ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2287 ชำระหนี้ได้แล้ว
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2287 ชำระหนี้ได้แล้ว
สถานที่ลึกลับแห่งนั้นมีแม่น้ำที่ไหลหลั่ง ต้นไม้แก่ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ริมแม่น้ำ ต้นไม้แก่ได้ผุกร่อนไปแล้ว มีกิ่งที่หักโค่นและรากที่เน่าผุตกลงไปในแม่น้ำ สุดท้ายไหลไปตามน้ำล่องไปสู่ปลายน้ำเบื้องล่าง
ต้นไม้แก่ต้นนี้ก็คือต้นหวู๋ถงนกหงส์นั่นเอง สำหรับกิ่งไม้แก่ที่ร่วงหล่นและไหลไปตามน้ำ สุดท้ายตกลงมาจากน้ำตกและไหลไปเรือนโอสถ ก็คือประวัติความเป็นมาของเย่ามู่อันเลื่องลือของเรือนโอสถนั่นเอง เย่ามู่ที่ว่าก็เป็นเพียงรากและกิ่งไม้ที่ผุกร่อนของต้นหวู๋ถงนกหงส์ที่จมลงผ่านกาลเวลาอย่างยาวนาน
หลี่ชิเย่นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้น ปล่อยจิตใจให้ว่างและล่องลอยไปภายใต้ต้นหวู๋ถงนกหงส์ มองเห็นเขาเปิดลัคนาออกมา ต้นไม้ดึกดำบรรพ์เปล่งประกายออกมา และผลสัจธรรมลูกสนที่อยู่บนกิ่งไม้โอนแอนไปตามสายลมที่พัดโชยมาเบาๆ ขณะที่ผลสัจธรรมลูกสนโอนแอนไปมานั้น เสมือนดั่งโลกธาตุนับล้านล้านก็สั่นไหวโคลงแคลงไปด้วย สัจธรรมหมื่นยุคก็อยู่ท่ามกลางการสั่นไหวโคลงแคลงดังกล่าว ทำให้ผู้คนรู้สึกจิตใจหวั่นไหวและตาลาย
ต้นหวู๋ถงนกหงส์ได้แผ่แสงสีเขียวลงมา เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา ประกายของแสงที่ตกลงสู่ต้นดึกดำบรรพ์ ทำการประดับประดาให้ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ดูงดงามน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เหมือนว่าเป็นการนำพาซึ่งความมีชีวิตชีวาให้กับโลกที่กว้างใหญ่ไพศาล
แต่ว่า สิ่งนี้หาใช่เป็นการให้เพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ต้นดึกดำบรรพ์ตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของดึกดำบรรพ์นั้น เหมือนว่าต้นหวู๋ถงนกหงส์ถือกำเนิดอยู่ในโลกที่ยังไม่ได้แยกออกเป็นฟ้าดิน โลกลักษณะเช่นนี้สามารถมอบสารอาหารที่ต้นหวู๋ถงนกหงส์ต้องการทุกอย่าง เหมือนว่าภายในระยะเวลาอันสั้น ต้นหวู๋ถงนกหงส์ดูจะอ่อนวัยขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว คล้ายมีความเป็นไปได้ที่ต้นไม้เหี่ยวเฉากลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวาขึ้นมาใหม่
ท่ามกลางสายลมที่พัดฉิวๆ ผลสัจธรรมลูกสนดูจะสุกงอมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เหมือนว่าจะร่วงลงพื้นดินอย่างนั้น ซึ่งก็จะคล้ายสัจธรรมเป็นล้านล้านร่วงและเกิดขึ้นมาอย่างนั้น ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงฉากนี้ก็จะดูอลังการเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าจะมีโลกนับสิบล้านถือกำเนิดเกิด่ขึ้นในชั่วพริบตาเดียว
แน่นอนที่สุดผลสัจธรรมลูกสนจะไม่สุกงอมและร่วงลงพื้นอยู่แล้ว มันคือผลสัจธรรม เป็นผลสัจธรรมที่คงอยู่ชั่วนิรันดร
