ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2427 ข้าก็คือกฎหมาย
ในเวลานี้ ปิงฉือเกามองไปที่หลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ชายหนุ่มที่ธรรมดาจนไม่รู้จธรรมดาคนหนึ่งนั่นเอง ต่อให้เคยฝึกยุทธมาก่อนก็เป็นแค่ตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้นเอง จึงไม่ได้มองหลี่ชิเย่อยู่ในสายตา
จะอย่างไรเสียปิงฉือเกาคือผู้ที่มาจากต่างเมือง ไม่เคยรู้เรื่องของหลี่ชิเย่ที่เป็นจอมมารน้อยในร่างมนุษย์คนนี้
“เจ้าหนู ไสหัวออกไป ตระกูลปิงฉือกำลังทำงานอยู่ที่นี่ กล้าทำให้ตระกูลปิงฉือพวกเราเสียงานล่ะก็ มีโทษถึงตาย!” ปิงฉือเกากล่าวน่าเกรงขามออกมาโดยไม่ได้ใส่ใจในหลี่ชิเย่
การที่ปิงฉือเกามีท่าทางที่โอหังอวดดีเช่นนี้ก็ไม่แปลก จะอย่างไรเสียหลี่ชิเย่ดูไปแล้วเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนที่อ่อนด้อยมากๆ คนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลปิงฉือของพวกเขานับเป็นหนึ่งในห้าผู้แข็งแกร่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ตัวเขาในฐานะศิษย์ที่เป็นสายตรงของตระกูลปิงฉือ ไหนเลยจะมองผู้บำเพ็ญตนน้อยๆ ที่อ่อนด้อยคนหนึ่งอยู่ในสายตาเล่า
“ถ้าหากข้าไม่ไสหัวไปล่ะ?” หลี่ชิเย่พลันเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น
“ไม่ยอมไสหัว…” ปิงฉือเกามองหน้าหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง แววตาดูน่าครั่นคร้าม กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “หักขาทั้งสองของเจ้า ให้เจ้าคลานออกไป”
“ดุขนาดนี้เชียว ยังจะมีกฎหมายรึ?” หลี่ชิเย่ทำท่าเหมือนหวาดหวั่นพรั่นพรึง ยักไหล่ขึ้นสูง
“กฎหมายรึ?” ปิงฉือเกาหัวเราะน่าครั่นคร้าม และกล่าวน่าเกรงขามขึ้นว่า “เจ้าไม่ดูให้ดีว่าเป็นศัตรูกับใคร? เป็นศัตรูกับตระกูลปิงฉือพวกเรา พวกเราก็คือกฎหมาย!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และสัมผัสฝ่ามือหัวเราะเสียงดัง กล่าวว่า “แม่งน่าสนใจเหลือเกิน ในเมืองกัวชางเฉิงถึงกับมีคนบอกว่าเขาคือกฎหมายต่อหน้าข้า แม่งขำกลิ้งเลยจริงๆ”
“เจี๋ยตี้ เจ้าบอกข้ามาสิ ในเมืองกัวชางเฉิง ไม่สิ ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ใครคือกฎหมาย” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง
“นายน้อยก็คือกฎหมาย” จางเจี๋ยตี้ตอบโดยที่คราวนี้ไม่ได้เอ่ยคำว่า ‘องค์ชาย’ ออกมา
“ได้ยินแล้วยัง” หลี่ชิเย่ยิ้มแต้กล่าวว่า “ข้าก็คือกฎหมาย ดังนั้น พวกเจ้ารีบไสหัวไปจากคุณชายอย่างข้ายังทัน มิฉะนั้นล่ะก็ ข้าอยากจะพิจารณาสักครั้งเลยจริงๆ”
สีหน้าของปิงฉือเกาพลันเปลี่ยนไป ผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งถึงกับกล้าเอะอะโวยวายต่อหน้าเขา เขาหัวเราะน่าครั่นคร้ามทีหนึ่ง และกล่าวน่าครั่นคร้ามขึ้นมาว่า “เจ้าหนู อย่านึกว่ามังกรแกร่งจะไม่สยบเจ้าถิ่น อย่าคิดว่าเจ้าสามารถหาคนหนุนหลังนิดหนึ่งในเมืองหลวงได้ก็เข้าใจว่าตนเองนั้นเก่งกาจ ตระกูลปิงฉือของข้าเคยมองตระกูลไหนอยู่ในสายตาแล้วล่ะ?”
