ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2334 สัจธรรมที่บรรลุไม่ได้
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2334 สัจธรรมที่บรรลุไม่ได้
ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่ยืนดูอยู่ในระยะห่างไกลต่างรู้สึกใจหาใจคว่ำเงียบๆ เมื่อมองเห็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนก็มีระดับบรรพบุรุษจำนวนมากมายที่มาถึง
มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนถึงกับพึมพำออกมาว่า “นี่เป็นการเล่นไม่เลิกนะเนี่ย หลี่ชิเย่หักหน้ากันอย่างเปิดเผยกับนายน้อยมู่อย่างสิ้นเชิงแล้ว นี่คือจังหวะของการระเบิดศึก”
“แม้แต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนยังต้องให้เกียรตินะเนี่ย นายน้อยตระกูลมู่นับว่าสูงส่งโดยแท้จริง ผลกระทบของตระกูลมู่นับว่าไม่ธรรมดา” ระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิถึงกับกล่าวทอดถอนใจด้วยความหดหู่
แม้จะกล่าวว่าทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลง และสุสานกระบี่ต่างมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่จะอย่างไรเสียก็เทียบไม่ได้กับครั้งก่อนนั้น ผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลงในยุคปัจจุบันคือราชวงศ์แปดแขน ส่วนสุสานกระบี่เองก็ไม่ใช่ตระกูลหลินในครั้งนั้น กล่าวได้ว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งสองล้วนแล้วแต่มีทีท่าที่จะเสื่อมลง แน่นอนหากจะพูดถึงปัจจุบันพวกเขายังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ เพียงแต่ในสถานการณ์โดยรวมแล้ว เทียบไม่ได้กับครั้งนั้นอย่างแท้จริง
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนนั้นแตกต่างกัน เวลานี้สำนักสืบทอดที่ปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนยังคงเป็นทายาทรุ่นหลังของผู้เฒ่าไคเทียน พวกเขามีสัจธรรมและเคล็ดวิชาที่สมบูรณ์ของผู้เฒ่าไคเทียนอยู่ในครอบครอง จุดนี้หากว่ากันถึงระดับหนึ่งแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลังและสุสานกระบี่ในวันนี้ย่อมไม่สามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวของผู้เฒ่าไคเทียนเองก็นับว่าฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่ง เริ่มต้นด้วยการก่อตั้งสำนักที่สืบทอดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียนขึ้นในแดนลัทธิพรรษ แต่ภายหลังเล่าลือกันว่าตัวเขาเองได้กลับกลายเป็นปฐมบรรพบุรุษของแดนลัทธิราชัน
เวลานี้ เมื่อนายน้อยตระกูลมู่ได้สั่งการให้มีการมอบรางวัล ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียน ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลง และสุสานกระบี่ต่างก้าวออกมาเป็นคนแรก ด้วยการระดมระดับบรรพบุรุษเป็นจำนวนมาก แทบเรียกได้ว่ายกออกมาทั้งสำนักหวังจะเอาชีวิตของหลี่ชิเย่ ย่อมมองออกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิในแดนลัทธิพรรษให้ความสำคัญต่อนายน้อยมู่เพียงใด
