ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2261 ใครนะคือผู้ที่เจ้าหาเรื่องด้วยไม่ได้
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2261 ใครนะคือผู้ที่เจ้าหาเรื่องด้วยไม่ได้
หวู่เสียนยวี่รู้สึกตกใจยิ่งและก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว เมื่อเห็นหลี่ชิเย่ เดินเข้ามาหาตน
“เจ้า เจ้า เจ้าคิดจะทำอะไร?” หวู่เสียนยวี่ร้องตวาดเสียงดังออกไป
“แล้วเจ้าคิดว่าล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้และกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ฆ่าคนมาระยะหนึ่งแล้ว รู้สึกคันมือขึ้นมากะทันหัน ดังนั้นจึงคิดจะให้หายอยากอีกสักหน่อย”
“เจ้า เจ้าอย่าทำบ้าๆ นะ” สีหน้าของหวู่เสียนยวี่ขาวซีด ร้องเสียงดังขึ้นมา ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าเขาเองก็รู้ว่าหลี่ชิเย่นั้นแข็งแกร่งมากกว่าตน
“ถ้าหากข้าทำอะไรบ้าๆ ล่ะ?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าว
“เจ้า เจ้าสมควรทราบว่า แม้ว่าข้า ข้าจะมีเพียงคนเดียว แต่ศิษย์พี่โจวของข้าคืออัครทูต เจ้า เจ้า เจ้ากล้าแตะต้องข้า ศิษย์พี่ของข้าจะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด” หวู่เสียนยวี่ร้องกล่าวเสียงดังออกมา
“อัครทูตคืออะไร? กินได้ไหม?” หลี่ชิเย่กล่าวโดยไม่ใส่ใจ
สีหน้าของหวู่เสียนยวี่เปลี่ยนไปมากทีเดียว ร้องกล่าวเสียงดังออกมาว่า “ศิษย์พี่โจวของข้าคืออัครทูตภายใต้บังคับบัญชาของนายน้อยมู่ ได้รับการโปรดปราณจากนายน้อยมู่ เจ้าสมควรทราบว่าพวกเราคือคนของนายน้อยมู่ ถ้าหากเจ้าฆ่าข้า เท่ากับไม่ขออยู่ร่วมโลกกับนายน้อยมู่ เกรงว่าคงไม่ต้องให้ข้าไปพูดให้มากความเกี่ยวกับความน่ากลัวของนายน้อยมู่ เจ้า เจ้าสมควรรู้ดีอยู่แล้ว!”
ในที่สุดหวู่เสียนยวี่ก็ยกเอาผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังออกมาแล้ว ในเวลานี้เขาถูกทำให้หวาดกลัวอย่างยิ่ง จึงไม่อาจไม่ยกเอาชื่อผู้ที่หนุนหลังออกมาขู่หลี่ชิเย่
บรรดายอดฝีมือรุ่นอาวุโสต่างมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป เมื่อหวู่เสียนยวี่ได้ยกเอาผู้ที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังออกมา บรรดาบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณ เจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิพลันมีท่าทีที่หนักแน่นจริงจังขึ้นมาทันที แม้แต่ตันหวังฟงเซี่ยวเฉินก็มีท่าทีที่หนักแน่นจริงจังขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่หวู่เสียนยวี่ประกาศชื่อ ‘นายน้อยมู่’ ออกมานั้น ไม่รู้ว่าในใจของผู้คนจำนวนเท่าไรต้องเย็นวาบทีหนึ่ง ตรงกันข้าม กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยกลับไม่รู้จักชื่อของ ‘นายน้อยมู่’ กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากรู้แต่เพียงหวู่เสียนยวี่ได้ติดตามศิษย์พี่ของเขาโจวจื้อคุนอยู่กับผู้ให้การสนับสนุนที่สุดยอดมาก ประจบสอพรอผู้มีอำนาจ แม้แต่แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากก็ต้องให้เกียรติเขาอยู่สามส่วน
