ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2285 เริ่มพิธี
นักพรตฉางเซินไม่ได้แสดงอาการโกรธสำหรับท่าทีที่ดูเหลาะแหละของหลี่ชิเย่ เพียงก้าวเดินไปด้านหน้าหลี่ชิเย่อย่างช้าๆ
นาทีนี้เวลานี้ทุกคนถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ มองดูหลี่ชิเย่และนักพรตฉางเซินคู่ศิษย์อาจารย์ที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่าศิษย์อาจารย์คู่นี้ไม่ค่อยจะเข้ากัน เนื่องจากการแสดงออกของหลี่ชิเย่นั้นถืออำนาจบาตรใหญ่ ทำตัวอยู่เหนือทุกๆ คน เกรงว่าแม้แต่อาจารย์ที่ยอดเยี่ยมอย่างนักพรตฉางเซินก็สยบเขาไม่ได้ กระทั่งดูจะสลดและอับแสงเมื่ออยู่ต่อหน้าของเขา
“เจ้าคือศิษย์พี่ใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นผู้สืบทอดของหุบเขาอมตะ ภาระหนักอึ้งยาวไกล…” นักพรตฉางเซินยิ้มาสวยหยาดเยิ้ม ยามที่นางยิ้มนั้นเสมือนดั่งดอกไม้บานยามฤดูใบไม้ผลิ หมู่มวลบุปผาเบ่งบานพร้อมเพรียงกัน นับว่างดงามยิ่งนัก ทำให้พวกฟ่านเมี่ยวเจินที่เป็นศิษย์พี่น้องทั้งสามดูจะด้อยไปไม่น้อยทีเดียว ด้วยความงดงามเช่นนี้ ทำให้ผู้พบเห็นมองดูจนจิตใจหวั่นไหว
แต่ว่า หากมองอย่างตั้งใจแล้วก็จะพบว่า ในส่วนของท่าทีอันงดงามนั้นฟ่านเมี่ยวเจินดูจะเหมือนกับนักพรตฉางเซินผู้เป็นอาจารย์ของนางมากทีเดียว ทั้งสองคนต่างก็มีความเจ้าเล่ห์อยู่สามส่วน
“ช่างเถอะ ข้าไม่สนใจ” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ ยิ้มนิดหนึ่ง ยืนมือไปเชยคางที่งดงามของนักพรตฉางเซินขึ้นมา พิจารณาดูความงดงามของนางอย่างละเอียด
พริบตาเดียวนั้นเอง บรรยากาศเสมือนดั่งแข็งตัวไปทั่วบริเวณ นักพรตฉางเซินคืออาจารย์ของหลี่ชิเย่ ทั้งยังเป็นเจ้าสำนักของหุบเขาอมตะ เรียกได้ว่ามีตำแหน่งฐานะที่สูงส่ง คนอื่นเมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้วล้วนแล้วแต่ไม่กล้าแสดงความไม่เคารพต่อนางแม้แต่น้อย เวลานี้หลี่ชิเย่ถึงกับเชยเอาคางที่งดงามปราศจากผู้เทียบเทียมของนักพรตฉางเซินขึ้นมาต่อหน้าสายตาของทุกๆ คน ช่างเป็นการกระทำที่เหลาะแหละ ช่างกำเริบเสิบสานอะไรอย่างนั้น
แต่ว่า ทันใดนั้นเอง ทุกอย่างดูจะเป็นเรื่องปรกติอะไรอย่างนั้น เหมือนว่าภายใต้ผู้ชายที่พาลและถืออำนาจบาตรใหญ่ผู้นี้ ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใดก็ตามล้วนแล้วแต่ ดูสมเหตุสมผลทั้งสิ้น ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูจะตามอารมณ์และเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดที่เหนือความคาดคิด
ผู้ชายคนนี้ดูธรรมดาอย่างยิ่ง แต่เมื่อไรที่ทำกำเริบเสิบสานขึ้นมาดูเหมือนจะอยู่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นไปตามธรรมชาติ เรียกได้ว่าทำอะไรได้ตามอำเภอใจ
ในขณะที่ทุกคนมองดูภาพเช่นนี้อยู่นั่นเอง หลี่ชิเย่ได้หดมือกลับมาด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ้มเฉยเมยและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “คนอย่างข้าไม่ใส่ใจกับเรื่องเป็นแพะรับบาป และไม่ใส่ใจกับการใช้แรงงานหนัก แต่ว่า ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่ต้องมีค่าตอบแทนทั้งสิ้น ของฟรีไม่มีในโลก เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเจ้าได้เตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”
“ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่เป็นวาสนา” นักพรตฉางเซินยิ้มท่าทีหยาดเยิ้ม งดงามหนึ่งไม่มีสองในหล้า ความงดงามของนางเคียงคู่กับผู้พเนจรหยางหมิง เพียงแต่ผู้พเนจรหยางหมิงนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเยือกเย็นสูงส่งบริสุทธิ์ ยากจะได้เห็นรอยยิ้มของนาง ซึ่งแตกต่างจากนักพรตฉางเซินที่ดึงดูดผู้คน
นักพรตฉางเซินเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สิ่งนี้ก็คือสิ่งที่ท่านต้องการ สิ่งที่มุ่งหวังมิใช่รึ?”
“ดีมาก” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ดี ข้ารอเวลาที่จะเก็บหนี้อยู่ สำหรับตอนนี้น่ะหรือ ได้เวลาสมควรปิดฉากลงได้แล้ว มอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้าก็แล้วกัน” พูดขาดคำก็ลุกขึ้นยืน
ขณะที่ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาอะไร เห็นร่างเงาของหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง พลันขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสูงสุดของเขาเก็บสมุนไพร ด้วยท่วงท่าที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนว่าเขาเป็นผู้ที่อยู่เหนือทุกสิ่ง
ทุกคนยังไม่ได้สติกลับคืนมา หลี่ชิเย่พลันหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหน เหมือนว่าระเหยไปขณะอยู่กับที่
“นี่มัน…” เวลานี้ทุกคนไม่สามารถได้สติกลับมาในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน
ในเวลานี้ทุกคนต่างก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น หลี่ชิเย่ที่พยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ดีขึ้นอย่างสุดความสามารถด้วยการทำลายแคว้นว่านโซ่ว ผลงานของเขายิ่งใหญ่จนเกรงว่าไม่มีผู้ใดในหุบเขาอมตะสามารถเทียบเคียงได้อีกแล้ว
เวลานี้สถานการณ์สงบลงสมควรแก่เวลาที่จะมาฉลองผลงานกัน ซึ่งผลงานของหลี่ชิเย่โดดเด่นมาก สมควรที่เขาจะต้องได้รับเกียรติยศแล้ว สมควรจะได้ครองเป็นผู้นำได้แล้ว แต่ว่าเขากลับจากไป
ในสายตาของทุกคนต่างมองว่าเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดลัทธิหนึ่งแล้ว ถ้าหากจะมีศิษย์สักคนสร้างผลงานได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เรื่องตบรางวัลนั้นไม่ต้องพูดถึง เกรงว่าเขาสามารถได้ทุกสิ่งที่ต้องการภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ นี้ กระทั่งกล่าวได้ว่ามีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด
ไม่ว่าใครก็ตาม ก็จะไม่ยอมพลาดโอกาสอันงดงามในพิธีเฉลิมฉลองเช่นนี้ มันต้องเป็นช่วงเวลาของก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดที่ดีที่สุด
แต่ทว่า หลี่ชิเย่กลับจากไปให้รู้แล้วรู้รอดไป ไม่ใยดีแม้แต่น้อยกับผลงานเช่นนี้ ไม่ใส่ใจกับมันอย่างสิ้นเชิง ท่าทีเช่นนี้ ทุกคนที่ได้เห็นล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ
จะอย่างไรเสียทุกคนต่างก็เข้าใจ ถ้าหากในพิธีสำคัญในวันนี้ เกรงว่าหากหลี่ชิเย่ต้องการสืบทอดตำแหน่งสำคัญของหุบเขาอมตะคงไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย แต่หลี่ชิเย่กลับไม่สนใจ ไปจากให้รู้แล้วรู้รอดไป
แม้แต่พวกฟ่านเมี่ยวเจินศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคนถึงกับต้องทอดถอนใจออกมาเบาๆ เมื่อหลี่ชิเย่หายตัวไปอย่างกะทันหัน จากการสัมผัสในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในใจของพวกเรารู้ดีว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้ใส่ใจกับอำนาจอันน้อยนิดของหุบเขาอมตะ อีกทั้งภายในใจของพวกนางก็รู้ว่า หลี่ชิเย่จะไม่รั้งอยู่ที่หุบเขาอมตะนานเกินไป เขาคือมังกรเจียวหลงที่อยู่บนฟากฟ้า ถูกลิขิตเอาไว้แล้วจะต้องท่องไปยังเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน
เวลานี้ นักพรตฉางเซินนั่งอยู่บนบัลลังก์กษัตริย์ มองดูทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “วันนี้คือวันที่มีพิธีเซ่นไหว้บูชาของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ แม้ว่าวันนี้จะได้เกิดเรื่องราวขึ้นมามากมาย แต่ว่า ในฐานะศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะล้วนแล้วแต่มีหน้าที่ต้องไปรักษาความสงบสุขของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ…”
“…ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสืบทอดมาเป็นหมื่นยุค ร้อยเผ่าพันธุ์พันสำนักตั้งอยู่มากมาย แต่ละสำนักต่างก็มีวัตถุประสงค์ที่เป็นของตนเอง ล้วนแล้วแต่มีอิสระของตนเอง ดังนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมา ร้อยเผ่าพันธุ์พันสำนักภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะล้วนแล้วแต่มีความเจริญรุ่งเรืองกันทั่วหน้า ดังนั้น ข้าจึงเชี่อว่าคงไม่มีใครต้องการให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะตกอยู่ท่ามกลางกาลเวลาแห่งไฟสงคราม…”
คำพูดของนักพรตฉางเซินไม่ได้ดังกังวาน แต่กลับได้ยินกันทั่วฟ้าดิน ส่งไปถึงทุกๆ ที่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแล้วแต่ได้ยินกันอย่างชัดเจน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จากคำพูดของนักพรตฉางเซินนี้ได้ยืนยันถึงฐานะที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ของหุบเขาอมตะในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ความจริงก็เป็นเช่นนี้ พันล้านปีที่ผ่านมาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะได้สืบทอดต่อกันมายุคแล้วยุคเล่า มีสำนักจำนวนนับไม่ถ้วนที่ผลัดเปลี่ยนกันเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมถอย แต่หุบเขาอมตะได้กุมอำนาจการปกครองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะตลอดมา ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์เช่นใด สุดท้ายแล้วไม่มีสำนักใดที่สามารถแทนที่ได้
พวกเขาหุบเขาอมตะคือสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะโดยแท้ มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่สามารถกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเอาไว้แน่น ที่ผ่านมาเป็นเช่นนี้ ปัจจุบันเป็นเช่นนี้ อนาคตก็จะเป็นเช่นนี้
