ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2302 โจวจื่อคุน
“พวกเจ้าได้ยินแล้วยัง เหมือนว่าเจ้าหนูมดได้เข้าไปยังตำหนักหมีเซียนหลังที่หกแล้ว” ในเงินทองตกพื้นมีผู้ที่สอบถามถึงเรื่องของหลี่ชิเย่อีกแล้ว เพียงแต่ทุกคนยังไม่ทราบถึงชื่อของหลี่ชิเย่เป็นการชั่วคราว ได้แต่เรียกเขาว่าเจ้าหนูมด
มีผู้ที่ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดคิดเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ และกล่าวว่า “มีอะไรน่าแปลก เจ้าหนูมดมีเงินในมือ ขอเพียงเขาทุ่มเงินลงไปเรื่อยๆ ข้าว่า การเข้าไปในตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบก็ไม่เป็นปัญหา จะอย่างไรเสียเขาเอาเงินจำนวนมากมาป้อนให้กับมดยังทำได้ เขาย่อมสามารถเดิมพันในตำหนักหมีเซียนได้นานมากอยู่แล้ว”
“เจ้าหนูมดเข้าไปยังตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบได้แล้ว” เป็นไปตามที่คนผู้นั้นคาดการณ์เอาไว้อย่างนั้น ไม่ช้าก็มีข่าวแพร่ออกมาจากตำหนักหมีเซียนเกี่ยวกับหลี่ชิเย่
“ตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบ นับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ นะเนี่ย เป็นสัญญาณล่วงหน้าว่าจะร่ำรวยมหาศาลนะเนี่ย” กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยรู้สึกอิจฉาอย่างยิ่งกับสิ่งนี้ ถึงกับน้ำลายไหลไม่หยุด
กล่าวสำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยแล้ว สามารถเข้าไปถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่ห้า หรือหลังที่หกได้ก็นับว่าไม่เลวนักแล้ว
“เขาเล่นไปกี่รอบกันแน่นะ?” แต่ก็มีผู้ที่คำนวณเรื่องระยะเวลาของหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “เล่นไปนานขนาดนี้เพิ่งจะเข้าไปถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบ นี่เป็นการเล่นที่หลังจากล้มเหลวไปกี่ครั้งจึงเข้าไปถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบได้นะ?”
ความจริงแล้วมันเป็นเรื่องที่หลายคนคำนวณผิดพลาดเกี่ยวกับหลี่ชิเย่แล้ว ทุกคนมองว่าการที่หลี่ชิเย่จากตำหนักหมีเซียนหลังที่ห้าไปจนถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบใช้เวลายาวนานถึงเพียงนี้ จึงเข้าใจว่าหลี่ชิเย่ประสบความล้มเหลวหลายครั้งจึงทำได้สำเร็จ
ความจริงแล้วพวกเขาไม่รู้หรอกว่า ทุกครั้งที่หลี่ชิเย่เข้าไปยังตำหนักหมีเซียนหลังหนึ่งก็จะชื่นชมอยู่กับทุกๆ รูปปั้นแกะสลักแต่ละตัว และภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังทุกๆ ภาพอย่างละเอียด
พฤติกรรมลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ สร้างความแปลกใจให้กับหลินซิม่อ นางเองรู้สึกสงสัยอยู่บ้างเหมือนกันว่า ตกลงหลี่ชิเย่ต้องการมาเอาสมบัติล้ำค่าหรือต้องการมาชื่นชมบรรดารูปปั้นแกะสลักและภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังของตำหนักหมีเซียนกันแน่
จะอย่างไรเสียหากเปลี่ยนเป็นคนอื่น สิ่งที่ต้องให้ความสนใจควรเป็นนสมบัติล้ำค่าของตำหนักหมีเซียน แต่ดูเหมือนว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้ให้ความสนใจกับสมบัติล้ำค่าของตำหนักหมีเซียนแม้แต่น้อย เป็นสิ่งที่อยู่เหนือรความคาดคิดของผู้คนโดยสิ้นเชิง
หลินซิม่อเองก็คิดอยากจะเลียนแบบหลี่ชิเย่ไปพิเคราะห์พิจารณาบรรดารูปปั้นแกะสลักและภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเหล่านั้น แต่นางไม่สามารถมองอะไรออกอยู่แล้ว เนื่องจากมีรูปปั้นแกะสลักและภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจำนวนมากนางดูแล้วก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าต้องการสื่อถึงสิ่งใด
