ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2436 ศึกรอบด้าน
กองทัพทั้งห้าก่อการกบฏพลันสร้างความหวั่นไหวให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างพุ่งไปที่พระราชวังของราชวงศ์โต่วเซิ่น สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนตกอยู่ที่เขากัวชางซาน
“ราชวงศ์โต่วเซิ่นจะล่มสลายแล้ว” หลังจากที่ได้ยินข่าวการก่อกบฏของกองทัพทั้งห้าแล้ว ผู้คนจำนวนมากรู้สึกสะท้านในใจ และพึมพำขึ้นมา
“ฮ่องเต้องค์ใหม่จบสิ้นแล้ว” แม้แต่ระดับบรรพบุรุษยังต้องทอดถอนใจขึ้นมาและส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ฮ่องเต้ไท่ชิงเป็นฮ่องเต้มาสามยุคสมัย ทำให้ราชวงศ์โต่วเซิ่นกลายเป็นยักษ์ใหญ่ แต่แล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่เพิ่งจะขึ้นครองราชย์ได้นานเท่าไร? ราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ก็จะล่มสลายลงเช่นนี้”
เวลานี้ ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมาก และยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างรู้สึกทอดถอนใจอย่างใจหาย การที่ราชวงศ์โต่วเซิ่นสามารถมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งใหญ่ เป็นเพราะฮ่องเต้ไท่ชิงได้ทุ่มเทกำลังกายกำลังสมองไปนับไม่ถ้วน เป็นผลจากการดำเนินการด้วยความยากลำบากจากการเป็นฮ่องเต้สามยุคสมัยของฮ่องเต้ไท่ชิง
แต่ว่า ฮ่องเต้ไท่ชิงสวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ราชวงศ์โต่วเซิ่นก็ง่อนแง่นจะล้มเรียกได้ว่าพร้อมจะพังทลายลงมาได้ทุกเมื่อ ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความหวั่นไหวแก่จิตใจของผู้คน
ความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์โต่วเซิ่นยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน ความแข็งแกร่งของมันอยู่ที่เมื่อวานนี้ แค่ระยะเวลาสั้นๆ เพียงวันเดียว ราชวงศ์โต่วเซิ่นที่เคยแข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรก็คล้ายดั่งเป็นเทียนที่ไหม้จนใกล้จะมอดท่ามกลางสายลม พร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเวลา
กองทัพทั้งห้าก่อกบฏ…เมื่อจางเจี๋ยตี้ได้รับข่าวดังกล่าว ได้เข้ารายงานต่อหลี่ชิเย่ทันที สีหน้าของจางเจี๋ยตี้ในเวลานี้ดูไม่จืด เขารู้ว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว
หากเป็นก่อนหน้านั้น หลี่ชิเย่ไม่ได้ส่งกองทัพทั้งห้าไปล้อมปราบตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือล่ะก็ อาศัยอำนาจที่ยังคงเหลืออยู่ของฮ่องเต้ไท่ชิง ไม่แน่นักอาจสามารถก้าวข้ามสถานการณ์คับขันไปได้ เวลานี้ห้ากองทัพพลันก่อการกบฏขึ้น สถานการณ์เป็นอันสิ้นสุด ราชวงศ์โต่วเซิ่นง่อนแง่นใกล้ล้มเต็มที
“ไม่ได้เหนือความคาดคิด” ท่าทางของหลี่ชิเย่ไม่ใส่ใจโดยสิ้นเชิงเมื่อได้ยินข่าวนี้แล้ว หัวเราะและกล่าวว่า “ที่กบฏใช่ว่าจะมีเพียงกองทัพทั้งห้า”
