ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2288 การค้าที่ไม่ถือเป็นการค้า
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2288 การค้าที่ไม่ถือเป็นการค้า
เวลานี้นักพรตฉางเซินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้าย นางส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เกรงว่ามันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้มีความหมายที่ไม่ธรรมดาสำหรับหุบเขาอมตะ หากว่าต้องสูญเสียมันไป เกรงว่าหุบเขาอมตะของพวกเราคงเหลือเพียงชื่อเท่านั้น แท้จริงคือล่มสลายไปแล้ว”
“คำว่าคงเหลือเพียงชื่อ แท้จริงคือล่มสลายไปแล้วไปเอามาจากไหนกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมาและกล่าวว่า “ถ้าหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่งเพียงแค่พึ่งพาอยู่กับต้นสมุนไพรเซียนต้นหนึ่ง แล้วจะเอาต้นกำเนิดสัจธรรมไว้เพื่ออะไร จะมีธาตุแท้ภายในเพื่ออะไร? หากปราศจากต้นกำเนิดสัจธรรม ปราศจากธาตุแท้ภายใน นั่นแหละที่เรียกว่าคงเหลือเพียงชื่อเ แท้จริงคือล่มสลายไปแล้วที่แท้จริง”
“อีกอย่าง วันนี้ข้าไม่ได้มาปรึกษาหารือกับเจ้าถึงข้อปัญหาที่ว่าได้หรือไม่ได้” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “มาวันนี้ข้าเพียงแจ้งข่าวให้เจ้าทราบเท่านั้น หากได้ย่อมเป็นการดีที่สุด ถึงไม่ได้ก็ต้องได้ ไม่มีทางที่จะเจรจาพูดคุยกันได้ ข้าเพียงแจ้งให้ทราบเท่านั้นเอง”
“นี่มันเกินไปแล้ว” นักพรตฉางเซินถึงกับส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “พวกเราไหนเลยต้องให้ถึงจุดนี้?”
“ไม่ใช่เกินไป แต่จะต้องเป็นเช่นนั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ข้าต้องการมันใช่เป็นเพราะมันมีความเป็นอมตะ แต่เป็นเพราะประวัติความเป็นมาของมัน ต้นกำเนิดของมัน ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของมัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเจ้าไม่อาจรับรู้ได้ และหาใช่สิ่งที่พวกเจ้าสามารถบรรลุได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะได้หรือไม่ได้ข้าก็ต้องเอามาให้ได้ มันอยู่ในมือของหุบเขาอมตะพวกเจ้าก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก”
“ต่อให้ข้าเห็นด้วย เหล่าบรรพบุรุษก็ไม่เห็นด้วย” นักพรตฉางเซินถึงกับนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“หากไม่เห็นด้วย คงต้องบอกว่าข้าได้แต่อาศัยกำลังหยิบเอาไป ถึงตอนนั้นอย่าโทษว่าข้าไม่ได้บอกกันก่อน” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ
สีหน้าของนักพรตฉางเซินถึงกับบึ้งตึง จ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “คำพูดของเจ้าเกินไปแล้ว ชั่วดีอย่างไรพวกเราก็เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง”
“ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแล้วอย่างไร?” หลี่ชิเย่จ้องมองพลาง กล่าวด้วยท่าทีอมยิ้มว่า “ข้าไม่หวั่นกระทั่งเป็นศัตรูกับแดนลัทธิพรรษ แล้วไหนเลยจะต้องไปใส่ใจกับการเป็นศัตรูกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิๆ หนึ่ง? ในเมื่อข้ามาแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจกับใครทั้งสิ้น ต่อให้เป็นแดนสามเซียนข้าก็ไม่ได้ใส่ใจกับใครทั้งสิ้น ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าหากฉลาดและมีสายตาที่ยาวไกล รู้กาลเทศะ อนาคตยังสามารถทำให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้รวดเร็วเป็นพิเศษ แต่หากยึดติดอยู่กับความโง่เขลา นั่นคือการรนหาที่ตายเอง”