“คุณชาย รูปปั้นแกะสลักและภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้มีความลี้ลับอะไรอยู่รึ?” สุดท้าย หลินซิม่ออดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
“บันทึกเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่ว่าจะเป็น่ยุคสมัยเช่นใด ศักราชอย่างใด ล้วนแล้วแต่มีการบันทึกที่เป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นพิธีการเซ่นไหว้ หรือผลงานการสู้รบ และหรือเรื่องราวประหลาด เพียงแต่ตำราที่ทำการบันทึกบนโลกจะหายไปตามกาลเวลา แต่ว่ารูปปั้นแกะสลักและภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังคือการบันทึกที่ง่ายที่สุดและสามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้ยาวนานที่สุดในโลก บันทึกที่เก่าแก่โบราณของโลกที่สามารถคงอยู่ได้ส่วนใหญ่ก็จะอยู่บนรูปปั้นแกะสลักและภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง”
“รูปปั้นแกะสลักและภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้มีอะไรที่ลึกล้ำและยอดเยี่ยมล่ะ?” หลินซิม่อยังคงรู้สึกแปลกใจ
“ประวัติศาสตร์เท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่หัวเราะบางๆ และกล่าวว่า “ประวัติศาสตร์บางอย่างสามารถช่วยให้เจ้าคลี่คลายปริศนาที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์จนถึงปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้กระทั่งล้ำค่ายิ่งกว่าการได้รับเคล็ดวิชาแขนงใดแขนงหนึ่ง หรือสมบัติล้ำค่าชิ้นใดชิ้นหนึ่ง แน่นอน มันจะต้องก้าวไปให้นสูงถึงระดับนั้น”
แน่นอนที่สุด สำหรับคำพูดลักษณะเช่นนี้หลินซิม่อย่อมไม่สามารถเข้าใจได้ กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนแล้ว บนโลกใบนี้ยังจะมีสิ่งใดล้ำค่ายิ่งไปกว่าเคล็ดวิชาที่ปราศจากผู้ต่อกร หรือของล้ำค่าที่ปราศจากผู้เทียบเทียมอีกเล่า? ถ้าหากบอกว่าเป็นประวัติศาสตร์ล่ะก็ ในสายตาของผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากมันมีค่าไม่เท่าหนึ่งอีเปะเสียด้วยซ้ำ กระทั่งไม่มีใครใส่ใจในประวัติศาสตร์ ไม่มีใครยินดีเสียเวลาไปครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์ว่าในอดีตเคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาบ้าง
หลินซิม่อไม่เข้าใจ หลี่ชิเย่ก็ไม่ได้กล่าวให้มากความ จะอย่างไรเสียการที่ยืนอยู่ในระดับความสูงที่ต่างกัน สิ่งที่สายตามองเห็นย่อมแตกต่างกัน
“ดึกดำบรรพ์จนไม่สามารถไล่ย้อนกลับไปได้นะเนี่ย” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ หลังจากมองเห็นรูปปั้นแกะสลักและภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจำนวนมากไปแล้ว “อายุวัฒนะ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ในแหล่งต้นกำเนิด ดูไปแล้วมันคือสถานที่ที่ยอดฝีมือจำนวนเท่าไรใฝ่ฝันถึง แต่แล้วมันมักจะเป็นความสยองขวัญที่ยิ่งใหญ่อยู่เสมอๆ!” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ
“เจ้าหนูมดเข้าสู่ตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบห้าแล้ว” ในเงินทองตกพื้นมีผู้ที่เอ่ยถึงหลี่ชิเย่อีกแล้ว
“ตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบห้า เก่งเกินไปแล้วกระมังเจ้าหนูคนนี้ ได้ทุ่มเงินลงไปเท่าไรกันแน่นะ?” และมีผู้อดสงสัยไม่ได้ และกล่าวว่า “นี่มันเรื่องจริงหรือเท็จ?”