ปิงฉือเกาสั่งการเสียงดังกับคนข้างกายว่า “ลงมือ จัดการหักขาสองข้างของเขาเสีย ให้เขาได้รู้จักกฎหมายของตระกูลปิงฉือพวกเรา!”
“เจ้าหนู เจ้าเส่หาเรื่องเอง” ในเวลานี้เอง ชายฉกรรจ์กลุ่มนั้นที่ติดตามปิงฉือเกามาหัวเราะเย้ยหยันทีหนึ่ง ถลกแขนเสื้อขึ้นท่าทางดุร้ายดั่งเสือและหมาป่า ยื่นมือเข้าไปคว้าตัวหลี่ชิเย่
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น มือของพวกเขายังไม่ทันได้คว้าตัวหลี่ชิเย่ พลันก็ถูกจับทุ่มลงกับพื้นอย่างหนัก ได้ยินเสียงกระดูกแตกละเอียด จนไม่ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
อยู่ต่อหน้าจางเจี๋ยตี้แล้ว พวกเขาเสมือนดั่งมดปลวกอย่างนั้น ไม่คู่ควรจะกล่าวถึงเลย
“เจี๋ยตี้ เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจข้าเลย” หลี่ชิเยิ้มกล่าวว่า “ข้าเป็นคนเช่นใด? นักเลงหัวไม้ รู้จักความหมายของนักเลงหัวไม้หรือไม่ แน่นอน คนที่เห็นแล้วขัดหูขัดตาก็ฆ่าทิ้งให้หมด!”
จางเจี๋ยตี้ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตา มองเห็นประกายเยือกเย็นแวบหนึ่ง ได้ยินเสียงดังปุ เลือดสาดกระจาย บรรดาชายฉกรรจ่ของตระกูลปิงฉือหัวหลุดจากบ่าทั้งหมด เลือดสดๆ ไหลนองเต็มพื้นดิน
ศีรษะเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีดวงตาที่เบิกโพลง ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องเสียงน่าเวทนาออกมา
ปิงฉือเกาพลันมีใบหน้าที่ขาวซีดเมื่อเห็นคนข้างกายถูกกสังหารไปในชั่วพริบตา ร้องเสียงดังขึ้นมา และกล่าวว่า “เจ้า เจ้า เจ้าเป็นใคร?”
“ข้าหรือ?” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ ชี้ไปที่จมูกของตนเองว่า “ข้าก็คือกฎหมายน่ะสิ กฎหมายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่!” กล่าวพลางเดินเข้าหาปิงฉือเกา
“เจ้า เจ้า เจ้าอย่าเข้ามานะ…” ปิงฉือเการู้สึกหวาดกลัว หันหลังวิ่งหนีทันทีเมื่อเห็นหลี่ชิเย่
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น ปิงฉือเกาวิ่งหนีไปได้ไม่ถึงสองก้าวก็ถูกทำให้ล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง จนลุกไม่ขึ้น
“เฮ่อทำไมถึงได้มีคนอ้างกฎหมายต่อหน้าข้าเล่า?” หลี่ชิเย่ยิ้มและส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปหา ยกเท้าขึ้นและกระทืบลง ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น เท้าได้กระทืบหน้าอกของปิงฉือเกาอย่างแรง ได้ยินเสียงดังคร๊ากกก หน้าอกยุบลงไปทันที กระดูกซี่โครงถูกเหยียบจนหัก ปิงฉือเกากระอักเป็นเลือดออกมา
หลี่ชิเย่ย่อตัวลงมองดูปิงฉือเกา ยิ้มแต้และกล่าวว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมเจ้าจึงยังมีชีวิตอยู่?”
