ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2267 กระทืบ
สีหน้าของคุณชายหุยชุนถึงกับเปลี่ยนไป เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า เขามองหลี่ชิเย่อย่างเย้ยหยัน เขาเองก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ขึ้นมาได้อย่างไรกันแน่
“การช่วยเหลือของเจ้าไม่ได้ทันกาลเลยกระมัง” เมื่อฟ่านเมี่ยวเจินมองเห็นหลี่ชิเย่จึงพูดแสดงความไม่พอใจออกมา ทำตาขวางไปทีหนึ่งดั่งเป็นการกระเง้ากระงอด
“ไม่ช้าไม่เร็ว พอดิบพอดี” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง มือขนาดใหญ่คว่ำลง ได้ยินเสียงดังปัง มองเห็นกระบี่สวรรค์แต่ละเล่มที่กักขังฟ่านเมี่ยวเจินเอาไว้แตกละเอียด มือขนาดใหญ่ช้อนเข้าไป พลันอุ้มฟ่านเมี่ยวเจินเข้ามาหา
“อย่าหนีนะ…” คุณชายหุยชุนคำรามเสียงดังเมื่อเห็นหลี่ชิเย่หมายช่วยเหลือฟ่านเมี่ยวเจินไป หนึ่งกระบี่ที่ สำแดงออกไป ประกายกระบี่แทงทะลุหมื่นอาณาจักร ละลานตาอย่างยิ่ง ทำให้ผู้คนถึงกับปวดตาทั้งสองข้าง
“ไสหัวไป…” หลี่ชิเย่ขึ้คร้านจะไปมองด้วยซ้ำ ยกเท้าขึ้นแล้วกระทืบลงไป ได้ยินเสียงตูมดังสนั่น กลุ่มภูเขาทั่วทั้งเขาเก็บสมุนไพรพวยพุ่งเป็นประกายขึ้นมา ทันใดนั้นเหมือนว่าพลังทั้งหมดของเขาเก็บสมุนไพรได้มารวมตัวกันอยู่ใต้ฝ่าเท้าของหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่เพียงยกเท้าขึ้นเท่านั้นเอง โดยไม่ได้ใช้พลังอะไร แต่ว่ายามที่เขาวางเท้าลงกลับมีพลังที่น่าสยองขวัญปราศจากผู้เทียบเทียมเหยียบลงไป เหมือนว่าคือคชพลังที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ของเขาเก็บสมุนไพร
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น ได้ยินเสียงของประกายกระบี่ที่แตกละเอียด และคุณชายหุยชุนถูกเท้าของหลี่ชิเย่กระทืบจนร่วงลงมาจากเขาเก็บสมุนไพร ได้ยินเสียงตูมดังสนั่น ร่างของคุณชายหุยชุนคล้ายดั่งดาวตกที่พุ่งลงมาจากที่สูงบนท้องฟ้าเข้ากระแทกกับพื้นบนแท่นโอสถอย่างแรง
ได้ยินเสียงแตกละเอียดดังคร๊ากก แท่นโอสถถูกคุณชายหุยชุนชนกระแทกเข้าให้จนกลายเป็นหลุมบ่อขนาดยักษ์ขึ้นมา
ผู้คนที่อยู่บนแท่นโอสถต่างตกใจอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นภาพที่หวั่นไหวต่อจิตใจเช่นนี้ ทุกคนต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อมองเห็นคุณชายหุยชุนที่นอนอยู่ในหลุมใหญ่นั่น ทั้งเนื้อทั้งตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด
ทุกคนต่างรู้สึกงงงันกับภาพที่เห็น คุณชายหุยชุนคือหนึ่งในสามคุณชายแห่งแดนลัทธิพรรษ และคือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่แข็งแกร่งและโดดเด่นมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ กำลังความสามารถอยู่ในระดับครึ่งทางของความเป็นราชันแท้จริงแล้ว ถึงกับถูกหลี่ชิเย่กระทืบตกจากบนท้องฟ้าสูงด้วยเท้าข้างเดียว
ไม่มีใครอยากจะเชื่อภาพที่เห็น เนื่องจากมันเหลือเชื่อจริงๆ ได้ยินเสียงดังช่าาาคุณชายหุยชุนได้ลุกขึ้นมาจากหลุมยักษ์นั้น ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกกว้างและไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองถึงกับถูกผู้อื่นอาศัยเท้าข้างเดียวกระทืบจนตกลงมาจากท้องฟ้าสูง
ในขณะที่ทุกคนได้สติกลับมา มองเห็นเงาสายหนึ่งแวบผ่านไป หลี่ชิเย่ได้อุ้มฟ่านเมี่ยวเจินปรากฎตัวขึ้นที่แท่นโอสถแล้ว มองเห็นท่าทางที่เอ้อระเหยของเขาแล้ว เหมือนว่าเขายืนอยู่ที่ตรงนั้นตลอด ไม่ได้ขยับไปไหนเลย
