ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2286
ผู้พเนจรหยางหมิงจ้องมองดูนักพรตฉางเซินอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ทุกเรื่องราวอย่าได้มั่นใจเกินไปนัก บางทีสักวันระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะอาจจะต้องถูกทำลายภายใต้ความมั่นใจในตนเอง”
“ทำไมรึ คิดจะประลองกับข้าอย่างนั้นรึ” นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ คำพูดที่มีการท้าทายอยู่ในที
นักพรตฉางเซิน และผู้พเนจรหยางหมิงทั้งสองถูกยกย่องให้เป็นสองนักพรตยิ่งใหญ่แห่งแดนลัทธิพรรษ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางทั้งสองมีความพิเศษเป็นอันมาก พวกนางคล้ายเป็นคู่ต่อสู้ แต่ก็คล้ายเป็นสหาย ระหว่างพวกนางทั้งสองแม้ไม่เคยปะทุเป็นสงครามอะไรขึ้นมา แต่ระหว่างนางทั้งสองไม่เคยหยุดในเรื่องของการประลอง
การประลองระหว่างพวกนางสองคนไม่จำเป็นจะต้องประลองด้วยกำลัง พวกนางทั้งสองมักจะประลองในด้านของแผนการอยู่เสมอๆ
“สงครามเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ช่างเป็นอะไรที่ไร้รสนิยมเหลือเกิน” นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “มิสู้ประลองเกี่ยวกับศิษย์คนนี้ของข้า หากว่าเจ้าแพ้ ข้าก็จะตัดสินใจแทนศิษย์ของข้า รับภรรยาน้อยสักคน”
“ถ้าหากเจ้าเป็นฝ่ายแพ้ล่ะ?” ผู้พเนจรหยางหมิงยังคงเยือกเย็นมองดูนักพรตฉางเซิน ดูจากหน้าตาแล้วก็แฝงไว้ซึ่งการท้าทายเช่นกัน
นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ ท่าทางที่สวยพราวเสน่ห์ชวนให้หลงใหล ลักษณะเช่นนี้ของนางบุคคลภายนอกไม่มีโอกาสได้เห็น นางเชยคางผู้พเนจรหยางหมิงที่นุ่มนวลอย่างยิ่งขึ้น หัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ถ้าหากข้าแพ้ ข้าจะอุ่นเตียงให้กับเจ้าดีไหม?”
“เจ้าคิดแต่ทางที่ได้เปรียบ” ผู้พเนจรหยางหมิงเหลือบมองนักพรตฉางเซินทีหนึ่ง ท่าทางที่เขินอายและอ่อนหวานถูกถ่ายทอดออกมาอย่างหมดเปลือก
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดจะพนันกันอย่างไร?” นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ กะพริบตาทีหนึ่ง ท่าทางดูคล้ายกับนางมารเสียจริงๆ ซึ่งยากที่จะนำมาเชื่อมโยงกับฐานะของนางได้
“ไหนเลยจะต้องพนัน” ผู้พเนจรหยางหมิงที่สวยแบบเรียบๆ และเยือกเย็นกล่าวว่า “พิทักษ์ลัทธิเต๋าเป็นหน้าที่ของพวกเรา หากศิษย์ของเจ้าเดินตามรอยเท้าของพรรคมารล่ะก็ ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ยอมเลิกราอย่างเด็ดขาด”
“ถ้าหากเขาก้าวเดินไปตามรอยเท้าของพรรคมารจริง เกรงว่าเจ้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ ไม่แน่นักเจ้าอาจจะถูกเขาชิงตัวไปเป็นภรรยาของหัวหน้าโจร แน่นอน อันดับแรกต้องขึ้นอยู่กับว่าเขาต้องถูกใจในตัวเจ้า” นักพรตฉางเซินหัวเราะกล่าว
“ก็ต้องดูว่าเขามีความสามารถหรือไม่” แววตาของผู้พเนจรหยางหมิงเย็นชา ท่าทางที่หยิ่งยโสก็ชวนหลงใหลอย่างยิ่ง โดยเฉพาะท่าทางที่เย็นยะเยือกนั้น ยิ่งทำให้ผู้คนหมายมั่นที่จะพิชิตให้จงได้
“วางใจเถอะ ศิษย์ของข้ามีความสามารถเช่นนี้แน่นอ” นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์ว่า “แน่นอนที่สุด หากศิษย์ของข้าไม่รับเจ้า ข้าสามารถรับเจ้าเอาไว้แทนเขาได้” กล่าวพลางได้เชยคางของผู้พเนจรหยางหมิงขึ้นมา ท่าทางที่ผู้หญิงสองคนกระตุ้นแก่กันเช่นนี้นับว่าเป็นที่น่าหลงใหลเหลือเกิน