“นายน้อยมู่คือผู้ใดนะเนี่ย?” มีผู้เยาว์ที่อดเอ่ยถามผู้อาวุโสของตนด้วยเสียงแผ่วเบาไม่ได้
“จุ๊จุ๊…” ผู้อาวุโสรีบห้ามปรามผู้เยาว์ของตนด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “พูดไม่ได้ ห้ามเอ่ยถึง นี่เป็นบุคคลที่ไม่ควรเอ่ยถึงให้มากความ”
“นายน้อยมู่ ไม่เคยได้ยิน? คนแซ่มู่นับเป็นตัวอะไร?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหย
“เจ้า เจ้า เจ้าตายแน่แล้ว!” คราวนี้หวู่เสียนยวี่ถึงกับมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว ร้องเสียงดังขึ้นมาว่า “เจ้า เจ้ากล้าดูหมิ่นนายน้อยมู่ถึงเพียงนี้ โทษสมควรตายหมื่นครั้งอภัยให้ไม่ได้ คำพูดนี้หากเข้าหูนายน้อยมู่ล่ะก็ เกรงว่าต้องถูกสังหารเก้าชั่วโคตร…”
มาคราวนี้ไม่เพียงหวู่เสียนยวี่ที่ถูกหลี่ชิเย่ทำให้หวาดกลัว ขณะเดียวกันก็ถูกคำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ต้องหวาดกลัว เนื่องจากคำพูดที่ดูหมิ่นต่อนายน้อยมู่เช่นนี้ หากเข้าถึงหูล่ะก็ เกรงว่านายน้อยมู่จะต้องโกรธ และเมื่อไรที่นายน้อยมู่โกรธ ผลของมันยากจะจินตนาการได้
แต่ทว่าหวู่เสียนยวี่พูดยังไม่ทันจบ มองเห็นร่างเงาของหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง คอของหวู่เสียนยวี่ก็ถูกหลี่ชิเย่บีบเอาไว้ และถูกยกให้ลอยอยู่เหนือพื้นดิน
“ดูหมิ่นรึ?” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “อะไรที่เรียกว่าดูหมิ่น? เหล่าเทพของเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินกล้าไม่ให้ความเคารพต่อข้า นั่นก็คือการดูหมิ่น! แค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น ถือดีอย่างไรเอ่ยคำว่าดูหมิ่นสองคำนี้? นายน้อยมู่อะไรนั่น ไม่มีสิทธิ์กระทั่วคุกเข่าตรงหน้าของข้าแล้วเลียพื้นรองเท้าของข้า อย่าว่าแต่คำว่าดูหมิ่นสองคำนี้”
“พวก พวก พวกเจ้ารีบขวางคนบ้าคนนี้เอาไว้ มิฉะนั้นล่ะก็ เมื่อถึงเวลานั้นแล้วเกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะต้องเดือดร้อนกันไปหมด พวกเจ้าควรจะรู้ถึงความน่ากลัวของนายน้อยมู่ เมื่อไรที่นายน้อยมู่โกรธล่ะก็ เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไป” หวู่เสียนยวี่ที่ต้องเผชิญกับรอยยิ้มที่เหมือนดั่งมารร้ายแล้วตกใจจนปัสสาวะอุจจะระราด วิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง
ผู้อาวุโสของตระกูลขุนนางโบราณ และเจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิจำนวนไม่น้อยต่างมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดของหวู่เสียนยวี่ เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“คุณชาย ถอยก้าวหนึ่งทะเลกว้างท้องนภาสูง เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องสังหารจนไม่เหลือเลยก็ได้” ระดับผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของตระกูลขุนนางโบราณคนหนึ่งส่งเสียงไอทีหนึ่ง ต้องการห้ามปรามต่อหลี่ชิเย่
“นั่นสิ ถอยก้าวหนึ่งทะเลกว้างท้องนภาสูง จะอย่างไรเสียนายน้อยมู่คือผู้ที่มาจากเบื้องบน พวกเรามีเรื่องเพิ่มขึ้นเรื่องหนึ่งมิสู้น้อยลงเรื่องหนึ่ง” ระดับบรรพบุรุษคนหนึ่งของตระกูลขุนนางโบราณก็ออกปากเกลี้ยกล่อม
ตรงกันข้ามกับผู้ที่มีฐานะและอำนาจสูงสุดในเหตุการณ์อย่างตันหวังฟงเซี่ยวเฉินกลับไม่พูดอะไรออกมา เขาเข้าใจถึงนิสัยของหลี่ชิเย่ ขนาดประกาศศึกกับแดนลัทธิพรรษทั้งหมดยังไม่หวั่น ลำพังแค่นายน้อยมู่คนเดียวไม่สามารถทำให้เขาหวาดกลัวได้อยู่แล้ว
“เจ้า เจ้าได้ยินแล้วสินะ ถ้าหากเจ้าหวังดีต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจริงก็ให้ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้ายังสามารถพูดคำพูดเพราะๆ แทนต่อหน้านายน้อยมู่ ไม่เพียงสามารถรักษาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเอาไว้ได้ กระทั่งมีประโยชน์ยิ่งใหญ่สำหรับเจ้า ไม่แน่นักอาจสามารถขึ้นไปเบื้องบนได้ ไม่แน่นักอนาคตเจ้าคิดจะขึ้นไปเบื้องบนก็จะมีนายน้อยมู่คอยหนุนหลังเจ้า เจ้าก็สามารถกร่างไปทั่วหล้า” หวู่เสียนยวี่รีบพูดด้วยเสียงอันดังขึ้นมา
หวู่เสียนยวี่ไม่เพียงแต่ข่มขู่หลี่ชิเย่ ยังถือเป็นการหลอกล่อด้วยผลประโยชน์
“อ้อ เช่นนี้แสดงว่านายน้อยมู่คนนี้มีความสามารถมากเลยทีเดียวสิ” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
ขณะที่หลี่ชิเย่พูดคำพูดนี้ออกมานั้น ทุกคนต่างเข้าใจว่าหลี่ชิเย่ยอมอ่อนข้อให้แล้ว ระดับผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกบางส่วนของตระกูลขุนนางโบราณถึงกับรู้สึกโล่งอก ต่างรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องดีหากหลี่ชิเย่จะยอมอ่อนข้อ
แต่มู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าสองคนที่อยู่ในเหตุการณ์รับรู้ได้ทันทีว่าแย่แล้ว ยามที่หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้าออกมานั้นมันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน สิ่งนี้บ่งบอกว่าจะมีคนต้องเสียชีวิตแล้ว
“แน่นอนอยู่แล้ว” หวู่เสียนยวี่ยังไม่รู้ว่าความตายได้มาเยือนแล้ว พูดเสียงดังว่า “นายน้อยมู่คือเทพสวรรค์ที่ลงมาจากสวรรค์ ชาติกำเนิดเป็นถึงทายาทของกษัตริย์ที่สูงสุด ยิ่งกว่านั้นยังเป็นลูกรักของสวรรค์ ในโลกนี้ปราศจากผู้ที่จะต่อกร ยิ่งตระกูลมู่ที่อยู่ดินแดนเบื้องบนด้วยแล้วมีอำนาจยิ่งใหญ่ตลอดกาล ระดับปฐมบรรพบุรุษ ราชันแท้จริงปรากฏขึ้นมาไม่มีขาด กวาดล้างสิ้นแดนสามเซียน…”