“ฝ่าบาท เวลานี้ควรจะทำอย่างไรดี? มีแผนการดีๆ หรือไม่?” เวลานี้ จางเจี๋ยตี้ในฐานะเทพแท้จริง ขั้นอมตะไม่มีแผนที่จะรับมือได้อีกแล้ว เวลานี้ราชวงศ์โต่วเซิ่นจบสิ้นแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่มีโอกาสได้ควบคุมสถานการณ์ได้อีกแล้ว
“แผนดีไม่ดีอะไร ฝนจะตก ขึ้จะไหลปล่อยพวกเขาไปเถอะ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวตามอารมณ์ว่า “ถ้าหากจะมีแผนรับมือดีๆ ล่ะก็ เจี๋ยตี้เอ้ย เก็บข้าวเก็บของ แล้วไปเถอะ”
“ฝ่าบาทจะล่าถอยรึ?” จางเจี๋ยตี้ย่อมไม่กล้าพูดคำว่าหลี่ชิเย่จะหนีไป
“พูดให้มันไพเราะเพราะพริ้งทำไม หนีก็คือหนี” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ทหารกบฏจะตีเมืองแล้ว ไม่มีใครเขาเฝ้ารักษาเมืองแบบถวายหัวหรอก ไปเถอะ เจ้าไปเก็บข้าวเก็บของเสีย ผู้คนในวังที่อยากจะไปก็สุดแล้วแต่พวกเขา แยกย้ายกันไปเสีย”
“ฝ่าบาทจะไปที่ใด?” จางเจี๋ยตี้นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง และไม่ได้กล่าวตำหนิหลี่ชิเย่ เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว หน้าที่ของเขาก็คือปกป้องรักษาความปลอดภัยให้กับหลี่ชิเย่
“ไม่ ไม่ใช่เรา” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าหมายถึงเจ้า และหรือคนในครอบครัวของเจ้า คนข้างกายของเจ้า หนีไป ที่ไหนปลอดภัยก็ให้หนีไปที่นั่น”
“ฝ่าบาทล่ะ?” จางเจี๋ยตี้ถึงกับตื่นตระหนก
“เรารึ ตามใจ มองดูทหารกบฏบุกเข้าวังก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวตามอารมณ์ว่า “สำหรับเราจะทำอย่างไรนั้นก็แล้วแต่อารมณ์ตอนนั้นแล้วล่ะ อารมณ์ดีก็เล่นกับพวกเขาสักหน่อย ไม่มีอารมณ์ก็ช่างเขาเถอะ แผ่นดินงดงามนี้ใช่ว่าจะเป็นของเรา พวกเขาอยากจะชิงเอาไปก็ให้พวกเขาไปเถอะ”
“ฝ่าบาท เมื่อไรที่ทหารกบฏบุกเข้าวัง เกรงว่าพวกเขาจะเอาชีวิตของพระองค์” จางเจี๋ยตี้ตื่นตระหนกยิ่ง
“เราก็อยากเหมือนกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “เราก็อยากจะตาย แต่ไม่มีใครสามารถฆ่าเราให้ตายได้ นี่แหละคือเรื่องที่กลัดกลุ้มจริงๆ แล้วล่ะ”
“ไม่ หน้าที่ของข้าน้อยคือคุ้มครองความปลอดภัยให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่ไป ข้าน้อยก็ไม่ไป!” จางเจี๋ยตี้รีบกล่าวว่า “กระหม่อมได้รับการไหว้วานจากฮ่องเต้องค์ก่อนว่าจะต้องรักษาความปลอดภัยให้ฝ่าบาทอย่างดี หากเกิดข้อผิดพลาดกับฝ่าบาทล่ะก็…”
“ประการแรก เวลานี้เราคือฮ่องเต้ เราให้เจ้าไปเจ้าก็ไปเสีย ประการที่สองรึ ข้อผิดพลาดอะไรนั่นเจ้าคิดมากไปแล้ว เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวตัดบทจางเจี๋ยตี้ โบกมือและกล่าวว่า “เจ้ากลับไปเก็บข้าวเก็บของก่อนเถอะ มิเช่นนั้นล่ะก็ รอให้กองทัพปิดล้อมแล้วเกรงว่าผู้คนจำนวนมากก็จะหนีไม่รอด ผู้ที่คิดจะหนีไม่ต้องไปขวางพวกเขา ตามแต่พวกเขาเถอะ”