“เจ้า เจ้า เจ้าอย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ข้า ข้า ข้าคือศิษย์ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ เจ้า เจ้า เจ้ากล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ตระกูลปิงฉือพวกเราไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่” ปิงฉือเกาถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อขึ้นมา
“ตระกูลปิงฉือ” หลี่ชิเย่ถึงกับเอามือปั่นหูแล้วยิ้มกล่าวกับจางเจี๋ยตี้ว่า “อ้อ ข้านึกตระกูลปิงฉือขึ้นมาได้แล้ว เจี๋ยตี้ ตาเฒ่าคนนั้นของตระกูลปิงฉือมีชื่อว่าอะไรแล้วนะ ชื่อ ชื่อ ชื่อปรมาจารย์สูงสุดอะไรนั่นนะ ข้ารู้สึกว่าเขาขี้โม้มากเลย ฝีมือแค่นั้นยังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นปรมาจารย์สูงสุดของตระกูลปิงฉืออะไรนั่น”
“ปิงฉือเจี๋ยจุน” จางเจี๋ยตี้กล่าวขึ้นช้าๆ
ปรมาจารย์ผู้มีตำแหน่งสูงสุดแห่งตระกูลปิงฉือก็คือหนึ่งในห้าปรมาจารย์สูงสุดที่มาพบกับฮ่องเต้ไท่ชิงเมื่อครั้งก่อนนั่นเอง
“อ๋อ ใช่ ใช่ ใช่ ถูกต้องคือตาเฒ่าที่ชื่อปิงฉือเจี๋ยจุน” หลี่ชิเย่ตบมือและหัวเราะกล่าวว่า “คือเขานั่นแหละ ถูกต้อง ในที่สุดข้าก็จำเขาได้แล้ว”
คำพูดของหลี่ชิเย่พลันทำให้ปิงฉือเกาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ แม้แต่หญิงสาวและอาเถี่ยก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อเช่นกัน พวกเขารู้ว่าหลี่ชิเย่คือจอมมารน้อยในร่างมนุษย์ แต่ พวกเขาไม่รู้ประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่ ความจริงแล้ว ในเมืองกัวชางเฉิงก็ไม่มีใครรู้
ทว่าเวลานี้หลี่ชิเย่เรียกชื่อของปิงฉือเจี๋ยจุนตรงๆ ออกจะเกินไปแล้ว ปิงฉือเจี๋ยจุนคือปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลปิงฉือพวกเขา จัดเป็นปรมาจารย์ผู้มีตำแหน่งสูงสุด และเป็นหนึ่งในระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่!
หลี่ชิเย่ถึงกับเรียกชื่อของปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลปิงฉือของพวกเขา ปรมาจารย์ผู้มีตำแหน่งสูงสุดออกมาตรงๆ โดยไม่หวั่นเกรงใดๆ ซ้ำยังเรียกเขาว่าเป็นตาเฒ่าอีกด้วย ออกจะน่าตกใจยิ่งเหลือเกิน
“ถูกต้อง คือปิงฉือเจี๋ยจุน” หลี่ชิเย่ตบหน้าของปิงฉือเกาและยิ้มกล่าวว่า “กลับไปบอกปิงฉือเจี๋ยจุน น้องหนูคนนี้ถูกใจคุณชายอย่างข้า ถ้าหากยังจะหาเรื่องให้คุณชายอย่างข้าไม่ปลื้มอีกล่ะก็ คุณชายอย่างข้าก็จะทำลายล้างตระกูลปิงฉือพวกเจ้า!”
