ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2265 ชิงราชบัลลังก์แย่งอำนาจ
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2265 ชิงราชบัลลังก์แย่งอำนาจ
กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วขณะที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ก็เป็นยอดคนแห่งยุคคนหนึ่ง มีพรสวรรค์ที่สูงมาก มีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการทำงาน เคยได้รับความมั่นใจจากผู้คนและเคยเป็นที่รักใคร่เทิดทูนของผู้คนจำนวนมาก
ภายหลังได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่ว กุมอำนาจปกครองแคว้นว่านโซ่ว และเขาไม่ได้ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง แคว้นว่านโซ่วภายใต้การปกครองของเขานั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นดั่งพระอาทิตย์กลางหาว ได้รับการสนับสนุนจากทุกระดับชั้นของแคว้นว่านโซ่ว
เนื่องจากมีธาตุแท้ภายในและได้รับความนิยมเช่นนี้ ทำให้เขามีจิตใจที่ทะเยอทะยานขึ้น ไม่พอใจกับการกุมอำนาจอยู่แค่แคว้นว่านโซ่วเท่านั้น ถึงกับทอดสายตาไปถึงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ทำให้เขาบังเกิดความคิดที่ทะเยอทะยานจะเป็นผู้ปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ มีความมักใหญ่ใฝ่สูงที่จะครอบครองแทน
เนื่องด้วยกษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วมีกำลังความสามารถที่เหนือผู้คนโดยแท้ บวกกับกำลังทหารของแคว้นว่านโซ่วนั้นมีความเข้มแข็งอย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการคงอยู่ในมุมๆ หนึ่งเท่านั้น ท่ามกลางสถานกาณ์เช่นนี้ ความมักใหญ่ใฝ่สูงของกษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วได้รับการสนับสนุนจากทุกระดับชั้นในแคว้นว่านโซ่ว ภายในแคว้นว่านโซ่วไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่สนับสนุนให้กษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วเข้าแทนที่หุบเขาอมตะ เพื่อกุมอำนาจปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
มีการเล่าลือกันว่า กษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วอยู่ในระดับก้าวขึ้นสู่สวรรค์แล้ว เป็นระดับเทพแท้จริง ขั้นขึ้นสู่สวรรค์ ชั้นที่หนึ่งแล้ว และด้วยเหตุนี้เอง กำลังความสามารถของเขาก็นับว่าคู่ควรกับความทะเยอทะยานของเขาได้
หลังจากที่กษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วเสด็จขึ้นสู่แท่นโอสถแล้ว ได้แสดงคารวะแบบจีนต่อบรรดาแขกผู้มีเกียรติเช่นผู้พเนจรหยางหมิงที่เป็นผู้สังเกตการณ์ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “งานพิธีเซ่นไหว้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ได้รับความกรุณาจากบรรดาท่านผู้มีเกียรติทั้งหลายที่มาร่วมงาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสีสันขึ้นอีกนับไม่ถ้วนให้กับงานในวันนี้ ข้าเป็นตัวแทนแคว้นว่านโซ่ว และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกๆ ท่าน”