ด้วยนายน้อยมู่ที่มีฐานะเช่นนี้นี่เอง หลังจากที่เขาปรากฏตัวในแดนลัทธิพรรษจึงมีน้อยคนนักที่กล้าต่อต้านเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการหักหน้าอย่างเปิดเผย กระทั่งประกาศศึกกับเขาแล้ว
เวลานี้หลี่ชิเย่ได้หักหน้าอย่างเปิดเผยโดยสิ้นเชิงกับนายน้อยมู่ กระทั่งไม่เห็นตระกูลมู่อยู่ในสายตา ลำพังแค่อาศัยความกล้าหาญเช่นนี้แล้ว ก็สมควรให้ผู้คนต้องเลื่อมใส
“นับว่ามีความอหังการยิ่งนัก ในแดนลัทธิพรรษคนที่กล้าเป็นศัตรูกับนายน้อยมู่จริงๆ มีอยู่ไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูแคลนต่อตระกูลมู่แล้ว” แม้แต่ระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิก็รู้สึกเลื่อมใส
ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างตระหนกเงียบๆ กับการที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียน สุสานกระบี่ และระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพานหลงล้วนแล้วแต่ยินดีนำหน้าใครต่อใครทำงานให้กับนายน้อยมู่ เมื่อนายน้อยมู่ประกาศให้รางวัล แม้แต่บรรดาระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิขนาดใหญ่ก็รู้สึกตื่นตระหนกในใจ ย่อมไม่ต้องสงสับว่า ฐานะในแดนลัทธิพรรษของนายน้อยมู่น่ากลัวมากโดยแท้จริง
“เทพธิดาสงคราม เหล่าระดับบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิพวกเราก็อยู่ที่นี่” เวลานี้องค์ชายดาบมารกล่าวและเผยปณิธานการฆ่าออกมา
หวู่ปิงหนิงมีท่าทีที่เย็นชาสำหรับการมาถึงด้วยตนเองของเหล่าระดับบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิไคเทียน กระทั่งเทพแท้จริงดาบสังหารก็มาด้วยแล้ว เพียงกล่างน่าเกรงขามว่า “แล้วเป็นอย่างไร?”
ดวงตาทั้งสองขององค์ชายดาบมารเพ่งไปข้างหน้า ปณิธานการฆ่าดูเข้นข้นยิ่งนัก กล่าวน่าเกรงขามว่า “เทพธิดาสงคราม เจ้าต้องการเป็นศัตรูกับทั่วหล้าเพื่อจอมมารคนหนึ่ง มันคุ้มรึ?”
“มันเรื่องของข้า ไม่จำเป็นต้องให้บุคคลภายนอกมากังวล” คำตอบของหวู่ปิงหนิงเย็นชายิ่งนัก
“ฮึ เทพธิดาสงครามอย่าได้หาเรื่องให้กับตนเอง” เวลานี้คุณชายพานหลงก็ก้าวเดินออกมาและกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “แม้ว่าหลี่ชิเย่จะมีความแข็งแกร่ง แต่ว่า หากเป็นศัตรูกับนายน้อยมู่ เกรงว่าคงไม่มีจุดจบที่ดี…”
“สุนัขรับใช้ข้าเห็นมามากแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวตัดบทคำพูดของคุณชายพานหลง กล่าวด้วยท่าทีเมินเฉยว่า “ครั้งนั้นข้ายินดีติดตามกองทัพพันธมิตรไป จะเป็นหรือตายยังไม่ได้ใส่ใจ หรือว่าข้าจะเกรงกลัวต่อแค่มู่เส้าเฉิงคนหนึ่งอย่างนั้นรึ? ต่อให้ตระกูลมู่แข็งแกร่งเช่นใดมันก็แค่ตระกูลมู่เท่านั้นเอง ระดับปฐมบรรพบุรุษของแดนลัทธิพรรษสักกี่คนที่มองตระกูลมู่อยู่ในสายตา”
พลันที่หวู่ปิงหนิงพูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องหวั่นไหวในใจ โดยเฉพาะพวกที่หวั่นเกรงต่ออำนาจของตระกูลมู่ ภายในใจรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อได้ยินคำบอกเล่าเช่นนี้