บนกิ่งไม้เขียวอีกกิ่งที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา บริเวณตอนปลายของกิ่งดูเหมือนจะมีใบอ่อนสีเขียวที่โผล่ออกมา เหมือนว่าที่ตรงนี้จะมีดอกสัจธรรมดอกหนึ่งเบ่งบานอยู่ที่ตรงนี้ ซึ่งจะมีผลสัจธรรมผลที่สองถือกำเนิดขึ้นที่ตรงนี้ เพียงแต่ทุกอย่างยังไม่ถึงโอกาส เมื่อโอกาสมาถึงทุกอย่างก็จะสุกงอมตามเงื่อนไข ซึ่งจะมีผลสัจธรรมผลที่สองออกดอกติดผลที่นี่ และจำเป็นการต้อนรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด
หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ใต้ต้นหวู๋ถงนกหงส์ในคราวนี้ ไม่รู้ว่านั่งอยู่นานเท่าไรแล้ว หลังจากเวลาผ่านไปนานมากๆ เขาจึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ได้กางนิ้วทั้งห้าออกไปช้าๆ และหมุนไปช้าๆ คล้ายดั่งเป็นหมุนสลักของบานประตูบานหนึ่งให้เคลื่อนไปอย่างนั้น เหมือนต้องการเปิดช่องว่างนี้ออกมา
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น เมื่อมือของหลี่ชิเย่หมุนไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว ประกายกาลเวลาระยิบระยับ มันมีประตูๆ หนึ่งถูกเปิดออกมาที่ตรงนี้จริงๆ
คนผู้หนึ่งก้าวผ่านประตูเข้ามา มองเห็นชายของชุดนักพรตปลิวไสว คนผู้นี้ก็คือนักพรตฉางเซินนั่นเอง
หลังจากที่นักพรตฉางเซินเข้ามาแล้ว ได้ยินเสียงดังแว้ค์ดังขึ้น ประตูนี้ได้หายไป
นักพรตฉางเซินมองดูต้นหวู๋ถงนกหงส์ที่อยู่ตรงหน้าแล้วนางถึงกับทอดถอนใจ และกล่าวว่า “ตำนานเป็นเรื่องจริง ปฐมบรรพบุรุษได้ทิ้งธาตุแท้ภายในเอาไว้ที่เขาเก็บสมุนไพรจริงๆ บรรพบุรุษแต่ละรุ่นล้วนแล้วแต่นึกถึงต้นหวู๋ถงนกหงส์ต้นนี้ แต่ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ”
ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ นักพรตฉางเซินได้ทำการสยบระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะจะสงบเรียบร้อยแล้ว นางรู้ว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้จากไป ดังนั้นนางจึงปีนขึ้นมายังเขาเก็บสมุนไพรและรอหลี่ชิเย่มาโดยตลอด ในที่สุดหลี่ชิเย่ได้เปิดประตูบานนี้ให้กับนาง
“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้ามีสิ่งร้องขอเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ใต้ต้นต้นหวู๋ถงนกหงส์กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “บางครั้งมักจะไม่ใช่ไปนึกถึงว่าสิ่งนี้สามารถนำพาสิ่งใดให้เจ้าได้อยู่เสมอๆ แต่เป็นเจ้าที่สามารถทำอะไรเพื่อมัน นี่แหละจึงเป็นธาตุแท้ภายในของสำนักๆ หนึ่ง ธาตุแท้ภายในที่ว่าล้วนแล้วแต่อาศัยการสั่งสมของแต่ละรุ่น…”
“…ถ้าหากทุกคนคิดแต่ว่าธาตุแท้ภายในสามารถนำพาสิ่งใดให้กับตน เช่นนั้นแล้วธาตุแท้ภายในที่มากกว่านั้นก็จะถูกใช้ไปจนหมดสิ้น และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่ชาญฉลาดและมองการณ์ไกลที่สุดของเซียนโอสถ เขาไม่ได้ทิ้งธาตุแท้ภายในทั้งหมดเอาไว้ในหุบเขาอมตะ แต่เป็นการทิ้งทางหนีทีไล่ ทางแล้วทางเล่าเอาไว้ อย่างน้อยที่สุดสามารถจำกัดการใช้อย่างฟุ่มเฟือยของชนรุ่นหลัง”