ผู้พเนจรหยางหมิงและผู้แทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ คุณชายหุยชุนนั่งนิ่งอยู่กับที่ของตน พวกเขาล้วนแล้วแต่กล่าวทักทายต่อกษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วด้วยความเกรงใจเท่านั้น พวกเขาไม่ต้องการกล่าวมากความ จะอย่างไรเสียไม่มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ต้องการพาตัวเองไปเกี่ยวพันกับการแย่งชิงอำนาจภายในของพวกเขา
“วันนี้ คือวันทำพิธีเซ่นไหว้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของพวกเรา เพื่อเซ่นไหว้เหล่าปรัชญาเมธี” หลังจากที่กษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วได้กล่าวทักทายกับบรรดาแขกผู้มีเกียรติแล้ว ยืนอยู่ตรงนั้น กวาดสายตาเป็นรอบๆ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ปีนี้แตกต่างจากปีก่อนๆ ดังนั้นข้าจึงเป็นผู้ดำเนินการจัดพิธีเซ่นไหว้ในครั้งนี้ ร่วมรำลึกถึงวีรกรรมและผลงานของเหล่าปรัชญาเมธี ดังนั้น ข้าขอคารวะทุกท่าน ณ ที่ตรงนี้” กล่าวพลางได้ยกจอกเหล้าขึ้น
“คารวะฝ่าบาท” เมื่อสำนักต่างๆ ที่ได้หันไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่วก่อนหน้าแล้วนั้น ต่างทยอยกันยกจอกเหล้าขึ้นคารวะตอบ เมื่อเห็นกษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วยกจอกเหล้าขึ้นมา แต่ฝ่ายสำนักต่างๆที่ยืนหยัดอยู่ข้างหุบเขาอมตะ และหรือผู้ที่ยังเลือกที่จะเป็นกลาง พวกเขานิ่งเงียบโดยไม่ได้ยกจอกเหล้าขึ้นคารวะตอบ
“เช่นนั้นแล้ว ให้ข้าเป็นผู้ประกาศเริ่มพิธีเซ่นไหว้ก็แล้วกัน” หลังจากที่กษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วได้คารวะหนึ่งจอกแล้ว ได้เดินไปยังบัลลังก์กษัตริย์ที่อยู่ด้านหน้าสุด ซึ่งที่ผ่านๆ มา บัลลังก์กษัตริย์นี้มีเพียงนักพรตฉางเซินเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้นั่ง
“ฝ่าบาท อภัยที่ข้าล่วงเกิน” ในขณะที่กษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วยังไม่ทันได้นั่งลงบนบัลลังก์ ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของสำนักเจ้าลัทธิหนึ่งได้ลุกขึ้นยืน ส่ายหน้าและกล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ที่นั่งนี้ท่านยังนั่งไม่ได้ หุบเขาอมตะยังคงเป็นผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ เวลานี้ยังคงมีหุบเขาอมตะ เป็นผุ้นำ!”
“ถูกต้อง ยังคงเป็นหุบเขาอมตะที่เป็นผู้นำ!” ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยจากสำนักต่างๆ ได้ลุกขึ้นมาคัดค้าน
แม้จะกล่าวว่า มีสำนักต่างๆ จำนวนไม่น้อยที่ได้หันไปพึ่งพิงแคว้นว่านโซ่วแล้ว แต่ทว่า แคว้นเจ้าลัทธิ สำนักและตระกูลขุนนางโบราณของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมีมากมายดั่งดอกเห็ด สำนักที่มีกำลังก็มีจำนวนอยู่ไม่น้อย หุบเขาอมตะได้ปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมาหมื่นยุค มันยังคงมีอำนาจบารมีในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะที่ผู้อื่นยากจะสั่นคลอนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวานตันหวังได้เป็นตัวแทนของสำนักไป่ตันสนับสนุนหุบเขาอมตะอย่างแข็งขัน ทำให้บรรดาสำนักต่างๆ ที่เดิมทียืนหยัดอยู่กับหุบเขาอมตะยิ่งมีความมั่นคงที่จะสนับสนุนต่อหุบเขาอมตะ
ยังไม่ทันได้นั่งบัลลังก์กษัตริย์ก็มีผู้ลุกขึ้นมาคัดค้านต่อหน้าทันที ทำให้สีหน้าของกษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วดูไม่เป็นมิตรทันที ท่าทางดูจะรับไม่ได้ เป็นเพราะเขาได้ประเมินพลังสยบของแคว้นว่านโซ่วพวกเขาสูงเกินไป