ทุกคนหวั่นเกรงต่อนายน้อยมู่ หาใช่เป็นเพราะตัวเขาเองนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใด แต่เป็นการหวั่นเกรงในความแข็งแกร่งของตระกูลมู่ แต่ทว่า เมื่อไตร่ตรองให้ละเอียดแล้ว บรรพบุรุษของพวกเขาเองมีความแข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรเพียงใด ปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาก็เคยมีท่าทีหมางเมินต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิในใต้หล้าทั้งหมดมาก่อน
กระทั่งมีระดับปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิบางแห่งไม่เห็นจะด้อยกว่าปฐมบรรพบุรุษของตระกูลมู่ เป็นต้นว่ากระบี่อัจฉริยะ เกรงว่าคงไม่ได้ด้อยไปกว่าปฐมบรรพบุรุษของตระกูลมู่
เพียงแต่ เป็นเพราะพวกเขาที่เป็นชนรุ่นหลังไม่เอาไหน ยอมศิโรราบต่ออำนาจของตระกูลมู่เท่านั้น
คุณชายพานหลงพลันมีสีหน้าที่แดงก่ำเมื่อได้ฟังคำพูดเช่นนี้ของหวู่ปิงหนิง ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในเวลานี้ พวกเขาที่อยู่ในฐานะสามคุณชาย และสองสุดยอดดาบกระบี่เมื่อเปรียบเทียบกับนายน้อยมู่แล้ว นับว่าต่ำชั้นกว่าไม่น้อยโดยแท้จริง
สิ่งนี้หาใช่เป็นเพราะพวกเขาที่รู้สึกอับอายขายหน้าที่สู้คนอื่นไม่ได้ และไม่ใช่เพราะไม่สมบูรณ์มาแต่กำเนิด และหรือไม่แข็งแกร่งมากพอ เพียงแต่ไม่มีความกล้าหาญที่ดูถูกต่ออำนาจลักษณะเช่นนี้เฉกเช่นหวู่ปิงหนิงเท่านั้น
“เขากำลังบรรลุอะไรอยู่?” ในขณะที่ทุกคนกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น เทพกระบี่กูตู๋ไม่ได้สนใจใครอื่น และเรื่องอื่นๆ เลย ในตาของเขาไม่เคยมองคนอื่นสักแวบ และไม่สนใจรอบข้างได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
เทพกระบี่กูตู๋คือเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นเก้า มีความยอดเยี่ยมยิ่งนัก จากการเฝ้าสังเกตอย่างละเอียดของเขา จึงพบเบาะแสอะไรบางอย่าง ในเวลานี้เขาเข้าใจแล้วว่าหลี่ชิเย่กำลังทำความบรรลุอะไรบางอย่าง ทั้งยังอยู่ระหว่างเข้าฌานไปแล้ว
แค่คำพูดคำเดียวของเทพกระบี่กูตู๋ก็ได้ทำลายความสับสนวุ่นวายทั้งหมดไป สายตาของทุกคนพลันจับจ้องรวมอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ ในเวลานี้ทุกคนจึงได้ตระหนักว่าหลี่ชิเย่มีความผิดปรกติจริงๆ
เมื่อทุกคนจ้องมองไป เห็นหลี่ชิเย่ที่นั่งตัวตรงอยู่ตรงนั้นโดยไม่เคลื่อนไหว เสมือนดั่งเป็นรูปแกะสลักหินอย่างนั้น
“เข้าฌานบรรลุสัจธรรม” หลังจากถูกเทพกระบี่กูตู๋เตือนสติ แล้วมองดูท่าทางของหลี่ชิเย่แล้ว ทุกคนจึงเข้าใจแล้วว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านั้น ทุกคนต่างเข้าใจว่าหลี่ชิเย่หมางเมินต่อเหล่าผู้กล้าตลอดมา ขี้คร้านจะคุยกับทุกคนเท่านั้นเอง จะอย่างไรเสียในอดีตเขาก็เป็นเช่นนี้ แม้แต่ขณะเผชิญหน้ากับยายเฒ่าเทวะไล่วายุเขาก็ยังหลับตาพักผ่อนกายา เหมือนว่านอนหลับไปแล้วหลับหลับไป