จางเจี๋ยตี้นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง เขาไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่จะทำอะไรกันแน่ สุดท้าย เขาได้คารวะต่อหลี่ชิเย่ และเชื่อฟังคำสั่งของหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่หลับตาลง เพลิดเพลินไปกับการนวดคลายเส้นของปิงฉือหยิ่งเจี้ยนที่อยู่ข้างกาย คล้ายหลับสนิทไปแล้ว
“เจ้าก็ไปเถอะ” หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลี่ชิเย่ได้พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ทหารกบฏจะโจมตีเมืองแล้ว ไปเถอะ ไปจากวังหลวง หาที่ที่ปลอดภัยแห่งหนึ่งพักอาศัยไว้ก่อน”
ร่างของปิงฉือหยิ่งเจี้ยนถึงกับแข็งทื่อขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เมื่อได้สติกลับมา นางก้มกราบกับพื้นก้มหน้าและกล่าวว่า “ในเมื่อหม่อมฉันแต่งเข้าวังมา อยู่ก็เป็นคนของฝ่าบาท ตายก็เป็นผีของฝ่าบาท หม่อมฉันจะไม่ทอดทิ้งฝ่าบาทแล้วหนีไป…”
“ไม่มีเรื่องเช่นนั้น” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “มาจากไหนกันยามมีชีวิตเป็นคนของเรา ยามตายแล้วเป็นผีของเรา”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้โบกมือและยิ้มกล่าวว่า “นี่เป็นเพียงเกมของระดับสูงเท่านั้น งานแต่งฮ่องเต้อะไรนั่นมันก็แค่ละครฉากหนึ่ง ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงละครตลกฉากหนึ่งเท่านั้น ไปเถอะ ถ้าหากเจ้ามีแนวคิดเรื่องการแต่งงานของฮ่องเต้อะไรนั่นล่ะก็ เช่นนั้น เวลานี้เราพระราชทานให้เจ้าได้เป็นอิสระ จะร่างโองการให้เจ้าฉบับหนึ่ง”
“ฝ่าบาท…” เมื่อปิงฉือหยิ่งเจี้ยนได้ฟังคำของหลี่ชิเย่แล้ว พลันมีสีหน้าที่ขาวซีด
“ไปเถอะ” ท่าทางหลี่ชิเย่อย่างไรก็ได้ โบกมือและกล่าวว่า “ไปที่คลังสมบัติเลือกเอาของวิเศษไปบ้าง ถือว่าเราพระราชทานให้เจ้า และนับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง”
“ข้า ข้า ข้า…” สีหน้าของปิงฉือหยิ่งเจี้ยนขาวซีด พูดอะไรไม่ออกในเวลานี้ แม้จะกล่าวว่านางแต่งเข้าวังแทนปิงฉือหานยวี่ แต่ว่า มันเป็นการตัดสินใจเลือกที่เต็มใจของนางเอง ในเมื่อแต่งเข้าวังแล้ว นางก็ยอมรับในชะตาลิขิตแล้ว เวลานี้ราชวงศ์โดยรวมกำลังจะล่มสลาย นางกลับจะต้องหลบหนีจากไป
ความจริงแล้วนางไม่เคยมีแนวความคิดที่จะหลบหนีจากไป แม้ว่าต้องอยู่เสียสละพร้อมกับหลี่ชิเย่นางก็ยอมรับ นี่คือลิขิตที่มาจากชาติปางก่อนของนาง
“หากเจ้าหนีไปเวลานี้ยังทัน” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีตามอารมณ์ว่า “รอให้กองทัพล้อมเมืองแล้วล่ะก็ เจ้าคิดจะหนีก็ไม่ทันการแล้ว เจ้าอย่าเข้าใจว่าเป็นคนของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือก็จะไว้ชีวิตเจ้า ถึงเวลานั้นแล้ว ดีไม่ดีคนที่จะถูกฆ่าเป็นคนแรกก็คือเจ้า”
“แล้วฝ่าบาทล่ะ…” ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนเงยหน้าขึ้นมองหลี่ชิเย่ พูดเสียงแผ่วเบาว่า ”กองทัพบุกเข้าเมือง ฝ่าบาทจะอันตราย”