ก่อนหน้านี้ แคว้นว่านโซ่วของพวกเขาได้ควบคุมตัวศิษย์ที่สนับสนุนหุบเขาอมตะเต็มที่ไปไม่น้อย ภายใต้การสยบเช่นนี้แล้ว ยังคงมีผู้ที่กล้าคัดค้านพวกเขาในพิธีเซ่นไหว้นี้อีก
“เมื่อนักพรตฉางเซินไม่สามารถมาตามนัด ก็ให้ข้าเป็นผู้ดำเนินการพิธีนี้แทน” สีหน้าของกษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วที่ดูไม่เป็นมิตร แววตาทั้งสองเข้มและตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของการฆ่า จ้องเขม็งไปที่ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกผู้นั้น
“ตำแหน่งกษัตริย์ ผู้มีคุณธรรมได้ครอง” เจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิแห่งหนึ่งที่หันไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่วรีบกล่าวขึ้นทันทีว่า “ฝ่าบาทเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่ง พรั่งพร้อมด้วยสัจธรรมทั่วหล้า อาศัยคุณูปการ อาศัยบุญบารมี ล้วนแล้วแต่สามารถรับหน้าที่สำคัญได้ พวกเราเสนอผู้มีความสามารถขึ้นรับตำแหน่ง ดังนั้น ฝ่าบาทสมควรมุ่งแสวงหาความสุขให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ด้วยการเป็นผู้นำของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ”
“นั่นน่ะสิ ผู้มีความสามารถควรได้รับตำแหน่ง ฝ่าบาทมีคุณูปการล้ำเลิศ สัจธรรมสยบทั่วหล้า สมควรเป็นผู้นำของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ พวกเราขอสนับสนุน” บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่หันไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่วทยอยออกปากให้ความช่วยเหลือ
“คิดจะเป็นผู้นำระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็ไม่ยาก” ระดับบรรพบุรุษผู้นี้กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิคือสายตรงของปฐมบรรพบุรุษ มีเพียงหุบเขาอมตะเท่านั้น ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นคางคกขึ้นวอทั้งสิ้น!”
คำพูดคำนี้หนักแน่นจริงจัง ทำให้ผู้ที่เอะอะโวยวายพูดจาสนับสนุนแคว้นว่านโซ่วพลันหุบปากเงียบ ไม่กล้าพูดมากความอีกเลย
การแย่งชิงเรื่องของสายตรงใช่เป็นเรื่องเล็ก ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมีสำนักอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่หากว่ากันด้วยเรื่องของสายเลือดแล้ว มีเพียงหุบเขาอมตะเท่านั้นที่เป็นสายตรง มีเพียงหุบเขาอมตะเท่านั้นที่สืบทอดต่อกันมาโดยเซียนโอสถเอง
ข้อนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนต่อหุบเขาอมตะได้ สายเลือดที่บริสุทธิ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่สำนักอื่นๆ ไม่สามารถทดแทนกันได้
สำนักอื่นๆ อาจจะมีกำลังเหนือกว่าหุบเขาอมตะ กระทั่งอาจสามารถแทนที่ได้ แต่เกรงว่าไม่ว่าใครก็ไม่สามารถแทนที่ฐานะความเป็นสายตรงของหุบเขาอมตะได้ นี่แหละคือหนึ่งเหตุผลที่หุบเขาอมตะยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้