เวลานี้ ปิงฉือเกาไหนเลยจะกล้าเอ่ยคำว่า “ไม่” ออกมา เขาถูกทำให้ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อแล้ว
“ใช่แล้ว พวกเรามีตราประทับประเภทโอหังสุดๆ แค่คำพูดนักเลงคำเดียวแบบนี้ ดีไม่ดีคนอื่นอาจจะหาว่าข้าขึ้โม้นะเนี่ย” หลี่ชิเย่ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ ตบหน้าผากทีหนึ่งยิ้มกกล่าวกับจางเจี๋ยตี้
จางเจี๋ยตี้หยิบเอาตราประทับออกมาอันหนึ่ง เป็นตราทำจากโลหะและร้อนยื่นให้กับหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “เพียงประทับตรานี้ลงไป ปิงฉือเจี๋ยจุนก็รู้ว่าเป็นนายน้อยแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” หลี่ชิเย่ยิ้มและรับเอามา เสียงจี๊ดดังขึ้น ได้นำเอาตราประทับที่เป็นโลหะร้อนนาบลงบนหน้าผากของปิงฉือเกาโดยตรง
อ๊ากกก…ปิงฉือเกาถูกนาบจนเจ็บปวดอย่างยิ่งและร้องเสียงเวทนาออกมา เห็นเป็นควันขึ้นตรงหน้าผาก ตราประทับดังกล่าวได้นาบโดยตรงลงบนหน้าผากของเขา
ในที่สุด ตราประทับดังกล่าวได้นาบและมองเห็นได้อย่างชัดเจนบนหน้าผากของปิงฉือเกา หลี่ชิเย่รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก ตบมือและหัวเราะกล่าวว่า “ฝีมือข้าไม่เลวนัก” จากนั้นยกเท้าเตะปิงฉือเกาจนตัวลอย โบกมือและกล่าวว่า “ไสหัวไป ไว้ชีวิตสุนัขของเจ้า”
ปิงฉือเกาตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไหนเลยกล้ารั้งอยู่ หันหลังวิ่งหนีไปทันที ไม่กล้าพูดคำนักเลงออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
หลังจากที่ปิงฉือเกาได้หนีไปแล้ว หลี่ชิเย่ตบมือและเดินเข้าไปหาหญิงสาว ทำให้หญิงสาวและอาเถี่ยตกใจไม่น้อยทีเดียว ก้าวถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว แต่ว่า เวลานี้ไม่มีทางที่จะถอยได้อีกแล้ว
“ก็ข้าบอกแล้วนี่ ทักษะของราชันแท้จริงพั่วปิงยังคงมีอะไรน่าชมอยู่บ้าง” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทียิ้มแต้
เวลานี้ สีหน้าของหญิงสาวและอาเถี่ยทั้งสองขาวซีด พวกเขาต่างไม่รู้ว่าจอมมารน้อยในร่างมนุษย์มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงกับไม่เห็นตระกูลปิงฉืออยู่ในสายตา กระทั่งเรียกชื่อของปิงฉือเจี๋ยจุนตรงๆ
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ยื่นมือไปเชยคางหญิงสาวขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “เจ้ามีชื่อว่าปิงฉืออะไร?”
หญิงสาวสั่นเทาทีหนึ่ง แต่ว่า นางยังคงเงยหน้าและรวบรวมความกล้าจ้องมองตรงไปที่หลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “ปิงฉือหยิ่งเจี้ยน!”
“ทายาทของปิงฉือขวางฟ่าง” เมื่อจางเจี๋ยตี้ได้ยินชื่อนี้แล้วจึงกล่าวว่า “ปิงฉือขวางฟ่างนับว่ามีฝีมือ เสียดายอวดดีเกินไป กล้านำทหารมาท้ารบกับกองทัพหยินมี่!”