แม้ว่าปิงฉือหยิ่งเจี้ยนจะไม่ใช่ระดับยอดฝีมือแห่งยุคอะไรนั่น แต่นางถูกบ่มฟักโดยคนในตระกูลมาตั้งแต่เล็ก นับว่ามีศักยภาพไม่เลวนัก นางเองก็สามารถดูออกว่า ทักษะยุทธของหลี่ชิเย่นั้นอ่อนมาก แค่มองเห็นก็รู้ว่าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนน้อยที่เพิ่งเข้าสำนักได้ไม่นาน
“เราย่อมมีวิธี ไปเถอะ” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ต่อให้เจ้ารั้งอยู่ข้างกายของเรา เจ้าสามารถคุ้มครองเราได้อย่างนั้นรึ? แม้แต่จางเจี๋ยตี้ที่เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะก็ยังต้านกองทัพเป็นพันเป็นหมื่นได้ ยิ่งไม่ต้องดูดถึงเจ้า”
คำพูดนี้ทำเอาปิงฉือหยิ่งเจี้ยนนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง และความจริงก็เป็นเช่นนี้ กองทัพใหญ่ล้อมเมือง ถึงเวลานั้นไม่เพียงมีทหารเป็นพันเป็นหมื่น ยังจะมีราชันแท้จริงปาเจิ้น ปิงฉือเจี๋ยจุนที่เป็นระดับปราศจากผู้ต่อกรลงมือด้วย เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้จางเจี๋ยตี้เป็นถึงระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะก็ยากจะค้ำสถานการณ์ใหญ่เอาไว้
“ฝ่าบาท ถนอมพระวรกายด้วย” สุดท้าย ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนก้มลงกราบกับพื้น กราบแล้วกราบอีก ภายในใจเปี่ยมด้วยความรู้สึกสารพัน สุดท้ายจึงหันหลังจากไป
หลังจากที่ปิงฉือหยิ่งเจี้ยนจากไปแล้ว หลี่ชิเย่ที่เอนนอนอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “ราชวงศ์โต่วเซิ่นล่มสลาย ช่างเป็นเรื่องที่คึกครื้นยิ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมดนะเนี่ย คิดๆ แล้วก็ให้รู้สึกน่าสนุก” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว รอยยิ้มดูจะเข้มมากขึ้นอีก
ตูม…ตูม…ตูม…เสียงดังตูมตามดังขึ้นมาไม่ขาดสาย กองทัพที่มีไพร่พลนับสิบล้านประชิดเมือง พสุธาสั่นไหว ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงวันเดียว กองทัพทั้งห้าที่เดิมระดมพลเพื่อล้อมปราบตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือได้ยกพลมุ่งสู่พระนคร
นอกเหนือจากกองทัพทั้งห้าแล้ว กองทัพสิบล้านของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ และแคว้นว่านเจิ้นก็เคลื่อนพลพร้อมกัน โดยร่วมมือกับกองทัพทั้งห้า เดินทัพมุ่งหน้าสู่เมืองกัวชางเฉิง
แค่มองไปแวบเดียว กองทัพนับสิบล้านอันเกรียงไกร เสมือนดั่งน้ำหลากที่เป็นเหล็กกล้า เคลื่อนมาด้วยท่าทีทำลายล้างรุนแรง
ด้านหน้าทัพใหญ่มองเห็นราชันแท้จริงปาเจิ้นที่เหินฟ้าก้าวไปข้างหน้า ค่ายกลใหญ่ผงาดฟ้า หนึ่งก้าวหนึ่งโลกธาตุ เสมือนดั่งสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้
“ฮ่องเต้องค์ใหม่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม ทำร้ายผู้จงรักภักดีอย่างทารุณ เทียนจือยินดีช่วยใต้หล้าปราบปราม…” คำพูดของราชันแท้จริงปาเจิ้นดังก้องไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ และเป็นการประกาศแจ้งต่อใต้หล้า