ในเวลานี้ ทุกคนต่างนิ่งเงียบ กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว พวกเขาให้การสนับสนุนแก่แคว้นว่านโซ่วได้ และหันไปพึ่งพิงแคว้นว่านโซ่วได้ แต่เมื่อมีการพูดถึงเรื่องของสายตรงแล้ว ทุกคนก็ไม่ต้องการไปวิจารณ์อีก เนื่องจากหากคิดจะปฏิเสธสายเลือดของหุบเขาอมตะ เว้นแต่ต้องปฏิเสธเซียนโอสถก่อน
ถ้าหากสามารถปฏิเสธกระทั่งปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้ เช่นนั้นแล้วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะก็จะไม่เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะอีกต่อไป สิ่งนี้ได้เกินเลยขอบเขตของการชิงบัลลังก์และแย่งอำนาจไปแล้ว เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไปทั้งหมด
“ปล่อยข่าวลือเขย่าขวัญประชาชน พูดเรื่อยเปื่อย ก่อกวนความสงบของพิธี โทษไม่อาจให้อภัย” เวลานี้แววตาทั้งสองของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วดูไม่เป็นมิตร พวยพุ่งเป็นกลิ่นอายการฆ่าออกมา ทันใดนั้นเผยให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าที่เยือกเย็น
ย่อมไม่ต้องสงสัย เมื่อไม่สามารถทำให้ผู้คนยอมสยบแล้ว กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วจึงอาศัยวิธีที่ง่ายและโหดร้ายที่สุด นั่นก็คือการปราบปรามด้วยกำลัง
ปัง ปัง ปังนาทีนี้เอง กองทัพมังกรเงินได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าคนทุกคน สวมเสื้อเกราะในมือถืออาวุธคมกริบ ดาหน้าเป็นแถวเข้ามาเสมือนดั่งเป็นน้ำหลากที่เป็นโลหะ สามารถบดขยี้ทุกคนที่ขวางอยู่ด้านหน้า
“ผู้ใดกล้าก่อกวนพิธี ทำลายชื่อเสียงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ต้องถูกลงโทษประหารชีวิต” สีหน้าของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วดูเย็นชาและเข้ม ยัดเยียดข้อหาที่ไม่จำเป็นต้องมีให้กับผู้ต่อต้านโดยตรง
ตึง ตึง ตึงพริบตาเดียวนั่นเอง บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยืนหยัดอยู่ข้างฝ่ายหุบเขาอมตะพลันลุกขึ้นยืน ชักกระบี่และดาบออกจากฝัก เตรียมพร้อมเต็มที่ บรรยากาศพลันตึงเครียดถึงขีดสุด พร้อมเข้าต่อสู้ได้ทันที
กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยท่าทีเย็นชา ปณิธานการฆ่าที่เข้มข้น เขาไม่ใส่ใจหากจะมีเหตุปะทะจนเสียเลือดเนื้อในพิธีเซ่นไหว้เช่นนี้ กระทั่งต้องการอาศัยพิธีการเซ่นไหว้นี้ทำการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ เพื่อใช้อำนาจสยบผู้ที่คิดค้านเขา ซึ่งเป็นการก้าวไปอีกก้าวหนึ่งด้วยปณิธานที่แน่วแน่เพื่อกุมอำนาจปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ
“จุ๊ จุ๊ จุ๊อาศัยฝีมือเพียงแค่นี้ก็คิดจะกุมอำนาจปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง ออกจะมองตัวเองสูงเกินไปเสียแล้ว” ในเวลานี้เอง เสียงที่เอ้อระเหยเสียงหนึ่งดังขึ้น
เสียงนี้พลันดึงดูดความสนใจของทุกคน และหันไปมองทันที
เวลานี้ มองเห็นชายหนุ่มที่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่งก้าวเดินขึ้นบันไดมา ชายหนุ่มผู้นี้ธรรมดามากและดูเป็นธรรมชาติ เสมือนหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสวนหลังบ้านของตน ด้านหลังของเขาติดตามมาด้วยโฉมตรูสองนาง ซึ่งก็คือมู่หย่าหลัน และฉินซาวเย่านั่นเอง นอกจากนี้แล้ว ยังมีกลุ่มของตันหวังฟงเซี่ยวเฉินที่ติดตามมาด้านหลัง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ” มีผู้ที่จดจำชายหนุ่มได้ทันทีที่เขาก้าวเดินขึ้นมา