“ที่พูดมาก็ถูก” นักพรตฉางเซินพยักหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่งไม่นานมานี้หุบเขาอมตะของพวกเขาเคยมีราชันแท้จริงต้องการพิจารณาใคร่ครวญพินิจพิเคราะห์เขาเก็บสมุนไพร เนื่องจากเชื่อว่าต้นหวู๋ถงนกหงส์คงอยู่จริงๆ และเคยมีปรัชญาเมธีที่เคยคิดย้ายต้นหวู๋ถงนกหงส์กลับมาปลูกที่หุบเขาอมตะ
จะอย่างไรเสีย เรือนโอสถเป็นเรือนโอสถของทุกคน มีความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้อยู่มากมาย ถ้าหากอยู่ในหุบเขาอมตะย่อมแตกต่าง ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา
แต่ว่า ไม่ว่าเหล่าปรัชญาเมธีเหล่านี้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถสืบเสาะธาตุแท้ภายในที่เซียนโอสถของพวกเขาทิ้งเอาไว้ในเขาเก็บสมุนไพรได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะย้ายต้นหวู๋ถงนกหงส์กลับไป
“นี่มันจะแห้งตายอย่างนั้นรึ?” หลังจากที่พิจารณาดูต้นหวู๋ถงนกหงส์อย่างละเอียดแล้ว พบว่าต้นหวู๋ถงนกหงส์มีกิ่งไม้ที่เป็นน้อยมาก ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นกิ่งไม้แห้ง เป็นเค้าลางให้เห็นว่าต้นหวู๋ถงนกหงส์กำลังจะแห้งตาย
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “มันมีชีวิตอยู่มานานเกินไปแล้ว ผ่านมายุคแล้วยุคเล่า หากว่ากันด้วยเรื่องของอายุก็คงใกล้จะหมดอายุขัยแล้ว แน่นอน พูดถึงวงปีของมัน ต่อให้เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วก็ตาม ก็ยังมีมีชีวิตอยู่ยืนยาวมากกว่าผู้บำเพ็ญตนจำนวนมาก สามารถยืนหยัดผ่านกาลเวลาอีกยาวนาน”
“ยังมีหนทางช่วยได้ไหม?” ภายในใจของนักพรตฉางเซินถึงกับตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ และกล่าวว่า “ในหุบเขาอมตะพวกเรามียาวิเศษจำนวนมาก บางทีอาสามารถช่วยมันได้”
นักพรตฉางเซินก็เป็นยอดฝีมือด้านวิชาปรุงกลั่นยาเม็ด และโอสถ หุบเขาอมตะของพวกเขาสามารถต่ออายุให้กับยอดฝีมือได้ ไม่แน่นักก็อาจสามารถต่อชีวิตให้กับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ได้ จะอย่างไรเสียในแดนลัทธิพรรษไม่มีใครมีประสบการณ์มากไปกว่าหุบเขาอมตะของพวกเขาแล้ว
“ถามได้ดีมาก” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “สิ่งนี้ต้องดูที่พวกเจ้าสามารถทำอะไรเพื่อมันบ้าง? หากมีวาสนาเช่นนั้นจริง ต้นไม่แห้งเหี่ยวกลับคืนสู่ความมีชีวิตชีวาก็ใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“ควรจะทำอย่างไรเล่า?” นักพรตฉางเซินขอคำชี้แนะจากหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีถ่อมตนยิ่ง
“นั่นเป็นเรื่องที่พวกเจ้าต้องคิดพิจารณา ไม่ใช่ข้า” หลี่ชิเย่ที่นั่งตัวตรงไม่เคลื่อนไหวส่ายหน้าเบาๆ
นักพรตฉางเซินได้แต่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ เหมือนดั่งที่นางพูดเอาไว้อย่างนั้น เรื่องบางเรื่องสุดท้ายแล้ว่ขึ้นอยู่กับวาสนา วาสนามาไม่ถึงทุกอย่างก็เหนื่อยเปล่า
นักพรตฉางเซินที่ดูสง่างามตรงไปตรงมา บุคลิกง่ายๆ สบายๆ นั่งลงข้างกายหลี่ชิเย่ มือสองข้างกอดขาทั้งสองและหัวหนุนบนหัวเข่า เอียงคอจ้องมองหลี่ชิเย่