จังหวะที่ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไร ร่างของหลี่ชิเย่ได้แวบผ่านไปอีกครั้ง เมื่อทุกคนมองเห็นได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง เขาก็ได้นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเสียแล้ว
ขณะที่หลี่ชิเย่นั่งตัวตรงอยู่บนบัลลังก์มังกรนั้น ดูช่างผ่อนคลายและเป็นธรรมชาติ แม้ว่าเขาจะไม่มีท่าทีที่เหนือผู้คน แต่ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าที่นั่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตัวเขาโดยเฉพาะอย่างนั้น เขานั่นแหละคือคนที่อยู่สูงส่งคนนั้น
ทุกคนพลันรู้สึกเซ่อไปเลย ไม่ใช่เป็นเพราะหลี่ชิเย่ที่นั่งลงบัลลังก์มังกรโดยพลัน แต่เป็นเพราะหลี่ชิเย่ถึงกับสามารถอาศัยเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นก้าวข้ามเขาเก็บสมุนไพรได้ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่หลี่ชิเย่กลับทำให้กลายเป็นจริง เขาไม่เห็นพลังสยบของเขาเก็บสมุนไพรอย่างสิ้นเชิง สามารถก้าวข้ามไปได้อย่างง่ายดาย ภาพนี้ได้ทำให้ดวงตาคู่นั้นของระดับบรรพบุรุษ และยอดฝีมือทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเบิกกว้าง
ถ้าหากว่าหลี่ชิเย่สามารถก้าวข้ามเขาเก็บสมุนไพรไปได้อย่างง่ายดายเช่นนี้จริง มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด กระทั่งมีระดับบรรพบุรุษถึงกับตระหนักแล้วว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่
แม้แต่ผู้พเนจรหยางหมิงที่เป็นแขกผู้มีเกียรติก็มีม่านตาที่หดลง ในฐานะที่เป็นผู้แทนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง พวกเขาย่อมมีประสบการณ์กว้างขวาง และพวกเขาก็ตระหนักถึงอะไรบางอย่าง
“บังคับควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ!” สายตาของผู้พเนจรหยางหมิงที่เพ่งตรงไปข้างหน้า และเอ่ยขึ้นช้าๆ
คำพูดเช่นนี้เมื่อเข้าหูของทุกๆ คนแล้ว ต่างถึงกับสะดุ้งภายในใจอย่างแรง นี่มันเรื่องใหญ่คับฟ้าเลยนะเนี่ย กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขอเพียงเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ ล้วนแล้วแต่รู้ว่าการบังคับควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิบ่งบอกถึงสิ่งใด
“เกรงว่านี่คือการได้รับการยอมรับจากพลังของปฐมบรรพบุรุษ” ตันหวังฟงเซี่ยวเฉินรู้ฐานะของหลี่ชิเย่ และเข้าใจยิ่งกว่า ถึงกับพิมพำออกมา
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของฟงเซี่ยวเฉินทำให้ผู้คนถึงกับใจหายใจคว่ำ ทุกคนถึงกับปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ก่อนหน้านั้นหลี่ชิเย่ก็เคยบังคับควบคุมสนกระบี่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามต้นบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะ ซึ่งก็ได้รับการยอมรับของต้นบรรพบุรุษ
เวลานี้ดูท่าหลี่ชิเย่ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากต้นบรรพบุรุษเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นยังได้รับการยอมรับจากพลังของปฐมบรรพบุรุษ นั่นเป็นการบ่งบอกว่าหลี่ชิเย่ได้รับการยอมรับจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะทั้งหมด การที่สามารถควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะทั้งหมด เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่ง เพียงพอที่จะทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะทั้งหมดต้องสั่นเทา
“บังอาจ…” ในขณะที่ทุกคนกำลังยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วที่ได้สติกลับมาแล้วถึงกับตวาดเสียงดังว่า “บัลลังก์กษัตริย์เช่นนี้ไหนเลยผู้เยาว์อย่างเจ้ามีสิทธิ์ได้นั่ง!”