“เจ้าคิดว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของพวกเราคือสำนักที่สุดแล้วแต่ใครเขาจะบีบเล่นก็ได้จริงหรือ?” นักพรตฉางเซินถึงกับจ้องเขม็งอย่างเคืองๆ
“ไม่ ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง กล่าวท่าทีจริงจังว่า “ข้าแค่คิดว่า ใครขวางข้า ฆ่าไม่มีละเว้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นสำนักที่แข็งแกร่งเช่นใด”
นักพรตฉางเซินจ้องมองดูท่าทีที่เรียบเฉยของหลี่ชิเย่ เวลานี้นางถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมา หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นบางทีอาจจะอาละวาดก็ได้ จะอย่างไรเสียมีไม่กี่คนที่สามารถอดทนต่อการที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนถูกดูแคลน ยิ่งไปกว่านั้น หุบเขาอมตะเพิ่งจะทำลายแคว้นว่านโซ่วลงหมาดๆ เรียกได้ว่าเปี่ยมด้วยความมั่นใจ
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็อาจเข้าใจว่าหลี่ชิเย่นั้นกล่าววาจาโอหังอวดดี ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ไม่รู้จักคำว่าตาย
แต่ภายในใจของนักพรตฉางเซินเข้าใจเป็นอย่างดีว่า หลี่ชิเย่ไม่ได้พูดล้อเล่น และไม่ได้โง่เขลาอวดดี ไม่ได้กล่าวาจาสามหาว เมื่อไหร่ที่มีการลงมือ เกรงว่าคงถึงขั้นฟ้าถล่มดินทลาย
แม้จะกล่าวว่านักพรตฉางเซินมีความเชื่อมั่นในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของตนเองมาก ต่อให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะของพวกเขาเทียบไม่ได้กับพรรคหยางหมิง จูเซียงหวู่ถิง แต่ยังคงสามารถต่อต้านกับภัยอันตรายนับไม่ถ้วนและวิกฤตต่างๆ
เพียงแต่หากหลี่ชิเย่ลงมือจริงๆ ในใจของนักพรตฉางเซินก็ขาดความมั่นใจไปโดยพลัน เนื่องจากนางเองก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ที่ตนเองต้องเผชิญนั้นน่ากลัวเช่นใด
“คนอย่างข้ายังนับเป็นผู้ที่ว่ากันด้วยเหตุผลอยู่แล้ว มิฉะนั้นแล้วก็ไม่กลายเป็นศิษย์ลำดับที่หนึ่งของเจ้า และไม่บอกว่าจะช่วยพวกเจ้าทำลายแคว้นว่านโซ่ว” หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “พวกเจ้าใจป้ำข้าก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน ข้าขอต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้ของพวกเจ้า ก็จะให้ของขวัญชิ้นหนึ่งให้พวกเจ้าเช่นกัน”
กล่าวพลางหลี่ชิเย่ได้หยิบเอาสิ่งของออกมาสิ่งหนึ่ง ได้ยินเสียงดังตูม ปรากฎเชื้อไฟเต้นวูบวาบอยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่
‘เชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคี’ แม้ว่าภายในใจของนักพรตฉางเซินจะได้เตรียมใจเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว มองเห็นเชื้อไฟเต้นวูบวาบอยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่ นางยังคงต้องทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง และประทับใจยิ่งนัก