“อมตะไร้ขอบเขตสิ้นสุด คงอยู่คู่ฟ้าดินหมื่นยุค…” สุดท้าย ศิษย์ของสำนักจำนวนนับไม่ถ้วนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะต่างส่งเสียงโห่ร้อง และก้มกราบกับพื้น
“พิธีเริ่มต้นขึ้น…” สุดท้าย นักพรตฉางเซินได้กล่าวเริ่มพิธีขึ้นตามกำหนด ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ ในที่สุด หลังสงครามก็นำมาซึ่งสันติสุข
ควันที่ลอยม้วนตัวขึ้นไปเป็นสาย หลังจากกราบไหว้บรรพบุรุษแล้ว บรรดาของเซ่นไหว้ที่จัดวางบนโต๊ะบูชามีนักพรตฉางเซินซึ่งเป็นผู้นำได้ทำการแบ่งปันให้กับผู้คนทั่วหล้าร่วมรับกันไปในที่สุด
พิธีเซ่นไหว้บูชาถูกจัดขึ้นตามกำหนด แม้ว่าตอนเริ่มแรกจะมีการชิงบัลลังก์แย่งอำนาจของแคว้นว่านโซ่ว แต่พิธีการเซ่นไหว้บูชาในครั้งนี้ก็ยังคงถูกจัดขึ้นด้วยความราบรื่นเหมือนที่ผ่านมา ยังคงเป็นหุบเขาอมตะที่เป็นผู้นำ หนึ่งเดียวที่แตกต่างก็คือ แคว้นว่านโซ่วที่มีฐานะสูงส่งยิ่งในครั้งนั้น มาวันนี้ได้กลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว ซึ่งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะได้มีการจัดระเบียบด้านอำนาจกันขึ้นใหม่ แต่อำนาจของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิยังคงอยู่ในมือของหุบเขาอมตะอย่างแน่นหนา
พิธียิ่งใหญ่ในครั้งนี้มีทั้งผู้ที่ยินดีปรีดา และผู้ที่เศร้ากังวล ย่อมไม่เป็นที่สงสัยว่าเหล่าบรรดาสำนักต่างๆ ที่ยืนหยัดอยู่ข้างฝ่ายหุบเขาอมตะคือผู้ที่ยินดีปรีดา จุดยืนของพวกเขาก็จะเป็นตัวตัดสินฐานะของพวกเขาในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะ ขณะที่ผู้เศร้ากังวลย่อมไม่ต้องสงสัยว่าคือบรรดาสำนักที่ไปพึ่งพาแคว้นว่านโซ่วเหล่านั้น ต่อให้หุบเขาอมตะไม่ทำการล้างทำลายสำนักของพวกเขาก็ต้องมีการลงโทษต่อพวกเขา ซึ่งจะส่งผลให้ฐานะของสำนักพวกเขาในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะตกต่ำลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ และก้าวสู่การตกต่ำจากนี้เป็นต้นไป
กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนไม่น้อยแล้วพิธีเซ่นไหว้ในปีนี้เรียกได้ว่ามีความตื่นเต้นอย่างยิ่ง หนึ่งก้าวขึ้นสู่สวรรค์ และก้าวเดียวลงสู่นรกอเวจี ก้าวเดินผิดเพียงก้าวเดียวก็แพ้ทั้งกระดาน ไม่เพียงแต่ตัวเองเท่านั้นที่แพ้ อีกทั้งยังพ่วงเอาสำนักของตนเข้าไปด้วย
สุดท้าย งานเลี้ยงยิ่งใหญ่สิ้นสุดลง ต่างคนต่างแยกย้ายกันสำนักใครสำนักมัน ขณะที่ตัวแทนของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิต่างๆ ก็ทยอยกันอำลาจากไป
หลังจากที่งานเลี้ยงสิ้นสุดลง ผู้พเนจรหยางหมิงเป็นผู้ที่ไปจากเป็นคนสุดท้าย ท้ายที่สุดแล้วคงเหลือเพียงผู้พเนจรหยางหมิงกับนักพรตฉางเซินที่ยังอยู่ในงาน ทั้งสองนั่งอยู่ที่ตรงนั้นด้วยบรรยากาศที่เงียบสงบ
ผู้พเนจรหยางหมิงและนักพรตฉางเซินทั้งสองนางได้ชื่อว่าเป็นสองหญิงงามแห่งแดนลัทธิพรรษ อีกทั้งพวกนางทั้งสองต่างก็เป็นผู้บำเพ็ญตน ขณะที่สุดยอดสาวงามทั้งสองอยู่ในชุดของผู้บำเพ็ญตนนั้น เรียกได้ว่ามีเสน่ห์ที่บอกไม่ถูก กล่าวสำหรับบุคคลอื่นแล้วยิ่งถือว่าเป็นความดึงดูดใจอย่างหนึ่ง