“เจ้ายังไม่ได้ตื่นจากความฝันรึ” ผู้พเนจรหยางหมิงก็เหลือบมองนักพรตฉางเซินทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า “ถ้าหากซ้ำรอยพรรคมารจริงล่ะก็ เมื่อถึงเวลานั้นไม่เพียงแค่พรรคหยางหมิงที่ปกป้องลัทธิเต๋าเท่านั้น เรื่องนี่ใช่ว่าข้าจงใจหาเรื่องเจ้า แต่เป็นสิ่งที่ทั่วทั้งแดนลัทธิพรรษต้องปฏิบัติ จูเซียงหวู่ถิง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลงต่างๆ เป็นต้น ทุกๆ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิล้วนไม่ยอมปล่อยผ่านอยู่แล้ว…”
“…เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้เจ้าคิดจะเลือกก็ไม่สามารถให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะมาเป็นผู้เลือก หรือว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของเจ้าคิดจะทุ่มหมดหน้าตักรึ” ท่าทางของผู้พเนจรหยางหมิงดูหนักแน่นจริงจังมากครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ นี่เป็นการกล่าวเตือนต่อนักพรตฉางเซินแล้ว
นักพรตฉางเซินทำท่าบิดขี้เกียจทีหนึ่ง รูปร่างที่เป็นส่วนเว้าส่วนโค้งนั้นนับว่าเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนเหลือเกิน เสียดายไม่มีผู้ใดมีบุญตาได้เห็น นางไม่ได้ใส่ใจและกล่าวว่า “น้องหยางหมิง ข้าน่ะไม่ได้ห่วงเขาหรอกนะ ต่อให้เขาบ้าบิ่นมากกว่านี้เขาก็มีสติมากกว่าใครๆ อีกทั้งไม่มีสิ่งใดสามารถบงการเขาได้ แววตาคู่นั้นของเขาก็จะให้คำตอบเจ้าได้”
ผู้พเนจรหยางหมิงมองดูรูปร่างที่เป็นส่วนเว้าส่วนโค้งซึ่งเป็นที่ดึงดูดสายตานั้น ยังคงเยือกเย็นและมีความงดงาม และกล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไรก็ตาม ข้าวางท่าทีที่รอบคอบเอาไว้ก่อน ต่อให้เจ้าเชื่อใจเขาอย่างไรก็ตาม แต่เข้ายังคงมีใจที่เฝ้าระวัง”
“ยังมี เกรงว่าเจ้าจะอ่อนกว่าข้า อย่าได้วางตัวว่าอาวุโสกว่า” เมื่อผู้พเนจรหยางหมิงเอ่ยมาถึงตรงนี้ ได้เหลือบมองไปทีหนึ่ง
“บอกได้แต่เพียงนี่เป็นท่าทีของพรรคหยางหมิงพวกเจ้า” นักพรตฉางเซินทำท่ายักไหล่เบาๆ ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “แต่ว่า ข้าเชื่อในลางสังหรณ์ของข้ามากกว่า”
“เช่นนั้น เจ้ารักษาตัวก็แล้วกัน” ผู้พเนจรหยางหมิงที่งดงามเรียบๆ กล่าวว่า “เรื่องบางเรื่องเมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว เกรงว่าหาใช่ข้ากับเจ้าสามารถบงการได้ ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าเล่นกับไฟแล้วไหม้ตัวเองก็แล้วกัน”
“เรื่องนี้มันก็จริง” นักพรตฉางเซินหัวเราะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “แต่ทว่า ถ้าหากเจ้ามีใจระแวดระวังจริงๆ ล่ะก็ คนที่เจ้าสมควรระแวดระวังหาใช่ศิษย์ของข้า แต่เป็นเจ้าคนที่แซ่มู่คนนั้น เขาจึงเป็นผู้ที่ควรค่าแก่การระแวดระวังที่แท้จริง”
คำพูดของนักพรตฉางเซินทำเอาสีหน้าของผู้พเนจรหยางหมิงดูหนักแน่นจริงจังขึ้นมาทันที นางจ้องมองไปที่นักพรตฉางเซิน และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “เป็นเพราะเจ้าได้ไปที่จูเซียงหวู่ถิงมา เจ้าไปพบอะไรมา?”