“เจ้าเองก็รู้อยู่แล้ว นี่แหละคือวาสนาระหว่างเจ้ากับข้า” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
“เชื้อไฟสุดยอดที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า มีความสัมพันธ์กับแหล่งกำเนิดเผ่าไฟชนิดแยกกันไม่ออก” นักพรตฉางเซินก็พยักหน้ายอมรับ
นักพรตฉางเซินไม่เพียงเป็นแค่เจ้าสำนักของหุบเขาอมตะ ขณะเดียวกันนางมีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟ กล่าวสำหรับเผ่าไฟของพวกเขาแล้ว เชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคีนับว่าล้ำค่ามากเหลือเกิน ล้ำค่ามากจนไม่สามารถบรรยายได้ด้วยตัวอักษร เนื่องจากสามารถวิวัฒนาการความหมายที่ลึกซึ้งของเผ่าไฟพวกเขา เฉกเช่นหลี่ชิเย่ได้ทำการวิวัฒนาการเช่นนั้น นั่นก็คือโล่เซียนเทพอัคคีย้อนอดีต
อีกทั้ง ‘โล่เซียนเทพอัคคีย้อนอดีต’ เป็นเพียงความหมายที่ลึกซึ้งเพียงส่วนหนึ่งเผ่าไฟพวกเขาเท่านั้น ถ้าหากสามารถได้ ‘เชื้อไฟดึกดำบรรพ์’ ก็จะสามารถวิวัฒนาการความหมายที่ลึกซึ้งได้มากยิ่งกว่า
สมควรทราบว่า ภายในหุบเขาอมตะไม่เพียงแต่ตัวของนางในฐานะเจ้าสำนักที่มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟเท่านั้น ศิษย์ของหุบเขาอมตะจำนวนมากก็มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟ เนื่องจากเซียนโอสถปฐมบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะก็มีชาติกำเนิดมาจากเผ่าไฟ
ครั้งนั้น ขณะนักพรตฉางเซินได้พบกับหลี่ชิเย่เป็นครั้งแรกนั้น พลันรับรู้ได้ทันทีถึงเชื้อไฟที่ไม่ธรรมดา ด้วยเหตุนี้เองนักพรตฉางเซินจึงได้พูดว่าหลี่ชิเย่กับนางมีวาสนาต่อกัน มีวาสนากับหุบเขาอมตะ คำพูดนี้ใช่พูดออกมาลอยๆ
“ความล้ำค่าของมัน ไม่ต้องให้ข้าไปบรรยายให้มากความ ครั้งนั้นแม้แต่เซียนโอสถปฐมบรรพบุรุษของพวกเจ้าก็ต้องการแต่ไม่สามารถได้มา” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “มาวันนี้ หากมันรั้งอยู่ในหุบเขาอมตะ เจ้าคิดว่าความคุ้มค่าของมันต้นสมุนไพรอมตะสามารถเทียบกับมันได้หรือไม่?”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้นักพรตฉางเซินถึงกับนิ่งเงียบขึ้นมา
ตามตำนานเล่ากันว่า ต้นสมุนไพรอมตะต้นนั้นของหุบเขาอมตะสามารถทำให้เป็นอมตะได้ แต่นั่นสุดอยู่แค่เป็นตำนาน มีมีผู้ใดในหุบเขาอมตะสามารถบรรลุถึงความหมายที่ลึกซึ้งยอดเยี่ยมได้อย่างแท้จริง แม้แต่ปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุถึงเบื้องหลังความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของมันได้อย่างแท้จริง กล่าวได้ว่าต้นสมุนไพรอมตะต้นนี้สามารถสำแดงประโยชน์ของมันต่อหุบเขาอมตะในวงที่ค่อนข้างจำกัด
แต่หากว่าหุบเขาอมตะของพวกเขาได้ ‘เชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคี’ มาครอบครองก็จะต่างกัน เนื่องจากหุบเขาอมตะของพวกเขามีเพียงมีศิษย์ที่เป็นเผ่าไฟเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ หุบเขาอมตะของพวกเขาก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากการปรุงกลั่นโอสถ โดยเฉพาะในเรื่องวิชายาเม็ดนั้นไม่มีสำนักใดสามารถเทียบเคียงกับพวกเขาได้ ขณะเดียวกันหุบเขาอมตะของพวกเขาก็เป็นสำนักที่มีหมอโอสถมากที่สุดในแดนลัทธิพรรษ