เหมือนหลี่ชิเย่ที่นั่งสูงเด่นอยู่บนบัลลังก์กษัตริย์สูงเด่น แล้วก้มมองดูกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วอย่างนั้น เวลานี้ทุกคนต่างบังเกิดมโนภาพขึ้น เหมือนว่านาทีนี้ในมือหลี่ชิเย่ควบคุมจักรวาล ปกครองฟ้าดิน สรรพสิ่งมีชีวิตเมื่ออยู่ในมือของเขาแล้วช่างเล็กจิ๋วอะไรอย่างนั้น
“ยกเว้นข้าแล้ว ยังมีใครที่มีสิทธิ์ได้นั่ง?” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “หรือเป็นเจ้าอย่างนั้นรึ?”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมานั้น ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์พลันนิ่งเงียบทันที กระทั่งสำนักที่หันเข้าไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่ว เนื่องจากพริบตาเดียวนี้เอง ทุกคนต่างรู้สึกว่าการที่หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตำแหน่งนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนได้ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมานั่งตำแหน่งนี้ล่ะก็มันคือคางคกขึ้นวอ แม้แต่กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วก็เป็นเช่นนี้
“เจ้า…” สีหน้าของกษัตริย์แคว้นว่านโซ่วพลันแดงก่ำ เวลานี้ไม่สามารถพูดอะไรออกมา
“เจ้าก็คือคนคนนั้น” สุดท้ายเสียงที่ไพเราะเสนาะหูเสียงหนึ่งดังขึ้น ทุกคนหันไปมองผู้ที่พูดก็คือผู้พเนจรหยางหมิงที่นั่งอยู่ด้านข้างนั่นเอง
เวลานี้สีหน้าของผู้พเนจรหยางหมิงหนักแน่นจริงจัง นางจ้องมองหลี่ชิเย่แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าก็คือคนที่ลานกำแหงคนนั้น! เป็นเจ้าที่ครองอำนาจของลานกำแหง!”
นาทีนี้ผู้พเนจรหยางหมิงจดจำหลี่ชิเย่ได้แล้ว แม้ว่าก่อนหน้านั้นผู้พเนจรหยางหมิงไม่เคยพบเห็นหลี่ชิเย่มาก่อน แต่ว่าหลังจากที่กองทัพพันธมิตรพ่ายแพ้ต่อลานกำแหงแล้ว นักบวชนักบวชหยางหมิงกลับไปที่พรรคหยางหมิงแล้วเคยรายงานขั้นตอนการปฏิบัติการครั้งนั้นอย่างละเอียดต่อผู้พเนจรหยางหมิง ทำให้ผู้พเนจรหยางหมิงมีภาพของหลี่ชิเย่ที่เป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดของลานกำแหงที่ลึกซึ้งมาก
จังหวะที่ผู้พเนจรหยางหมิงมองเห็นหลี่ชิเย่นั้นก็บังเกิดความคิดขึ้นมาทันที เวลานี้มองเห็นท่วงท่าการลงมือของหลี่ชิเย่แล้ว นางจึงสามารถนำเอาหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้ามาซ้อนทับกับผู้กุมอำนาจสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่นักบวชหยางหมิงพูดถึงเข้าด้วยกัน
“อะไรนะ…” ทุกคนเสมือนหนึ่งระเบิดลงเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของผู้พเนจรหยางหมิง ทุกคนต่างหวาดผวากับสิ่งนี้ และลุกขึ้นยืนทันที
“คนของพรรคมาร…” ทันใดนั้นเอง ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องเสียวสันหลังวาบ และผู้คนส่วนใหญ่ถึงกับตกใจอย่างยิ่งก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
ระหว่างที่กระแสของดูดเลือดระบาดไปทั่วแดนลัทธิพรรษนั้น ทำให้ลานกำแหงต้องแบกรับคำว่าพรรคมารนับแต่นั้นเป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้เองทำให้ทุกคนต่างมีจิตที่ระแวงต่อพรรคมาร
“เรื่องจริงหรือเท็จกันแน่…” เวลานี้ไม่รู้ว่ามีสายตาจำนวนเท่าไรที่เปลี่ยนไปขณะมองดูหลี่ชิเย่ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่มีจิตใจหวาดกลัวจนขนลุกซู่
นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนไม่อาจจินตนาการได้ เมื่อผู้กุมอำนาจของพรรคมารกลายมาเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ และนับเป็นเรื่องที่สร้างความหวั่นไหวให้กับผู้คน
แม้แต่มู่หย่าหลัน กับฉินซาวเย่ายังต้องตกใจ เนื่องจากพวกนางก็ไม่เคยนึกถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ว่าพวกนางยังคงเชื่อมั่นในตัวของหลี่ชิเย่ สำหรับฟ่านเมี่ยวเจินนางกลับไม่สะทกสะท้าน เหมือนว่าไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อยอย่างนั้น