“แสดงละครได้ไม่เลวนักนี่” หลี่ชิเย่บิดขี้เกียจทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “พวกสวะแคว้นว่านโซ่วกลุ่มนั้นยังเข้าใจว่าแผนการณ์ของตนได้ผล”
“ไหนเลยจะบอกว่าเป็นการแสดงละครได้” นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ สามารถมีสถานการณ์อย่างที่เห็นในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นความพยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ให้ดีขึ้นอย่างสุดความสามารถของเจ้าที่เป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่ง ดังนั้น พวกเราแค่ถือโอกาสเท่านั้นเอง”
“ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ในเมื่อข้ายินดีนั่งตำแหน่งศิษย์ลำดับที่หนึ่ง ก็คือยินดีเป็นแพะรับบาปไปด้วย” หลี่ชิเย่หันกลับมาจ้องมองนักพรตฉางเซิน และกล่าวว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าหุบเขาอมตะของพวกเจ้าเตรียมการพร้อมแล้วยัง สมควรแก่เวลาที่ข้าต้องทวงหนี้ได้แล้ว”
นักพรตฉางเซินทอดถอนใจออกมาเบาๆ รู้ว่าของฟรีไม่มีในโลก ลำพังแค่ตำแหน่งศิษย์ลำดับที่หนึ่งเช่นนี้ไหนเลยจะอยู่ในสายตาของหลี่ชิเย่
“เจ้าต้องการอะไร?” ในเมื่อนักพรตฉางเซินมาที่นี่ ก็ได้เตรียมพร้อมสำหรับความโลภมากของหลี่ชิเย่แล้ว จะอย่างไรเสียว่าไปแล้วสำหรับหุบเขาอมตะของพวกเขาก็คือวาสนาอย่างหนึ่ง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นวาสนา
“ข้อต้องการต้นสมุนไพรอมตะต้นนั้น” หลี่ชิเย่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เป็นไปไม่ได้…” พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ นักพรตฉางเซินที่เดิมนั่งกอดเข่าถึงกับกระโดดขึ้นมาทันที สีหน้าเปลี่ยนไปมากทีเดียว และกล่าวว่า “นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
“มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนว่ามันเป็นเรื่องที่ธรรมดามากจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว
ต่อให้นักพรตฉางเซินที่มีความนิ่งตลอดมาเวลานี้ก็นิ่งไม่ไหวแล้ว นางจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปมารวดเร็วสับสนแปรปรวน สุดท้ายนางส่ายหน้าและกล่าวว่า “เจ้าสมควรรู้ว่าต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้มีความสำคัญต่อหุบเขาอมตะพวกเราอย่างยิ่ง!”
“ไม่ สิ่งนี้กล่าวสำหรับหุบเขาอมตะพวกเจ้าแล้ว มันเป็นเพียงต้นสมุนไพรต้นหนึ่งเท่านั้นเอง พวกเจ้าก็ไม่สามารถศึกษาค้นคว้าออกมาได้ถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของมัน มันเองก็ไม่สามารถทำให้หุบเขาอมตะพวกเจ้าเป็นอมตะ ยิ่งไม่สามารถทำให้หุบเขาอมตะไม่มีวันตายไม่ล่มสลายได้” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่างมากก็แค่เก็บเอาใบของมันมาบ้างเพื่อปรุงกลั่นยาเม็ดวิเศษอะไรนั่น ซึ่งมันคือความสิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง!”