กล่าวสำหรับเผ่าไฟของพวกเขาแล้ว เชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคีไม่เพียงเป็นสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันให้ได้มา กล่าวสำหรับหมอโอสถแล้ว เชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคียิ่งนับเป็นสิ่งที่ล้ำค่าจนไม่อาจเปรียบเปรยได้ เนื่องจากการมีเชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคีในครอบครองทุกอย่างก็จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ยกตัวอย่างหุบเขาอมตะของพวกเขา บางทีพวกเขาอาจสามารถหยิบสมุนไพรที่จำเป็นซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของปฐมบรรพบุรุษที่ใช้ในการปรุงกลั่นยาเม็ดอายุวัฒนะออกมาได้ และบางทีพวกเขาอาจมีหมอโอสถที่มีศักยภาพเพียงพอที่สามารถปรุงกลั่นยาเม็ดอายุวัฒนะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของปฐมบรรพบุรุษได้แล้ว แต่เชื้อไฟที่มีอยู่ใช้ไม่ได้ ต่อให้พวกเขามีทุกอย่างพร้อมสรรพก็ไม่สามารถปรุงกลั่นออกมาได้เช่นกัน
ถ้าหากเมื่อไรที่มีเชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคีในครอบครอง ทุกอย่างก็จะแตกต่างกัน
อีกทั้งเชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคีใช่จะมีประโยชน์ต่อหมอโอสถคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ ถ้าหากมีเชื้อไฟลักษณะเช่นนี้รั้งอยู่ในหุบเขาอมตะของพวกเขา มันจะเป็นตัวนำพาเชื้อไฟทั้งหมดที่มีอยู่ในหุบเขาอมตะของพวกเขา เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว จะทำให้การปรุงกลั่นโอสถของหมอโอสถในหุบเขาอมตะสามารถดึงศักยภาพการปรุงกลั่นโอสถของหมอโอสถหุบเขาอมตะขึ้นไปได้อีกระดับหนึ่ง
เป็นการก้าวขึ้นไปอีกระดับในภาพรวมทั้งหมด ไม่เพียงแค่ทำให้หมอโอสถของพวกเขามีศักยภาพสูงขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ทำให้เชื้อไฟของหุบเขาอมตะในภาพรวมสูงขึ้น ทำให้ธาตุแท้ภายในของหุบเขาอมตะทั้งหมดสูงขึ้น
เมื่อถึงขั้นนั้น กล่าวสำหรับหุบเขาอมตะแล้ว วิชาปรุงกลั่นยาเม็ดของพวกเขาก็จะยิ่งเป็นหนึ่งในแดนลัทธิพรรษ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ไม่สามารถตามหุบเขาอมตะพวกเขาได้ทันอีกแล้ว อย่างน้อยที่สุดด้านยาเม็ดเป็นเช่นนี้
หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งว่า ในด้านของความหมายที่นำมาใช้ได้จริงๆ แล้ว เชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคีย่อมมีมากกว่าต้นสมุนไพรอมตะต้นนั้น และส่งผลได้มากกว่า แม้แต่เซียนโอสถปฐมบรรพบุรุษในครั้งนั้นของพวกเขาก็ไม่สามารถได้มาครอบครอง ขณะที่ต้นสมุนไพรอมตะนั้น ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นความหมายเชิงสัญลักษณ์มากกว่าอยู่เสมอๆ
ตูม…เสียงหนึ่งดังขึ้น เวลานี้เชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคีที่อยู่บนฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้ลอยไปหานักพรตฉางเซิน และไปอยู่บนฝ่ามือของนาง
“เจ้าไปบอกกล่าวต่อบรรดาบรรพบุรุษของหุบเขาอมตะ ถ้าหากคิดตกทุกคนยังคงอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข อนาคตยังคงโชติช่วงชัชวาล” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ถ้าหากพวกเจ้าคิดว่าสามารถเล่นกับข้าถึงที่สุดไม่จบไม่สิ้นล่ะก็ เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นข้าคงจะได้ลาภลอยจริงๆ แล้วล่ะ มันก็จะไม่ใช่ต้องการเพียงแค่ต้นสมุนไพรอมตะต้นหนึ่งง่ายดายอย่างนั้นแล้ว”