“เป็นเรื่องจริง เทพแท้จริงหลงซิเป็นผู้ที่ได้พบเขาในตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบห้าเอง” ผู้ที่ไวเรื่องการข่าวสืบข่าวเช่นนี้มาได้
“ตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบห้านะเนี่ย รวยเละแล้วล่ะ” มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ได้ยินข่าวนี้แล้วถึงกับน้ำลายไหลยืดไม่หยุด
“เจ้าหนูมดไม่แน่เสมอไปว่ามาเพื่อเรื่องของเงินทอง เขาได้ใช้เงินมากมายไปป้อนให้กับมดโดยที่หนังตาไม่ได้กระตุกสักนิด ข้ารู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนที่ใส่ใจในเรื่องของทรัพย์สินเงินทอง” มีผู้ที่คาดเดาออกมา
หลังจากที่มีคนแพร่ข่าวว่าหลี่ชิเย่ได้เข้าไปยังตำหนักหมีเซียนหลังที่สิบห้าไปแล้วนั้น ก็ไม่มีข่าวคราวแพร่ออกมาอีกเลย ต่อให้เคยมีผู้ที่เคยพบกับหลี่ชิเย่ในตำหนักหมีเซียนหลังท้ายๆ ขึ้นไป ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเทพแท้จริงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์ทั้งสิ้น ซึ่งระดับบรรพบุรุษเหล่านี้หาใช่ผู้บำเพ็ญตนทั่วไปสามารถพบเห็นได้ หรือต่อให้พบเห็นก็จะไม่ปริปากพูดกับใครโดยง่ายดาย
ความจริงแล้ว ยิ่งก้าวไปยังหลังที่อยู่ท้ายขึ้นไป ผู้บำเพ็ญตนที่จะได้พบในตำหนักหมีเซียนก็ยิ่งน้อยลงไปทุกที เมื่อไปจนถึงตำหนักหมีเซียนหลังที่ยี่สิบไปแล้วก็เหลืออยู่ไม่กี่คนแล้ว พอถึงช่วงท้ายๆ โดยพื้นฐานแทบจะเป็นหลี่ชิเย่ที่พาหลินซิม่อท่องเที่ยวไปตามตำหนักหมีเซียนเท่านั้น ในช่วงท้ายๆ ของตำหนักหมีเซียนนอกเหนือจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีผู้อื่นอีกเลย
การที่หลี่ชิเย่ผ่านเข้าไปยังตำหนักหมีเซียนอย่างง่ายดายชนิดติดๆ กันหลังแล้วหลังเล่าเช่นนี้ ทำให้หลินซิม่อรู้สึกงงงันไปโดยสิ้นเชิง
นางรู้ว่าการที่จะเข้าไปยังตำหนักหมีเซียนนั้นมีความยากเย็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อถึงช่วงท้ายๆ หลายสิบหลังของตำหนักหมีเซียนนั้น แม้แต่ราชันแท้จริง หรือระดับอมตะก็ยากที่จะไปคำนวณ เมื่อถึงความลึกล้ำยอดเยี่ยมในท้ายๆ เกรงว่าคงมีเพียงผู้ดำรงอยู่ในฐานะระดับปฐมบรรพบุรุษเท่านั้นที่สามารถวิวัฒนาการได้แล้ว
แต่แล้ว ดูเหมือนหลี่ชิเย่ไม่จำเป็นต้องไปวิวัฒนาการอะไรอย่างนั้น แค่มองตาแวบเดียวก็สามารถเลือกกุญแจดอกที่จะเข้าไปยังตำหนักหมีเซียนหลังต่อไปได้ถูกต้องแล้ว
เรื่องเช่นนี้พูดออกไปเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ แม้แต่ตัวหลินซิม่อที่ประสบด้วยตนเองก็ยังรู้สึกเหมือนเช่นอยู่ในความฝันอย่างนั้น ดูมันช่างไม่สมจริงเสียเลย
“คุณชาย นี่ นี่ นี่มันมีทางลัดอะไรอย่างนั้นรึ?” หลังจากผ่านตำหนักหมีเซียนมาหลายสิบหลังแล้ว หลินซิม่ออดที่จะเก็บความแปลกใจที่อยู่ในใจไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นมาอย่างเกรงๆ
“โลกนี้ไหนเลยมีเรื่องของทางลัด” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา
“แต่ แต่คุณชายเหมือนไม่จำเป็นต้องวิวัฒนาการอะไรเลยนี่?” หลินซิม่อพูดเสียงแผ่วเบาว่า “คุณชายเพียงแค แค่มองแวบเดียวก็สามารถเลือกกุญแจดอกที่ใช่ มัน มัน มันอัศจรรย์มาก”
“ไม่ใช่มองด้วยตา” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และกล่าวว่า “อาศัยมองด้วยใจ สัจธรรมบนโลกนี้ไร้ขอบเขต ทุกสิ่งล้วนไม่มีสิ้นสุด ไหนเลยสามารถวิวัฒนาการไปจนถึงสุดปลายทางได้ ต่อให้เจ้าสามารถวิวัฒนาการสัจธรรมทั้งหมดในหล้าก็ต้องอาศัยเวลา มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรจึงจะสามารถทำลายสติที่เลอะเลือนได้ มีพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงไม่สั่นคลอนจึงสามารถชี้ไปที่ต้นกำเนิด จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรคือต้นกำเนิดของทุกสิ่ง”
“จิตแห่งการบำเพ็ญเพียร?” หลินซิม่อถึงกับพึมพำออกมา นางไม่สามารถเข้าใจได้ เรื่องเช่นนี้ฟังดูเหมือนง่ายเหลือเกิน เหมือนว่ามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งก็ใช้ได้แล้ว สิ่งนี้เหมือนไม่มีความยากอะไร
แน่นอน นางยังห่างชั้นยังไปไม่ถึงระดับเช่นนั้นไหนเลยจะเข้าใจได้ มีเพียงผ่านการขัดเกลาจำนวนนับไม่ถ้วน ผ่านร้อนผ่านหนาวนับไม่ถ้วน ผ่านความเจริญรุ่งเรืองและตกต่ำนับไม่ถ้วน…หลังจากผ่านมาแล้วทุกอย่าง จึงมีโอกาสไปสร้างจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงไม่หวั่นไหวดวงนั้นขึ้นมาได้
ในระหว่างที่หลี่ชิเย่นำพาหลินซิม่อก้าวผ่านตำหนักหมีเซียนหลังแล้วหลังเล่าอยู่นั้น ทุกๆ แห่งในเงินทองตกพื้นล้วนแล้วแต่คึกคักอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจากกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไป ระดับผู้ยิ่งใหญ่ที่มาถึงเงินทองตกพื้นมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหญ่ๆ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแดนลัทธิพรรษล้วนแล้วแต่มีคนมาที่นี่กันแล้ว
ได้ยินว่าเจี้ยนจุนมาแล้ว…ภายในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วัน ได้มีข่าวต่างๆ นานาแพร่ออกมา
“ถ้าเจี้ยนจุนมาแล้ว เกรงว่าองค์ชายดาบมารก็ต้องมาด้วยกระมัง” มีผู้คาดเดาว่า “จะอย่างไรเสียนี่คือหนึ่งดาบหนึ่งกระบี่กลุ่มคนรุ่นใหม่ของแดนลัทธิพรรษนะเนี่ย องค์ชายดาบมารไม่เห็นจะยอมให้เจี้ยนจุนโดดเด่นแต่เพียงผู้เดียว”
“ไม่เพียงแต่เจี้ยนจุนเท่านั้น คุณชายพานหลง เทพสงครามสตรีก็มาด้วย เรียกได้ว่าบรรดาบุคคลผู้มีชื่อเสียงในแดนลัทธิพรรษล้วนมากันแล้ว ได้ยินว่าพรรคหยางหมิงที่เป็นเหล่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอันดับต้นๆ ก็จะส่งคนมาด้วย” มีผู้บำเพ็ญตนเฒ่าที่การข่าวว่องไวยิ่งเอ่ยขึ้นมา
ในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่มายังเงินทองตกพื้นนั้น ข่าวที่หนึ่งในผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่นำมานั้น ทำให้บรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกตระหนกอยู่ในใจ