เวลานี้ทุกคนกลับจะไม่เอ่ยถึงชื่อหลี่ชิเย่แล้ว โดยการเรียกหลี่ชิเย่ว่าศิษย์พี่ใหญ่โดยตรง และหรือเรียกศิษย์ลำดับที่หนึ่ง เนื่องจากภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ยังจะมีสิ่งใดที่มีน้ำหนักมากไปกว่าศิษย์ลำดับที่หนึ่งแห่งหุบเขาอมตะคนนี้ได้อีก
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อนักพรตฉางเซินไม่อยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ศิษย์ลำดับที่หนึ่งเช่นเขาย่อมมีสิทธิ์แทนหุบเขาอมตะ และจะได้รับการสนับสนุนจากบรรดาสำนักต่างๆ ที่ยืนหยัดยืนอยู่ข้างหุบเขาอมตะ
เวลานี้ พวกของผู้พเนจรหยางหมิง และตัวแทนของเหล่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ มองดูศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะผู้นี้ด้วยความอยากรู้ว่าจะมีความสามารถสักแค่ไหน ถึงทำให้นักพรตฉางเซินรับเขาเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งได้
“ข้าเข้าใจว่าอาจจะมีราชันแท้จริงหรืออมตะหนึ่งหรือสองคนโผล่ออกมาชิงอำนาจ ไปๆ มาๆ มันก็แค่เทพแท้จริง ขั้นขึ้นสู่สวรรค์ระดับล่างเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ก้าวขึ้นมาพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “นี่มันก็แค่มดปลวกที่ตะกละจะกินช้างเท่านั้นเอง”
“พวกกบฏที่ยังคงหลงเหลืออยู่ สมคบคิดกับฝ่ายมาร เป็นภัยต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ โทษไม่อาจละเว้น จับตัวมันเองไว้ ผู้ใดขัดขืนฆ่าไม่มีละเว้น” พลันที่เห็นหน้าหลี่ชิเย่ สีหน้าของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วพลันเย็นชา ออกคำสั่งฆ่า
แม้ว่าเขาเพิ่งจะได้เห็นหลี่ชิเย่เป็นครั้งแรก แต่ทว่า อาศัยฐานะความเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหลี่ชิเย่ ก็เพียงพอแล้วที่จะมีโทษถึงตายได้
ตึง ตึง ตึง…เสียงอาวุธดังขึ้น กองทัพมังกรเงินที่เดิมทีต้องการใช้กวาดล้างผู้คิดค้านพลันเปลี่ยนเป้าหมาย ทำการล้อมพวกของหลี่ชิเย่เอาไว้อย่างแน่นหนา
พริบตาเดียวนั่นเอง บรรดายอดฝีมือของกองทัพมังกรเงินล้วนแล้วแต่ของวิเศษในมือ ทวนยาวในมือชี้ตรงไปที่หลี่ชิเย่ การฆ่าฟันกำลังจะเริ่มขึ้น
“ไสหัวไป” แม้ต้องเผชิญกับกองทัพมังกรเงิน แต่หลี่ชิเย่กลับไม่ได้มองอะไรมากมาย ฟงเซี่ยวเฉินที่อยู่ข้างกายคำรามเสียงทุ้มต่ำคำหนึ่ง มองเห็นเตาขนาดยักษ์ในมือ
ตูมเสียงดังสนั่นขึ้น เปลวไฟของเตาขนาดยักษ์ที่เสมือนดั่งคลื่นยักษ์ ได้กลับกลายเป็นเตาสวรรค์ที่ขนาดใหญ่โตมโหฬาร คล้ายดั่งลงมาจากฟ้า และกวาดออกไปโดยพลัน
เสียงตูม ตูม ตูมที่เป็นเสียงแตกละเอียดดังขึ้น ภายใต้การกวาดออกไปของเตาขนาดยักษ์ ทำให้กองทัพมังกรเงินที่ปิดล้อมพวกของหลี่ชิเย่จนน้ำยังเล็ดรอดไม่ได้ถูกบดขยี้ เสียงกระดูกที่แตกละเอียดดังไม่ขาดสาย เลือดสดๆ ที่สาดกระจายอย่างรุนแรง ยอดฝีมือแต่ละคนที่ถูกกระแทกจนปลิวออกไปทันที
ตันหวังฟงเซี่ยวเฉินหาใช่เป็นประเภทมีชื่อเสียงจอมปลอม เขาไม่เพียงมีวิชาปรุงกลั่นยาเม็ดที่ปราศจากผู้ต่อกร ขณะเดียวกันก็มีทักษะยุทธที่เข้มแข็ง และตัวเขาก็อยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์คนหนึ่งเหมือนกัน
…………………..