“คร๊ากก…” เสียงหนึ่งดังขึ้น คำพูดโอ้อวดของหวู่เสียนยวี่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกหลี่ชิเย่จับหักคอทิ้งทันที
“เจ้า เจ้ากล้าฆ่าข้าจริงๆ…” หวู่เสียนยวี่ที่ถูกจับหักคอยังมีลมหายใจเฮือกสุดท้าย ร้องเสียงแหลมขึ้นมาด้วยความตกใจจนวิญญาณสลาย
“มีอะไรไม่กล้าฆ่า?” หลี่ชิเย่กล่าวเอ้อระเหยว่า “ถ้าหากแม้สวรรค์ก็มีบุตรล่ะก็ ข้าก็จะฆ่าตามระเบียบ นับประสาอะไรกับมดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น”
ปุเสียงหนึ่งดังขึ้น พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ร่างของหวู่เสียนยวี่กลับกลายเป็นหมอกเลือดไปทันที แม้แต่เศษซากกระดูกก็ไม่เหลือให้เห็น
“เสียดาย ไม่สามารถให้เจ้าได้ส่งข่าวให้กับนายน้อยมู่อะไรนั่น” หลี่ชิเย่สัมผัสมือแล้วกล่าวเอ้อระเหยว่า “ควรให้เจ้าบอกต่อเขาสักหน่อยว่า ต่อไปหากพบข้าแล้วโลกนี้กว้างไกลแค่ไหนก็หลบไปให้ไกลเท่านั้น มิฉะนั้นล่ะก็ข้าจะเด็ดหัวของเขาออกมาแล้วแขวนเอาไว้บนท้องฟ้า”
เวลานี้ สถานการณ์ทั้งหมดกลับกลายเป็นเงียบสงัดยิ่งนัก ทุกคนต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำ คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่คือประกาศศึกกับนายน้อยมู่ชัดๆ เลยนะเนี่ย
ใครบ้างในแดนลัทธิพรรษที่ไม่ให้เกียรตินายน้อยมู่ อย่าว่าแต่แคว้นเจ้าลัทธิเลย แม้แต่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งก็ต้องให้เกียรตินายน้อยมู่ เนื่องจากประวัติความเป็นมาของเขาน่ากลัวเหลือเกิน
“คุณชาย ฟังว่านายน้อยมู่นั้นลงมาจากแดนลัทธิราชัน ประวัติเบื้องบนของเขาน่ากลัวอย่างยิ่ง มีผู้ปราศจากผู้ต่อกรคุ้มครอง ได้ยินว่าสามารถทำลายล้างระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งได้สบายๆ” ระดับบรรพบุรุษผู้หนึ่งของตระกูลขุนนางโบราณอดที่จะกล่าวเตือนสติหลี่ชิเย่เบาๆ
“ช่างเป็นเรื่องที่ดีเหลือเกินนะเนี่ย” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เอาแต่ฆ่าผู้เยาว์หนึ่งหรือสองคนไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่แน่นักคนอื่นอาจจะหัวเราะเยาะว่าอาศัยกำลังที่แกร่งกว่ารังแกผู้ที่ด้อยกว่า จัดนายน้อยมู่อะไรนั่นมาสักคน ทายาทของกษัตริย์อะไรนั่น แล้วยังมีราชันแท้จริงปราศจากผู้ต่อกร ปฐมบรรพบุรุษอะไรทำนองนั้นค่อยยังมีความหมายหน่อย…”
“…สังหารนายน้อยมู่คนเดียวออกจะเสียอันดับมากเกินไป ทำลายล้างตระกูลทายาทของกษัตริย์อะไรนั่น เข่นฆ่าราชันแท้จริงสักแปดสิบหรือร้อยคนค่อยหายอยากสักหน่อย มิฉะนั้นล่ะก็ ในแดนสามเซียนจะมีใครรับรู้ถึงชื่อเสียงที่โด่งดังของคนโหดอันดับหนึ่งอย่างข้าเล่า?”