นักพรตฉางเซินง่ายๆ สุภาพและสง่างาม ขณะที่ผู้พเนจรหยางหมิงเยือกเย็นสูงส่งและบริสุทธิ์ เป็นเสน่ห์ที่แตกต่างกัน แต่กลับทำให้ผู้คนมองดูไม่รู้จักเบื่อ
ผู้พเนจรหยางหมิงกับนักพรตฉางเซินถูกผู้คนยกย่องให้เป็นสองนักพรตยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิพรรษ สิ่งนี้ไม่เพียงเพราะพวกนางทั้งสองต่างก็กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ และไม่เพียงเพราะพวกนางทั้งสองมีศักยภาพที่สูงส่ง ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกนางทั้งสองต่างก็มีความฉลาดเฉียบแหลมมองการณ์ไกล และความคิดเห็นอันประเสริฐที่แตกต่างกัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า ศิษย์ลำดับที่หนึ่งคือผู้กุมอำนาจสูงสุดของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง” ผู้พเนจรหยางหมิงจ้องมองนักพรตฉางเซินและเอ่ยขึ้นช้าๆ น้ำเสียงของนางเยือกเย็น แต่ฟังแล้วดูจะรื่นหูเป็นพิเศษ ทำให้ผู้คนอยากจะฟังอย่างยิ่ง
“รู้สิ” นักพรตฉางเซินอมยิ้มและกล่าวว่า “สิ่งนี้กล่าวสำหรับเจ้าแล้วก็หาใช่ความลับแต่อย่างใด”
“เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า การที่เขาสามารถควบคุมต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง แล้วยังสามารถควบคุมพลังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของพวกเจ้า”
นักพรตฉางเซินอมยิ้มและกล่าวว่า “เคยคิด เขาคือผู้ที่สวรรค์ประทานความสามารถและสติปัญญาที่ยอดเยี่ยมมาให้ เรื่องนี้สำหรับเขาแล้วจะไปยากอะไร”
“อย่าลืมสิ ความเป็นพรรคมารของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแห่งยังคงไม่ได้ขจัดไป” ท่าทีของผู้พเนจรหยางหมิงดูหนักแน่นจริงจัง และกล่าวว่า “ถ้าหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะตกไปอยู่ในมือของเขานับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย”
“แต่ว่า ข้าจำได้ว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่อยู่ในแดนลัทธิพรรษทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้ลงนามในข้อตกลงแล้ว และเท่ากับเป็นการยอมรับในฐานะของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว” นักพรตฉางเซินเผยรอยยิ้มออกมา ดูงดงามยิ่งนัก เป็นที่ประทับใจของผู้คน
“เจ้าช่างกล้าพูดนะ อนาคตจะมีกระแสรุนแรงที่โจมตีแดนลัทธิพรรษหรือไม่? ถ้าหากมีล่ะก็ เกรงว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะต้องเป็นแห่งแรกที่ได้รับผลกระทบ” ผู้พเนจรหยางหมิงกล่าวขึ้น
“เจ้าจะดูแคลนศิษย์ของข้ามากเกินไปเสียแล้ว” นักพรตฉางเซินหัวเราะและส่ายหน้า กล่าวว่า “ลำพังแค่เทพแท้จริงเทียนเต๋อไหนเลยมีสิทธิ์เปรียบเทียบกับเขาได้ แม้แต่แดนลัทธิพรรษแห่งนี้ก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา”
“ดูท่าเจ้าจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม” ผู้พเนจรหยางหมิงเอ่ยขึ้น
“ข้าเชื่อดวงตาคู่นี้ของข้า” นักพรตฉางเซินอมยิ้ม และกล่าวว่า “เจ้าเคยเห็นข้ามองคนผิดตั้งแต่เมื่อไหร่กันเล่า”
………………………………………………..