ในเวลานี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่จ้องมองไปที่ตันหวังฟงเซี่ยวเฉิน เนื่องจากฟงเซี่ยวเฉินก็คือหนึ่งในระดับบรรพบุรุษที่นำกองทัพพันธมิตรบุกโจมตีลานกำแหงในครั้งนั้น ระดับบรรพบุรุษต่างทยอยกันกักตนอันเนื่องมาจากบาดเจ็บสาหัส ดังนั้น มีเพียงฟงเซี่ยวเฉินที่เป็นผู้สามารถเป็นพยานเรื่องของลานกำแหงได้
“ถูกต้อง” ฟงเซี่ยวเฉินก็ไม่ลนลานกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “คุณชายก็คือผู้กุมอำนาจสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง และก็คือศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่าเหลวไหลจริงๆ คนของพรรคมารไหนเลยมีสิทธิ์กลายเป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้! ฟงเซี่ยวเฉิน ท่านสมคบคิดฝ่ายมารเป็นภัยต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ” กษัตริย์ของแคว้นว่านโซ่วดีใจออกนอกหน้า นี่เป็นโอกาสที่ฟ้าประทานมาให้
“แล้วทำไมจะไม่ได้?” ฟงเซี่ยวเฉินไม่รู้สึกลนลานแม้แต่น้อย กล่าวเรียบเฉยว่า “หุบเขาอมตะของพวกเราเคยมีบุคคลภายนอกจำนวนเท่าไรที่ได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ ราชันแท้จริงเย่ากวงก็เคยเป็นผู้คุ้มกันของหุบเขาอมตะ ระตับอมตะของตระกูลหวี๋ก็เคยดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะ เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมผู้กุมอำนาจสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงถึงเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะไม่ได้ หุบเขาอมตะของพวกเรายอมรับทุกคน หมื่นยุคที่ผ่านมา มีบุคคลภายนอกดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะอยู่เท่าไร?”
คำพูดของฟงเซี่ยวเฉินทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องมองหน้ากันและกัน ที่ฟงเซี่ยวเฉินพูดมานั้นเป็นเรื่องจริง ดั่งเช่นราชันแท้จิรงเย่ากวง ระดับอมตะตระกูลหวี๋ต่างก็เคยได้รับบุญคุณยิ่งใหญ่จากหุบเขาอมตะ ดังนั้น ภายหลังพวกเขาต่างก็ดำรงตำแหน่งสำคัญในหุบเขาอมตะมาก่อน
ในหมื่นยุคที่ผ่านมา มีบุคคลภายนอกจำนวนมากเคยรั้งอยู่ หรือดำรงตำแหน่งสำคัญ กระทั่งร่วมตัดสินนโยบายต่างๆ เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ทราบว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ได้รับบุญคุณจากหุบเขาอมตะ เมื่อพวกเขามีกำลังกล้าแข็งขึ้นล้วนแล้วแต่เคยกลับมาทดแทนต่อหุบเขาอมตะ
“ที่พูดมาก็ถูก” เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของฟงเซี่ยวเฉินแล้วต่างรู้สึกว่ามีเหตุผล แม้ว่าหลี่ชิเย่จะเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แต่เขาก็สามารถดำรงตำแหน่งศิษย์ลำดับที่หนึ่งของหุบเขาอมตะได้ เฉกเช่นราชันแท้จริงเย่ากวง และอมตะแห่งตระกูลหวี๋อย่างนั้น
“ฮ่า ฮ่าจอมมารแห่งพรรคมารไหนเลยสามารถเทียบได้กับพวกเขาราชันแท้จริงเย่ากวง” กษัตริย์แคว้นว่านโซ่วหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “จอมมารแห่งพรรคมารเป็นผู้ที่มีจิตใจชั่วร้ายยากจะคาดเดา หวังทำร้ายระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของพวกเรา เป็นภัยต่อโลกมนุษย์ ฟงเซี่ยวเฉินเจ้าสมคบคิดฝ่ายมาร โทษสมควรตายหมื่นครั้ง”
“พวกสวะไร้สมอง” ฟงเซี่ยวเฉินเพียงแค่มองหน้ากษัตริย์แคว้นว่านโซ่วอย่างเย็นชา และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “บอกได้แต่เพียงเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่ไปสัมผัสกับระดับเช่นนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้บรรลุข้อตกลงกับบรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ ของแดนลัทธิพรรษ ยอมรับฐานะของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ทั้งสองฝ่ายดำเนินการตามข้อตกลงครั้งกระนั้น พิษภัยของเทพแท้จริงเทียนเต๋อได้ถูกขจัดไปจนสิ้นนานแล้ว พรรคมารมาจากไหนกัน? พวกโง่เขลา”
………………………………………………….