“ไม่ได้พบอะไร จูเซียงหวู่ถิงดูใกล้ชิดกับคนแซ่มู่มากเกินไปเสียแล้ว แต่ เขาต้องมีแผนการอย่างแน่นอน” เมื่อนักพรตฉางเซินเอ่ยมาถึงกตรงนี้ ดวงตาคู่นั้นดูน่าเกรงขาม เป็นการยากนักที่บนใบหน้าของนางจะปรากฎปณิธานการฆ่าขึ้นมา
นับว่าสุดจะจินตนาการได้ คนอย่างนักพรตฉางเซินถึงกับเผยปณิธานการฆ่าได้ เรื่องนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“พูดแบบนี้ เขาน่าจะมีส่วนยุให้แคว้นว่านโซ่วกลืนกินหุบเขาอมตะของเจ้าแล้วสิ” แววตาคู่นั้นของผู้พเนจรหยางหมิงก็เพ่งตรงไปข้างหน้า
ปรกติแล้วผู้พเนจรหยางหมิงกับนักพรตฉางเซินเป็นคู่รักคู่แค้นกัน ขอเพียงทั้งคู่อยู่ด้วยกันสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือจะต้องประลองกัน บางครั้งเป็นการตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ว่าความจริงแล้วระหว่างพวกนางทั้งสองก็มีเพียงพวกนางเองที่เข้าใจกันและกัน
“สิ่งของบางสิ่งหาใช่เป็นสิ่งที่แคว้นว่านโซ่วสามารถมีอยู่ในครอบครองได้อยู่แล้ว” สุดท้าย นักพรตฉางเซินได้พูดประโยคนี้ออกมา คำพูดประโยคนี้ง่ายยิ่งกว่าอะไรแล้ว
“เขามาด้วยเรื่องอันใด มุ่งหมายในสิ่งใด? ตระกูลมู่ได้รับการยกย่องว่าสามารถอาศัยฝ่ามือข้างเดียวปิดบังฟ้าได้ขณะอยู่เบื้องบน” ท่าทางของผู้พเนจรหยางหมิงดูหนักแน่นจริงจังขึ้นมา
“ไม่ว่าเขาจะมาด้วยเรื่องอันใดล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา” นักพรตฉางเซินกล่าวว่า “ไม่ว่าเขาจะมาจากเบื้องบนด้วยข้ออ้างใดก็ตาม เกรงว่าล้วนแล้วแต่ไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่เขาพูดมาแบบนั้น อนาคตต้องเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงแน่นอน และเกรงว่าเหตุร้ายจะเกิดขึ้นมาจากตัวของเขา”
“เป็นความต้องการอยากได้ของแดนลัทธิราชันต่อแดนลัทธิพรรษรึ?” ผู้พเนจรหยางหมิงกล่าวขึ้นช้าๆ
“เกรงว่าคงไม่ใช่ ตามความเห็นส่วนตัวเป็นการกระทำของส่วนบุคคล” นักพรตฉางเซินยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “แม้ว่าแดนลัทธิพรรษพวกเราจะสู้แดนลัทธิราชันไม่ได้ แต่ว่าอย่าลืมไปสิ แดนลัทธิพรรษพวกเราก็เป็นที่ที่ให้กำเนิดปฐมบรรพบุรุษมากมาย ใครต้องการกลืนกินแดนลัทธิพรรษควรแหงนหน้ามองดูท้องฟ้าเสียก่อน”
ผู้พเนจรหยางหมิงพยักหน้าเบาๆ เห็นด้วยกับคำพูดของนักพรตฉางเซิน
“สรุปก็คือ ในเรื่องนี้ตามความเห็นของข้าจะต้องมีคนที่เล่นกับไฟและไหม้ตัวเองแน่” นักพรตฉางเซิน กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะลามไปทั่วทั้งแดนลัทธิพรรษ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ถ้าหากเจ้าคิดจะระแวดระวังจริงๆ ไม่ใช่มุ่งไปบนตัวศิษย์ของข้า แต่เป็นตัวของคนแซ่มู่”