แต่ทว่า นาทีนี้ถูกเทพกระบี่กูตู๋กล่าวเตือนสติแล้ว ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าหลี่ชิเย่แตกต่างจากก่อนหน้านั้น หาใช่เป็นการหลับตาพักผ่อนกายา แต่เป็นการเข้าฌานบรรลุสัจธรรม
สีหน้าของหวู่ปิงหนิงและหลินซิม่อพลันเปลี่ยนไปหลังถูกเทพกระบี่กูตู๋เปิดโปงออกมา หวู่ปิงหนิงพยายามควบคุมอารมณ์ของตนไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นความนัย แต่ว่า จะอย่างไรเสียหลินซิม่อคือผู้ที่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์ใหญ่มาก่อน สีหน้าของนางเปลี่ยนไปมากทีเดียว พลันกลับกลายเป็นขาวซีด
ทุกคนที่มองเห็นท่าทีของหลินซิม่อแล้วก็จะเข้าใจในทันที และสามารถมั่นใจได้ว่าหลี่ชิเย่ในคราวนี้ต้องไม่เหมือนก่อนแน่ เขาเข้าฌานเพื่อบรรลุสัจธรรมจริงๆ
จูเซียงหวู่ถิงยังคงมีท่าทีเย็นชา ไม่ตอบคำถามของเทพกระบี่กูตู๋
เทพกระบี่กูตู๋ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาพลันมองไปที่ผนังหินด้านนั้นทันที เขาคือระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นเก้า ย่อมมีสายตาที่เหนือกว่าคนอื่น และมีสติปัญญา กำลังความสามารถที่คนอื่นยากจะเอื้อมถึง เขาครุ่นคิดพิจารณาผนังหินด้านนี้อย่างละเอียด และกล่าวว่า “ผนังหินด้านนี้แปลกประหลาด”
เมื่อเทพกระบี่กูตู๋พูดออกมาเช่นนี้ ได้ทยอยดึงดูดความสนใจของทุกคน ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจผนังหินด้านนี้มาก่อนจริงๆ ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้สึกว่าผนังหินด้านนี้มีอะไรพิเศษ มันก็แค่ผนังหินด้านหนึ่งที่ธรรมดาๆ จนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไรแล้ว
เวลานี้เมื่อเทพกระบี่กูตู๋พูดออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างยอยกันมองดูผนังหินด้านนี้ กระทั่งมีผู้ที่เปิดเนตรฟ้าขึ้นมา แต่ก็มองไม่ออกว่ามีความนัยเช่นใด
เวลานี้เทพกระบี่กูตู๋ได้เปิดเนตรฟ้าขึ้น ยามที่เขาเปิดเนตรฟ้าขึ้นมานั้น เสมือนหนึ่งเป็นอัญมณียักษ์เม็ดหนึ่งอย่างนั้น เปล่งประกายที่แวววาวออกมา
ขณะเนตรฟ้าของเทพกระบี่กูตู๋โปรยลงบนผนังหินด้านนี้นั้น ผนังหินถึงกับแผ่เป็นแสงจางๆ ออกมา แต่ห่างไกลจากที่หลี่ชิเย่ใช้นิ้วจิ้มแตะลงไปแล้วปรากฎเป็นเหมือนภาพของผิวน้ำ เรียกได้ว่าทางด้านนี้เมื่อเทียบกับหลี่ชิเย่แล้วห่างไกลอีกมากทีเดียว
เมื่อมองเห็นเทพกระบี่กูตู๋เปิดเนตรฟ้าขึ้นมา ทำให้เทพหมื่นแขน และเทพแท้จริงดาบสังหารก็รู้สึกสนใจ พวกเขาก็ทยอยกันเปิดเนตรฟ้าขึ้นเช่นกัน และทำการครุ่นคิดพิจารณาผนังหินด้านนี้อย่างละเอียด
กล่าวได้ว่า ในบรรดาระดับบรรพบุรุษที่อยู่ในเหตุการณ์ต้องยกให้เทพกระบี่กูตู๋เป็นผู้มีกำลังความสามารถสูงสุด ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เทพกระบี่กูตู๋นั้นหลงใหลและยึดติดในสัจธรรมยิ่งกว่าระดับบรรพบุรุษใดๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ ด้านความไวเกี่ยวกับสัจธรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นพวกของเทพหมื่นกร หรือเทพแท้จริงดาบสังหารล้วนแล้วแต่ละอายตัวเองที่สู้ไม่ได้