คำพูดที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของหลี่ชิเย่ แต่กลับสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับผู้ฟัง ทุกคนถึงกับลิ้นจุกปาก เวลานี้ทุกคนต่างไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่นั้นโง่เขลาอวดดีจริงๆ หรือว่ามีฝีมือเช่นว่าจริงๆ แต่ว่าในใจของผู้คนส่วนใหญ่แล้วต่างรู้สึกว่าหลี่ชิเย่วาจาโอหังเหลือเกิน ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
“เอาล่ะ เวลานี้ยังมีท่านผู้ใดมีปัญหากับข้าล่ะ? สหายท่านใดที่มีท่าทีคัดค้านสำหรับการจุดธูปก้านแรกของข้าล่ะ? ถ้าหากมีสามารถก้าวออกมาคุยกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “คนอย่างข้าไม่มีข้อดีอะไร ข้อดีที่ดีที่สุดก็คือรับฟังข้อท้วงติงผู้อื่นได้ดีเหมือนดั่งกระแสน้ำที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ยินดีต้อนรับทุกคนเสนอขอคิดเห็น ยินดีต้อนรับทุกคนมาคัดค้านข้า”
ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน เวลานี้ยังจะมีใครก็ก้าวออกมาคัดค้านเขา? จุดจบของจางเหยียน หูชิงหนิว หวงฉวนเวย และหวู่เสียนยวี่ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด
จางเหยียน และหูชิงหนิวนับว่าค่อนข้างโชคดีแล้ว ไม่ได้เป็นเหมือนหวงฉวนเวย และหวู่เสียนยวี่ที่จุดจบต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไป
“ศิษย์พี่ใหญ่ เชิญจุดธูป” เวลานี้ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ ศิษย์ของหุบเขาอมตะจึงนำทางให้กับหลี่ชิเย่ทันที
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ ก้าวขึ้นไปตามขั้นบันได ท่าทีเอ้อระเหยเหมือนเป็นคนละคนกับคนเมื่อครู่ โดยมีมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่าติดตามอยู่ด้านหลัง
หลี่ชิเย่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวแล้วหันหลังกลับมา มองดูทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์แวบหนึ่ง กล่าวท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “พูดคำหยาบๆ สักคำ เวลานี้คุกเข่าแล้วเลียหุบเขาอมตะยังทัน รอให้ข้ากวาดล้างเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินในตอนนั้น ถึงเวลานั้นคิดจะคุกเข่าลงเลียก็ไม่มีโอกาสสำหรับพวกเจ้าแล้ว” ขาดคำ ก้าวขึ้นตามขั้นบันไดเข้าไปภายในเรือนหญ้าคา
เวลานี้ทุกคนต่างนิ่งเงียบ มองตามหลี่ชิเย่ที่เดินเข้าไปในเรือนหญ้าคา ผู้คนจำนวนมากถึงกับมองตากันและกัน นาทีนี้ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องสั่นคลอนขึ้นมา
แคว้นว่านโซ่วดั่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลางหาว ความฮึกเหิมที่เชี่ยวกราก ความแข็งแกร่งด้านกำลังทหารดูเหมือนจะแซงล้ำหน้าอยู่เหนือหุบเขาอมตะไปแล้ว กระทั่งมีท่าทีที่สามารถเกรียงไกรไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผู้คนจำนวนมากลังเล บวกกับความค่อมต่ำของหุบเขาอมตะ ทำให้ในใจของทุกๆ คนสั่นคลอน บางทีหุบเขาอมตะอาจตกต่ำแล้วจริงๆ
แต่ทว่า เวลานี้หลี่ชิเย่ในฐานะศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะได้ผงาดขึ้นมา มีความพาลและดุดัน เหมือนว่าสามารถกวาดล้างความอึมคลิมที่ปกคลุมอยู่เหนือท้องฟ้าของหุบเขาอมตะไปจนสิ้นในทันที เหมือนว่าภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มีต่อหุบเขาอมตะพลันมองเห็นความหวังอีกครั้ง
ในเวลานี้ ภายในใจของผู้คนจำนวามากต่างสั่นคลอนขึ้นมาแล้ว บางทีแคว้นว่านโซ่วอาจไม่ได้แข็งแกร่งดั่งที่จินตนาการเสมอไป ขณะที่หุบเขาอมตะก็ไม่ได้อ่อนแอเสื่อมถอยขนาดนั้นดั่งที่ภายนอกล่ำลือกัน
ตึง ตึง ตึงเสียงระฆังดังขึ้นเป็นระลอก ส่งเสียงดังก้องกังวานและไปได้ไกล หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้จุดธูปก้านแรกไปแล้ว เสียงระฆังดังก้องไปทั่วเรือนโอสถ เป็นการประกาศให้ทราบว่า พิธีเซ่นไหว้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
………