“ไม่แน่นักในอนาคตพรรคหยางหมิงของเจ้าอาจมีโอกาสต้องขอความช่วยเหลือจากศิษย์ของข้า” นักพรตฉางเซินอมยิ้มและกล่าวว่า “หากจะกล่าวว่า ใครที่กล้าสยบและสังหารคนแซ่มู่ ใครที่ไม่ได้หวั่นเกรงต่อตระกูลมู่ล่ะก็ เกรงว่าคงมีเพียงศิษย์ของข้าเท่านั้นเองแล้ว”
“เจ้ามั่นใจจนไม่ลืมหูลืมตา” ผู้พเนจรหยางหมิงกล่าวด้วยท่าทีหยิ่งยโสว่า “ต่อให้เจ้าไม่เคยขึ้นไปบนแดนลัทธิราชันก็ต้องรู้ถึงความน่ากลัวของตระกูลมู่ หากสังหารคนแซ่มู่เจ้าสามารถจินตนาการถึงผลที่เกิดขึ้นได้ ไม่แน่นักตระกูลมู่จะยอมแลกด้วยค่าตอบแทนทุกอย่างบุกลงมา อีกอย่าง จะมีใครสักกี่คนกล้าไปท้าทายอำนาจบารมีของตระกูลมู่ อย่าว่าแต่ในแดนลัทธิพรรษเลย ต่อให้เป็นแดนลัทธิราชันตระกูลมู่ก็สยบไปทั่วหล้า”
“ศิษย์ของข้า” นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “เชื่อข้าสิ มองตาของเขา ทุกอย่างในตาของเขาเป็นเพียงเมฆที่ลอยไปเท่านั้น เจ้าเองก็สามารถมองเห็นได้อยู่แล้ว คนแซ่มู่อยู่ในแดนลัทธิพรรษใครบ้างล่ะที่ไม่หวั่นเกรงเขาสามส่วน? เพราะอะไรเขาจึงสามารถวางก้ามในแดนลัทธิพรรษ? ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นเพราะตระกูลมู่ ตระกูลมู่แห่งแดนลัทธิราชัน ไม่มีใครกล้าทำอะไรเขาในขั้นเด็ดขาดเท่านั้น แต่ว่า กล่าวสำหรับศิษย์ของข้าแล้ว ตระกูลมู่มันก็แค่ฉายาๆ หนึ่งเท่านั้นเอง!”
“เจ้ากำลังวางแผนอีกแล้ว เจ้าต้องการต้อนเสือเข้าไปขย้ำหมาป่า” ผู้พเนจรหยางหมิงจ้องมองนักพรตฉางเซินไม่กะพริบตา
“น้องสาว จะพูดให้มันน่าเกลียดแบบนี้ก็ไม่ถูก” นักพรตฉางเซินหัวเราะน่ารักและกล่าวว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนแล้วแต่เป็นไปตามวาสนา เรื่องบางเรื่องอย่างไรเสียก็ต้องมีผู้ที่ไปจัดการมันขั้นเด็ดขาดเท่านั้นเอง”
“ระวังล่ะ ใครเป็นผู้เดินหมาก ใครเป็นหมากที่แท้จริง เกรงว่าหาใช่เจ้าพูดแล้วคนอื่นก็ต้องทำตาม” ผู้พเนจรหยางหมิงกล่าวเย็นชาขึ้นมา
“ไม่ ข้าไม่ใช่คนเดินหมาก และข้าก็ไม่ใช่หมาก ข้าเป็นเพียงผู้ชมคนหนึ่งเท่านั้นเอง” นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “น้องสาว เจ้าน่ะเข้าถึงบทมากเกินไปแล้ว ภาระบนบ่าหนักเกินไปแล้วล่ะ เจ้าไม่เหมือนข้า เจ้าต้องการรักษาฐานะพรรคหยางหมิงในแดนลัทธิพรรษ สำหรับหุบเขาอมตะของข้ารึอย่างไรก็ได้ พวกเราเป็นเพียงสำนักกระจอกๆ เท่านั้นเอง เรื่องของอำนาจบนโลกปล่อยให้ผู้ปรารถนาไปแย่งชิงกันก็แล้วกัน เฉกเช่นแคว้นว่านโซ่วที่ต้องการชิงบัลลังก์อย่างนั้น มันไม่เห็นจะเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไร หากพวกเขามีความสามารถพอก็เอาไปเถอะ”
ครั้นนักพรตฉางเซินเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วแลดูบุคลิกเรียบง่ายเหลือเกิน โดยเฉพาะจังหวะที่ทำท่าบิดขี้เกียจและเงยหน้าขึ้นนั้น ลำคอที่ขาวดั่งหิมะนั้นช่างดึงดูดใจผู้คนเหลือเกิน
“พรรคหยางหมิงย่อมเป็นพรรคหยางหมิง” ท้ายที่สุด ผู้พเนจรหยางหมิงแค่พูดประโยคนี้ออกมา
นี่แหละคือข้อแตกต่างระหว่างพรรคหยางหมิงกับหุบเขาอมตะ พรรคหยางหมิงได้รับการยกย่องว่าติดอันดับหนึ่งในสามพรรคใหญ่ของแดนลัทธิพรรษ ผู้พเนจรหยางหมิงจำเป็นต้องมีศักยภาพที่สมน้ำสมเนื้อกับฐานะของมัน และจำเป็นต้องคู่ควรกับฐานะและอำนาจของมัน
ขณะที่หุบเขาอมตะตลอดเวลาที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่อาศัยวิธีปกครองโดยไม่ต้องตรากฎหมายออกมาปกครองประชาชน ไม่ชิงดีชิงเด่น ดังนั้น ต่อให้ผู้คนจำนวนมากกล่าวว่าหุบเขาอมตะตกต่ำลงแล้ว กระทั่งตกต่ำไปเป็นสำนักกระจอกก็ไม่ใส่ใจ เนื่องจากหุบเขาอมตะไม่จำเป็นต้องเหมือนเช่นพรรคหยางหมิงที่ต้องปกป้องฐานะของตนอย่างแข็งขัน
“แต่ว่า ระวังตัวล่ะ หากคนแซ่มู่สามารถครอบครองจูเซียงหวู่ถิงได้จริง เช่นนั้นแล้วเป้าหมายแรกที่เขาต้องการกินก็ต้องเป็นพรรคหยางหมิงพวกเจ้า ขอเพียงกลืนกินพรรคหยางหมิงพวกเจ้าได้ ใยจะต้องกังวลว่าแดนลัทธิพรรษไม่ตกอยู่ในกำมือ” นักพรตฉางเซินหัวเราะน่ารัก และกล่าวว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าพรรคหยางหมิงพวกเจ้าได้เตรียมตัวพร้อมแล้วยัง”
“หากวันนั้นมาถึงจริงๆ เกรงว่าหุบเขาอมตะของเจ้ายิ่งยากจะพ้นเคราะห์กรรมไปได้” ผู้พเนจรหยางหมิงพูดเย็นชาขึ้นมา
“อย่างไรก็ได้ ถ้าหากพรรคหยางหมิงพวกเจ้ายังทานสถานการณ์ไม่ได้ หุบเขาอมตะของข้าไหนเลยจะมีกำลังพลิกสถานการณ์ได้เล่า?” บุคลิกของนักพรตฉางเซินดูสบายๆ อย่างยิ่ง หัวเราะน่ารัก งดงามจนน่าใจหายใจคว่ำ กล่าวพร้อมกับหัวเราะน่ารักออกมาว่า “แน่นอน ข้าสามารถออกความเห็นให้กับเจ้า มิสู้เจ้ายอมคล้อยตามศิษย์ของข้าเถอะ ให้ศิษย์ของข้าเข้าครองอำนาจในพรรคหยางหมิง อาศัยความพาลและการใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเขาบวกกับศักยภาพของพรรคหยางหมิง ลำพังแค่คนแซ่มู่นับเป็นอะไรได้”
“ฝันกลางวัน” ผู้พเนจรหยางหมิงเหลือบมองนางทีหนึ่ง
…………………………………