“นับว่าแปลกประหลาดโดยแท้” ขณะเปิดเนตรฟ้าครุ่นคิดพิจารณาผนังหินด้านนี้อยู่นั้น ทั้งเทพหมื่นแขน และเทพแท้จริงดาบสังหารพวกเขาต่างมองออกถึงความนัยอะไรได้บางอย่าง
“นี่คือกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่ง…” หลังจากเทพกระบี่กูตู๋ได้ศึกษาและสังเกตดูอยู่นาน ได้ร้องเสียงหลงขึ้นมา
ถ้าหากไม่เป็นเพราะหลี่ชิเย่มาเข้าฌานเพื่อทำความบรรลุอยู่ที่นี้ เทพกระบี่กูตู๋ก็จะไม่ไปสังเกตุผนังหินด้านนี้ที่อยู่ตรงหน้า กระทั่งกล่าวได้ว่า ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทังหมดล้วนแล้วแต่ไม่ไปสังเกตผนังหินด้านนี้ เนื่องจากผนังหินด้านนี้ไม่มีอะไรคู่ควรให้ไประวังอยู่แล้ว
เป็นเพราะมีหลี่ชิเย่ที่นั่งทำบรรลุสัจธรรมอยู่ที่ตรงนั้น จึงทำให้เทพกระบี่กูตู๋สังเกตถึงข้อแตกต่างขชองผนังหินด้านนี้ หลังจากผ่านการพิเคราะห์พิจารณาแล้ว เขายืนยันได้ว่าข้างในต้องเป็นกระดูกเต๋าอย่างแน่นอน
“เทพกระบี่ นี่มันเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จ?” เมื่อคำๆ นี้ถูกพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นเทพหมื่นกรหรือว่าเทพแท้จริงดาบสังหารต่างรู้สึกสะดุ้งอยู่ในใจ ไม่อยากจะเชื่อ
พวกเขาต่างก็เป็นเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นแปดแล้ว แต่ยังไม่สามารถมองออกว่าผนังหินด้านนี้คือกระดูกเต๋า พวกเขายังไม่สามารถมองเห็นความนัยที่แท้จริง
แต่ทว่า ด้านความไวเกี่ยวกับสัจธรรมนั้น พวกเขาห่างชั้นเทียบไม่ได้กับเทพกระบี่กูตู๋อยู่แล้ว เทพกระบี่กูตู๋เป็นผู้ที่หลงใหลและยึดติด ด้านเกี่ยวกับสัจธรรมนั้นเขามีความไวที่สุดผู้ใดจะเทียบเทียม
เวลานี้ เทพกระบี่กูตู๋ก็บอกแล้วว่ามันคือกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่งแล้ว แม้ว่าเทพหมื่นกรและเทพแท้จริงดาบสังหารจะยังคงสงสัยอยู่บ้าง แต่เกรงว่าในใจคงเห็นด้วยกับเทพกระบี่กูตู๋แล้ว
อย่างไรก็ตามเทพกระบี่กูตู๋ขี้คร้านจะไปสนใจต่อเทพหมื่นกรและเทพแท้จริงดาบสังหาร ดวงตาคู่นั้นของเขาจ้องไปที่ผนังหินเป็นเวลานานมากไม่ยอมละสายตาไปไหน พึมพำขึ้นมาว่า “สิ่ง สิ่งนี้ข้าไม่สามารถทำความบรรลุได้นะเนี่ย”
เทพหมื่นกรและเทพแท้จริงดาบสังหารไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าเทพกระบี่กูตู๋ขี้คร้านจะสนใจตน เนื่องจากเทพกระบี่กูตู๋เป็นผู้ที่เลื่องชื่อด้านโอหังและถือดี
“มันคือกระดูกเต๋าชิ้นหนึ่งจริงๆ รึ?” ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างสะเทือนหวั่นไหวเมื่อได้ยินคำพูดของเทพกระบี่กูตู๋ ต่อให้เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะระดับบรรพบุรุษก็ต้องเบิกตาทั้งสองขึ้น และมองดูผนังหินที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด หวังจะดูรู้ถึงเบาะแสบางอย่าง
แต่ทว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเบิกตากว้างเท่าไรก็ตาม ยังคงไม่สามารถมองความนัยได้ออกจากผนังหินด้านนี้ได้