระหนกตกใจจนใบหน้าขาวซีดก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว เวลานี้เขารู้ตัวแล้ว่าได้ชนเข้ากับตอเสียแล้ว
หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ข้ายังจะไปทำอะไรได้เล่า? เวลาอารมณ์ดีก็ชมจันทร์ ลิ้มลองชา แย่ที่สุดก็แค่หยอกล้อสาวๆ สักหน่อยเท่านั้นเอง แต่หากยามที่ข้าไม่สบอารมณ์ก็แค่ฆ่าคนบ้าง สังหารเทพบ้าง บางครั้งก็สังหารเทพสักสิบล้านแก้เซ็งเท่านั้นเอง บังเอิญจังหวะไม่ดีก็คือ เวลานี้ข้าไม่สบอารมณ์อยู่พอดีเลย”
“ข้า ข้า ข้าคือชิงหวังแห่งแคว้นว่านโซ่ว ข้า ข้า ข้ามีกำลังทหารสิบล้านในมือ เป็นขุนพลคู่ใจของฝ่าบาท หากเจ้า เจ้า เจ้าแตะต้องข้าล่ะก็ กองทัพสิบล้านของข้าจะต้องบุกตลุยเข้ามาทำลายหุบเขาอมตะ” ท่าทีของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วเวลานี้แข็งนอกอ่อนใน
“กองทัพสิบล้าน? เป็นเรื่องดีนะเนี่ย” ท่าทางของหลี่ชิเย่ดูสนใจอย่างยิ่ง ถูมือไปมา พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าว่า “นึกถึงตอนที่ข้าสังหารรวดเดียวสิบล้านในเวลานั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว เวลานี้นึกๆ แล้วเรียกว่ายังคงหวนคะนึงถึงอยู่เลย มองดูสภาพของศพที่กองพะเนินดั่งภูเขา สูดดมกลิ่นคาวเลือดที่ลอยเข้ามาปะทะใบหน้าแล้ว ช่างทำให้รู้สึกตื่นเต้นที่แปลกประหลาดมากนะเนี่ย”
“ถ้าหากว่าเวลานี้มีกองทัพสิบล้านมาอีกครั้ง ข้าจะได้อุ่นเครื่องพอดีเลย ลับมีดสักหน่อย ไม่ได้ทำการเข่นฆ่าครั้งใหญ่มานานแล้วนับว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไร คล้ายกระดูกทั่วตัวขึ้นสนิมไปแล้วอย่างนั้น” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว เผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่เต็มใบหน้า
คนอื่นที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วยังเข้าใจว่าเป็นการพูดหยอกล้อของหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง ขณะที่ฟ่านเมี่ยวเจินได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว นางถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง
ชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ฟ่านเมี่ยวเจินเข้าใจได้ว่าคำพูดของหลี่ชิเย่นั้นไม่ได้ล้อเล่น และไม่ได้เป็นการหยอกล้อ ทุกอย่างที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง เขาได้ฆ่าคนมาเป็นสิบล้านจริงๆ และเป็นความจริงที่เขาเคยเข่นฆ่าจนศพกองสุมดั่งภูเขามาก่อน
เมื่อฟ่านเมี่ยวเจินนึกถึงภาพนี้แล้วถึงกับสั่นเทิ้มทีหนึ่ง นี่คือผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเข่นฆ่าคนมาเป็นสิบล้าน ขณะที่มองเห็นรอยยิ้มเต็มใบหน้าของหลี่ชิเย่นั้น ฟ่านเมี่ยวเจินเข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียกว่าเป็นรอยยิ้มของมารร้าย นี่แหละคือรอยยิ้มของมารร้าย นาทีนี้ รอยยิ้มของหลี่ชิเย่ดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่เขาโกรธเสียอีก
“เจ้า เจ้า เจ้ารู้หรือไม่ว่า แคว้นว่านโซ่วของข้า ข้ามีกำลังทหารอันดับหนึ่ง อยู่เหนือหุบเขาอมตะพวกเจ้า ยัง ยังมี แคว้นว่านโซ่วของพวก พวกเรามีกำลังที่พวกเจ้านึกไม่ถึง มีคนบางคนที่พวกเจ้าไม่อาจหาเรื่องเขาได้ตลอดกาล…” สีหน้าของชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วตกใจจนขาวซีด ถอยหลังไปพลาง ร้องกล่างเสียงดังไปพลาง
แต่ว่า คำพูดของเขาพูดยังไม่ทันจบ มือข้างหนึ่งของหลี่ชิเย่ก็ได้บีบคอของเขาเอาไว้แล้ว ในเวลานี้แม้ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วคิดขัดขืนก็ไร้ผล ตัวเขาที่ตกอยู่ในมือของหลี่ชิเย่เป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้นเอง
“ท่านราชครู ช่วย ช่วย ช่วยข้าด้วย…” สุดท้าย ชิงหวังจากแคว้นว่านโซ่วถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ร้องเสียงแหลมออกไป
ตูม…ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเองเสียงดั่งสนั่นขึ้นมา ด้านนอกหุบเขาอมตะปรากฎประกายที่พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง ตามติดด้วยเสียงกระบี่ดังตึง ตึง ตึงขึ้นมาไม่ขาดสาย มองเห็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์แต่ละเล่มที่พุ่งทะลุพื้นดินขึ้นมา ฉับพลันพุ่งตรงไปยังด้านหน้าทางเข้าของหุบเขาอมตะ
ได้ยินเสียงดังตึงที่เป็นเสียงคำรามของกระบี่ดังขึ้นมาไม่ขาดสาย เสียงนั้นดังก้องไปทั่วฟ้าดิน ปรากฎเป็นสะพานกระบี่ขนาดยักษ์ที่พาดผ่านอยู่บนท้องฟ้า ทั่วฟ้าดินล้วนแล้วแต่ตลบอบอวลไปด้วยพลังกระบี่ที่น่ากลัว
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำเอาผู้คนทั้งหมดตื่นตระหนก ไม่เพียงแต่ศิษย์ของหุบเขาอมตะเท่านั้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญตน และมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่เป็นบุคคลภายนอกและเดินทางมาถึงยังตำบลเล็กๆ นอกหุบเขาอมตะ ก็ถูกพลังกระบี่ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ทำเอาตกอกตกใจเป็นอย่างยิ่ง
เสียงตูมดังสนั่นขึ้นเสียงหนึ่ง นาทีนี้มองเห็นอานุภาพเทพแท้จริงสายหนึ่งที่พวยพุ่งขึ้นมา คล้ายดั่งเป็นน้ำที่พุ่งขึ้นรุนแรงดั่งน้ำตกสวรรค์
สมควรทราบว่า สถานที่บริเวณนี้เป็นถิ่นของหุบเขาอมตะ การที่จู่ๆ มีผู้สำแดงอานุภาพเทพแท้จริงขึ้นมาบนพื้นที่อันเป็นถิ่นของหุบเขาอมตะกะทันหัน ทั้งยังรุนแรงอาละวาดไปทั่ว ช่างเป็นการกระทำที่ไม่มีความหวั่นเกรงเช่นใด และเป็นการท้าทายต่ออำนาจของหุบเขาอมตะ