เมื่อปิงฉือหยิ่งเจี้ยนและอาเถี่ยได้ยินชื่อปิงฉือขวางฟ่างแล้วต่างสะท้านนิดหนึ่ง ใบหน้าซีดเผือด พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่ต้องการเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก
ปิงฉือขวางฟ่างเคยเป็นอัจฉริยะบุคคลของตระกูลปิงฉือ และเป็นคนอวดดีคนหนึ่ง มีพรสวรรค์ที่สูงยิ่ง ขณะเดียวกันก็เป็นคนที่หยิ่งยโสไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ไม่ยอมให้กับใคร
ครั้งหนึ่งเกิดขัดแย้งกับซุนหลึ่งหยิ่ง จึงประกาศจะต่อสู้กับซุนหลึ่งหยิ่ง และนำทัพท้ารบกับกองทัพหยินมี่
ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร แม้ว่าปิงฉือขวางฟ่างจะแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ยังคงเทียบไม่ได้กับซุนหลึ่งหยิ่ง และกองทัพในมือของเขายิ่งไม่สามารถเทียบได้กับกองทัพหยินมี่ ถูกทำลายสิ้นทั้งกองทัพ
ในครั้งนั้นทำเอาตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือตื่นตระหนกสุดขีด สมควรทราบว่านี่คือโทษหนักถึงขั้นล้างสำนัก ถ้าหากเรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้ไท่ชิงทรงกริ้วล่ะก็ อย่าว่าแต่สายของปิงฉือขวางฟ่างเลย แม้แต่ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือทั้งหมดก็ต้องถูกทำลายล้าง
แต่ว่า ฮ่องเต้ไท่ชิง กลับรู้สึกชื่นชมในตัวของปิงฉือขวางฟ่างอยู่บ้าง ไม่ได้เอาความเรื่องนี้
ทว่าทุกระดับชั้นในตระกูลปิงฉือถูกทำให้กลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ จึงได้ล้างบางสายของปิงฉือขวางฟ่าง ทำให้สายของปิงฉือขวางฟ่างหายสาบสูญไปตั้งแต่บัดนั้น
สมควรทราบว่า สายของปิงฉือขวางฟ่างนั้นคือทายาทของราชันแท้จริงพั่วปิง มีสายเลือดที่สูงส่งอย่างยิ่ง! สายของพวกเขามีอิทธิพลที่แข็งแกร่งยิ่งในตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ อีกทั้งสายเลือดก็สูงส่งยิ่ง
แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วยังคงถูกกวาดล้าง นับจากนั้นเป็นต้นมา สายของปิงฉือขวางฟ่างหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เวลานี้จางเจี๋ยตี้พูดเฉลยประวัติความเป็นมาของพวกเขาออกมาได้ แล้วจะไม่ทำให้ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนที่เป็นนายกับบ่าวต้องมีสีหน้าที่ขาวซีดได้อย่างไร
“เฮ่อเดิมทีข้าก็คือนักเลงหัวไม้คนหนึ่ง ทำไมถึงเล่นบทวีรบุรุษช่วยสาวงามขึ้นมาได้” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวและส่ายหน้า
เวลานี้ ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนกลั้นลมหายใจเอาไว้ ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่คิดวางแผนอะไรอยู่กันแน่ โดยเฉพาะรู้มาว่าหลี่ชิเย่ชอบฉุดคราหญิงชาวบ้านเป็นพิเศษ ทำให้ในใจของนางยิ่งหวาดหวั่นพรั่นพรึงจนขนลุกซู่
“เอาล่ะ ไม่ต้องใช้สายตาเช่นนี้จ้องมองข้า แม้ว่าจอมมารน้อยในร่างมนุษย์อย่างข้าบ้ากามก็เลือกเป็น” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ข้าไม่ชอบนังหนูน้อยที่ขาดสารอาหาร” กล่าวพลาง พิจารณาปิงฉือหยิ่งเจี้ยนตั้งแต่หัวจรดเท้า