นักพรตฉางเซินได้แต่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีก
“แน่นอน คนอย่างข้าก็ไม่คาดหวังให้มีการเปิดศึก จะอย่างไรเสียบรรดาสาวๆ แต่ละนางของหุบเขาอมตะล้วนแล้วแต่งดงามกันทั้งสิ้น แม้แต่อาจารย์คนนี้ของข้าก็งดงามน่าประทับใจ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหากข้าจะต้องลงมือสังหารเสีย” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่ได้หัวเราะขึ้นมา
นักพรตฉางเซินจ้องเขม็งเขาอย่างเคืองๆ นางไม่สามารถพูดอะไรได้อีก ได้แต่เก็บเชื้อดึกดำบรรพ์หมื่นอัคคีเอาไว้ ทุกสิ่งได้สิ้นสุดเป็นที่แน่นอนแล้ว ไม่เปิดโอกาสให้หุบเขาอมตะของพวกเขาเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย
นักพรตฉางเซินนั่งลงแล้วกอดเข่าทั้งสอง หัวหนุนอยู่บนเข่าและจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ข้าไม่สงสัยในศักยภาพของเจ้า แต่ว่า ข้าอยากจะเตือนเจ้าว่าให้ระวัง มีคนจับจ้องเจ้าเอาไว้แล้ว”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่หัวเราะ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอะไรนัก
นักพรตฉางเซินเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “การชิงบัลลังก์แย่งอำนาจของแคว้นว่านโซ่วในครั้งนี้หาใช่เป็นเรื่องบังเอิญ เบื้องหลังมีผู้คอยให้การยุยงอยู่ เกรงว่าคนผู้นี้จะเป็นคุณชายของตระกูลมู่ เขาเป็นผู้ที่มาจากเบื้องบน ในแดนลัทธิพรรษมีอิทธิพลสูงมากผู้ติดตามดั่งดอกเห็ด ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ความแข็งแกร่งของตระกูลมู่ไม่อาจจินตนาการได้”
“มีอะไรแข็งแกร่งหรือไม่แข็งแกร่ง” หลี่ชิเย่พูดไปตามอารมณ์ว่า “กล่าวสำหรับข้าแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นพวกมีชื่อเสียงจอมปลอมทั้งนั้น ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” นักพรตฉางเซินเม้มปากหัวเราะเบาๆ เปี่ยมด้วยบุคลิกลักษณะอันมีเสน่ห์ หัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “แต่ว่า ข้าได้ยินข่าวๆ หนึ่งมาว่า จูเซียงหวู่ถิงต้องการเกี่ยวดองสมรสกับตระกูลมู่”
“ทำไมรึ เจ้าคิดจะเล่นลูกไม้อีกแล้วรึ?” หลี่ชิเย่มองตาขวางทีหนึ่ง และกล่าวว่า “คิดจะต้อนเสือให้ไปขย้ำสุนัขจิ้งจอกใช่หรือไม่?”
“มิกล้า ข้าเพียงพูดไปตามความจริงเท่านั้นเอง” นักพรตฉางเซินหัวเราะเบาๆ ท่วงท่างดงามที่สามารถทำให้สรรพสัตว์ต้องหลงเสน่ห์ หัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “แม้ไม่จำเป็นให้ข้าต้องพูด ก็เหมือนเช่นคำพูดของเจ้าที่ว่า ใครขวางทางเจ้าต้องตาย แล้วใยข้าจะต้องไปยุยง และคำว่าต้อนเสือให้ไปขย้ำสุนัขจิ้งจอกไปเอามาจากไหนกัน?”
“อืมม พูดมีเหตุผล” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ไม่สนหรอกนะว่าตระกูลมู่หรือไม่ เป็นความจริง ผู้ขวางทางข้าต้องตาย”
นักพรตฉางเซินนั่งอยู่ข้างหลี่ชิเย่พูดคุยกันอย่างมีความสุข หลังจากผ่านไปนานมากจึงได้ไปจาก ขณะที่หลี่ชิเย่ยังคงอยู่ใต้ต้นหวู๋ถงนกหงส์เข้าฌานและปล่อยจิตให้ล่องลอย เสมือนหนึ่งการนั่งครั้งนี้นั่งอยู่นานเป็นพันปี
……………………