เทียนจือก็คือชื่อของราชันแท้จริงปาเจิ้น เวลานี้เขานำทหารปราบปรามฮ่องเต้องค์ใหม่ หวังโค่นล้มราชวงศ์โต่วเซิ่น เรียกได้ว่ามีจิตที่มักใหญ่ใฝ่สูง
ราชันแท้จริงปาเจิ้นอาศัยคำพูดดังกล่าวมาแจ้งต่อใต้หล้า ก็แค่ต้องการให้ตนเองมีข้ออ้างในการยกทัพเท่านั้นเอง ให้ตนเองได้นั่งอย่างมั่นคงในฐานะผู้ปกป้องระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ
จะอย่างไรเสีย ไม่ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่จะมั่วโลกีย์และไร้คุณธรรมเช่นใดก็ตาม เวลานี้ยังคงเป็นราชวงศ์โต่วเซิ่นที่ปกครองและกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ในความหมายบางแง่บางมุมนั้น ราชวงศ์โต่วเซิ่นคือสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เวลานี้พวกแคว้นว่านเจิ้นที่นำทหารโจมตีเมืองหลวง เรียกว่าล่วงเกินเบื้องสูง
เวลานี้ราชันแท้จริงปาเจิ้นไม่กล้าบอกว่าเป็นการปลงพระชนม์ ได้แต่พูดว่าเป็นการปราบปรามเพื่อใต้หล้าให้ใต้หล้าสงบ แค่ต้องการให้ตำแหน่งของตนสามารถนั่งได้โอ่โถงยิ่งขึ้น
จะอย่างไรเสีย แม้แต่ราชันแท้จริงปาเจิ้นในอดีตเมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องแต้ไท่ชิงก็ต้องเรียกตัวเองว่ากระหม่อม มาวันนี้กลับนำทหารโจมตีเมืองหลวง มันคือทหากกบฏ ทำให้ราชันแท้จริงปาเจิ้นไม่อาจไม่หาข้ออ้างที่ฟังดูโอ่โถงและเปี่ยมด้วยราชธรรม ให้ตนเองมีข้ออ้างว่าเป็นการปกป้องระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ
กองทัพใหญ่หลายสิบล้านที่ยกกรีทาทัพเข้ามา ทำให้ทุกคนอดที่จะกลั้นลมหายใจเอาไว้ไม่ได้
ดังนั้น ในขณะที่กองทัพกบฏยังเคลื่อนพลมาไม่ถึงเมืองหลวง ได้ยินเสียงเอี๊ยด เอี๊ยด เอี๊ยดดังขึ้น ได้มีการปิดประตูเมือง ประตูเมืองขนายยักษ์และน้ำหนักมากดั่งแนวร่องน้ำธรรมชาติที่กั้นขวางฟ้าดินเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปแม้เพียงครึ่งก้าว
ในขณะเดียวกัน ได้ยินเสียงตูม ตูม ตูมแต่ละเสียงที่ดั่งสนั่น ภายในพระราชวังก็ได้พวยพุ่งประกายแสงที่รุนแรงขึ้น ประกายศักดิ์สิทธิ์แต่ละสายที่พุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า ได้ยินเสียงดังปัง ปัง ปังที่ดังขึ้นไม่ขาดสาย เห็นกำแพงแต่ละด้านที่ทิ้งตัวลงมา เสมือนดั่งผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่ทำการปกป้องพระราชวังเอาไว้ ภายใต้แนวป้องกันขนาดยักษ์เช่นนี้ ทำให้พระราชวังทั้งหลังเสมือนหนึ่งเป็นป้อมปราการยักษ์ปราศจากผู้เทียบเทียม แข็งแกร่งมั่นคงยากจะตีแตกได้
ย่อมไม่ต้องสงสับ เวลานี้ระบบป้องกันภายในพระราชวังได้ถูกคนปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว จะอย่างไรเสียธาตุแท้ภายในของราชวงศ์โต่วเซิ่นนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก
………………………………………………..