“นั่นคุณชายโจวมิใช่รึ?” ขณะที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งเพิ่งมาถึงเงินทองตกพื้นก็ถูกผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยเข้าไปห้อมล้อมดั่งเทพล้อมเดือน ชายหนุ่มผู้นี้ดูจะมีท่าทีที่หยิ่งผยองลำพอง
อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากกว่าที่ไม่รู้จักคนหนุ่มผู้นี้ มองดูทักษะยุทธของชายหนุ่มผู้นี้แล้วก็งั้นๆ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรจึงทำให้คนหนุ่มเช่นนี้ถูกผู้คนจำนวนมากเข้าไปห้อมล้อม กระทั่งยอดฝีมือรุ่นอาวุโสของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหญ่ๆ ก็ดูจะเกรงใจเขาไม่น้อย
“เขาเป็นใครรึ ท่าทางหยิ่งผยองลำพองอย่างนั้น” มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองเห็นจากระยะห่างไกลแล้วขัดลูกตา ส่งเสียงฮึเบาๆ ออกมาอย่างไม่พอใจ
“โจวจื้อคุน ระยะหลังนี้มีความโดดเด่นที่สูงมาก” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสกล่าวเฉยเมย
“เขาแข็งแกร่งมากรึ?” ชายหนุ่มรู้สึกไม่เข้าใจ โจวจื้อคุนผู้นี้ไม่เหมือนเป็นยอดฝีมือหรืออัจฉริยะบุคคล
“ไม่ แต่เขาประจบผู้มีอิทธิพลได้ เขาเป็นแค่ศิษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้นเอง ชาติกำเนิดมาจากสำนักขนาดเล็ก แต่ว่าเขาประจบผู้ยิ่งใหญ่ที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่งได้ กลายเป็นอัครทูต ดังนั้น จึงเป็นสุนัขจิ้งจอกที่อาศัยบารมีของเสือ” ผู้บำเพ็ญตนเฒ่ากล่าว
“คุณชายโจว นายน้อยมู่สบายดีรึ?” รุ่นอาวุโสผู้หนึ่งกล่าวทักทายต่อโจวจื้อคุน ขณะเดียวกันก็ถามทุกข์สุขถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเขาคนนั้น
“นายน้อยสบายดี” โจวจื้อคุนยิ้มด้วยท่าทางที่ทะนงตน และกล่าวว่า “อีกทั้งเขาจะมาถึงเงินทองตกพื้นเร็วๆ นี้แล้ว”
“นายน้อยมู่จะมา…” บรรดาระดับบรรพบุรุษบางคนถึงกับเย็นวาบในใจ เมื่อได้ยินคำพูดของโจวจื้อคุน
“ถูกต้อง นายน้อยมู่กำลังจะมาแล้ว อีกทั้งเขายังคิดจะพบปะกับระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหญ่ๆ ถึงตอนนั้นหวังว่าเหล่าบรรพบุรุษทุกท่านจะให้เกียรติ” โจวจื้อคุนยิ้มกล่าว
น้ำเสียงดูจะหยิ่งยโสอยู่ในที ลองนึกดู ในครั้นนั้นเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิหุบเขาอมตะเท่านั้น อย่าว่าแต่เผชิญหน้ากับระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิต่างๆ เลย แม้แต่เผชิญหน้ากับระดับผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ เขายังต้องคุกเข่าลงกราบ
เวลานี้ติดตามนายน้อยมู่และกลายเป็นอัครทูตของเขาแล้ว ทุกอย่างก็ดูไม่เหมือนเดิม ขณะที่เขาถ่ายทอดคำพูดให้กับนายน้อยมู่นั้น อย่าว่าแต่บรรดาระดับผู้อาวุโสของสำนักเหล่านั้นต้องให้ความเคารพอย่างยิ่ง แม้แต่ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใหญ่ๆ ก็ยังต้องเกรงใจเขา
สิ่งเหล่านี้กล่าวสำหรับตัวของโจวจื้อคุนแล้วเรียกว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ดังนั้นการได้อำนาจในวันนี้ทำให้เขามีความมั่นใจสูงลิ่ว ขณะพูดจาต่อหน้าผู้อื่นก็สามารถยืดอกได้เต็มที่
…..