“แต่ว่า มันคือสัญลักษณ์ของหุบเขาอมตะพวกเรา และเป็นของวิเศษประจำหุบเขาอมตะ ซึ่งปฐมบรรพบุรุษปลูกเองมากับมือ มีความหมายไม่ธรรมดา” นักพรตฉางเซินกล่าวด้วยท่าทีหนักแน่น
“ข้ารู้ แล้วอย่างไรล่ะ? พูดถึงโดยเนื้อแท้สำหรับพวกเจ้าแล้ว มันยังคงเป็นหญ้าสมุนไพรต้นหนึ่ง แต่อยู่ในมือของข้ากลับจะแตกต่าง” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “มันอยู่ในมือหุบเขาอมตะพวกเจ้าจะไม่ใช่ยาสมุนไพรอมตะตลอดไป แต่เป็นหญ้าสมุนไพรต้นหนึ่ง จำเอาไว้ มันคือยาสมุนไพรอมตะ พวกเจ้ากำลังใช้มันอย่างสิ้นเปลือง!”
“เจ้าเปลี่ยนข้อเรียกร้องอย่างอื่น ทุกอย่างล้วนแล้วแต่คุยกันได้” นักพรตฉางเซินเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดดี
ถ้านางได้เตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับความโลภมากของหลี่ชิเย่ แต่นึกไม่ถึงว่าหลี่ชิเย่ถึงกับต้องการต้นสมุนไพรอมตะของวิเศษประจำหุบเขาของพวกเขา สมควรทราบว่า ต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา
แม้ว่าจะเหมือนเช่นที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น เป็นความจริงที่ต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้ไม่สามารถทำให้ระดับบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะเป็นอมตะไม่มีวันตาย แต่มันปลูกมากับมือโดยเซียนโอสถ และเคยบอกว่านี่คือยาสมุนไพรอมตะ เท็จจริงอย่างไรแม้ไม่อาจรู้ได้ เพียงแต่เมื่อเซียนโอสถจริงจังถึงเพียงนี้ เบื้องหลังของมันต้องมีความลับอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น ยาเม็ดวิเศษที่ปรุงกลั่นขึ้นมาโดยใบของต้นสมุนไพรอมตะไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้ในแง่ความหมายบางอย่างแล้วมันคือเจ้าชีวิตของหุบเขาอมตะพวกเขา และเป็นสัญลักษณ์ของหุบเขาอมตะ
“ข้าต้องการเพียงต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ที่เหลือไม่อยู่ในสายตาของข้า”
พลันที่พูดคำๆ นี้ออกมา ทำเอานักพรตฉางเซินแทบจะหายใจไม่ออก
“สิ่ง สิ่งนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้” สุดท้าย นักพรตฉางเซินส่ายหน้า ท่าทีหนักแน่นจริงจัง และกล่าวว่า “สิ่งนี้ก็หาใช่บรรดาเหล่าบรรพบุรุษสามารถตัดสินใจได้ กระทั่งกล่าวได้ว่าในปัจจุบันไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้ ในความหมายบางแง่มุมมีเพียงหุบเขาอมตะถูกทำลาย ต้นสมุนไพรอมตะจึงจะเปลี่ยนเจ้าของได้”
“ข้ารู้ ดังนั้นข้าจึงปรึกษากับเจ้า” หลี่ชิเย่กล่าเฉยเมยว่า “ถ้าหากข้าไม่ใช่คนที่เข้าใจและมีเหตุผลล่ะก็คงลงมือไปนานแล้ว เจ้าคิดว่าหากข้าต้องการต้นสมุนไพรอมตะต้นนั้น หุบเขาอมตะพวกเจ้ามีคนขวางข้าได้หรือ?”
…………………………………………………..