ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2437 ข้าศึกประชิดกำแพงเมือง
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2437 ข้าศึกประชิดกำแพงเมือง
ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ดูจะเงียบสงัดอย่างยิ่ง ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างเฝ้าดูสถานการณ์ว่าจะพัฒนาไปทิศทางใด เมื่อเห็นภายในพระราชวังได้มีระบบป้องกันแต่ละชั้นที่ปรากฏขึ้นมา
ในเวลานี้เอง ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่สายตามองไปที่ห้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างหอหลินไห่เก๋อ วัดจิ้งเหลียนกวาน และสำนักเสินสิงเหมิน ทุกคนต่างก็อยากจะรู้ว่าสามผู้ยิ่งใหญ่นี้จะมีความเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง
ตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือกับแคว้นว่านเจิ้นได้กลายเป็นพันธมิตรไปแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้ข้อกังขาใดๆ อีกทั้งพลันที่สำนักทั้งสองอย่างพวกเขาได้ร่วมมือกัน เดิมพวกเขาก็คือผู้ยิ่งใหญ่อยู่แล้ว ก็จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในทันที
ในเวลานี้ทุกคนต่างก็อยากจะรู้ว่าท่าทีของหอหลินไห่เก๋อ วัดจิ้งเหลียนกวาน สำนักเสินสิงเหมินพวกเขาจะยืนอยู่ข้างฝ่ายพวกของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ร่วมมือล้อมปราบราชวงศ์โต่วเซิ่นด้วยกัน หรือว่าสนับสนุนราชวงศ์โต่วเซิ่นอย่างเต็มที่กันแน่ ด้วยการส่งกำลังทหารเข้าช่วยเหลือเล่า?
แต่ว่า สามผู้ยิ่งใหญ่อย่างหอหลินไห่เก๋อกลับยังคงเงียบกริบ พวกเขาไม่ได้ส่งกองทัพใหญ่ออกไป เหมือนว่าพวกเขาจะยังคงมีท่าทีเฝ้ามองต่อไป
“ไม่มีใครช่วยเหลือฮ่องเต้ เกรงว่าราชวงศ์โต่วเซิ่นคงจะต้องจบเห่กันแล้วล่ะ” ระดับปรมาจารย์อดที่จะพึมพำออกมา เมื่อเห็นว่าไม่มีแคว้นเจ้าลัทธิใดๆ ให้การสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่ และไม่มีแคว้นเจ้าลัทธิใดๆ ส่งทหารแม้แต่คนเดียวออกไปช่วยเหลือฮ่องเต้เลย
“น่าเสียดาย หากว่าฮ่องแต้ไท่ชิงยังคงอยู่ กองทัพหยินมี่ยังคงอยู่ไหนเลยจะเป็นดั่งวันนี้เล่า?” ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องทอดถอนใจออกมาด้วยความหดหู่ยิ่งนัก เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว
จะอย่างไรเสีย การที่ผู้ยิ่งใหญ่เช่นราชวงศ์โต่วเซิ่นยืนหยัดอยู่กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่นั้น ได้ทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่กลายเป็นหนึ่งในสามระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่แข็งแกร่งที่สุดของแดนลัทธิราชันในระดับหนึ่ง
ถ้าหากราชวงศ์โต่วเซิ่นล่มสลายลง นั่นย่อมเป็นการบ่งบอกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อาจจะต้องตกอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายที่น่ากลัว เข้าไปอยู่ในไฟสงครามที่น่ากลัว ถึงเวลานั้นแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไม่เพียงอาจจะหล่นจากความเป็นสามผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น กระทั่งอาจมีความเป็นไปได้ว่าจะถูกตระกูลหลี่ และตระกูลมู่ฉวยโอกาสทำลายก็เป็นได้
เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่ยืนหยัดมายุคสมัยนับไม่ถ้วนคงต้องหายวับไปกับตาในชั่วพริยตาเดียวจริงๆ แล้ว
ดังนั้น ก็ได้มีระดับปรมาจารย์จำนวนไม่น้อยที่เปี่ยมด้วยการมองการณ์ไกลเป็นกังวล จะอย่างไรเสียหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ตกต่ำลงจริงๆ และถูกทำลายไปจริงๆ ล่ะก็ นั่นเท่ากับบ่งบอกว่าพวกเขาที่เป็นสำนักต่างๆ ก็ไม่อาจรอดอยู่ต่อไปได้ เมื่อรังนกถูกคว่ำไหนเลยจะมีไข่นกที่สมบูรณ์ได้อีก
“กองทัพกบฏจะตีเมืองแล้ว…” จังหวะที่กองทัพกบฏยังไม่ทันมาถึงเมืองหลวงนั้น ไม่ว่าจะเป็นเมืองกัวชางเฉิง หรือจะเป็นพระราชวังก็อยู่ในสภาพที่วุ่นวายยุ่งเหยิงแล้ว ที่เมืองกัวชางเฉิงผู้บำเพ็ญตน และประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนต่างทยอยกันหลบหนี ต่างรีบเร่งหนีออกจากพื้นที่ขัดแย้งแห่งนี้ไป
เนื่องจากกองทัพกบฏกำลังจะเข้าล้อมเมืองแล้ว ไฟสงครามจะถูกจุดขึ้นภายในเมืองกัวชางเฉิงอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นแล้วกองทัพใหญ่ประชิดเมือง ไม่ว่าใครก็มีสิทธิ์ต้องตายอนาถท่ามกลางไฟสงคราม ดังนั้น ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนจึงหลบหนีไปเสียในเวลานี้
ไม่เพียงแต่ผู้บำเพ็ญตน และประชาชนภายในเมืองกัวชางเฉิงที่ทยอยกันหนีตาย ในเวลานี้เอง แม้แต่ทหารองครักษ์ภายในราชสำนัก นางกำนัลก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก ภายใต้การจงใจยุยงของหลี่ชิเย่ ทำให้ทั่วทั้งพระราชวังอยู่ในสภาพหย่อนยาน สับสนวุ่นวายเหมือนฝอยขัดหม้อ องครักษ์และนางกำนัล รวมทั้งลูกหลานราชนิกูลก็ได้ทยอยกันหนีออกไปจากที่ตรงนี้
แน่นอนที่สุด ก็มีคนส่วนหนึ่งที่ฉวยโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ขณะที่เหตุการณ์กำลังวุ่นวาย ปล้นสะดมของมีค่าภายในพระราชวัง ดังนั้นในเวลานี้ นอกเหนือจากพระราชวังจะสับสนวุ่นวายไปทั่วแล้ว ทั้งยิงมีสมบัติล้ำค่าจำนวนมากถูกชิงเอาไปจะเกลี้ยงภายในระยะเวลาอันสั้น
ตรงกันข้าม หลี่ชิเย่กลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แม้ว่าภายในพระราชวังจะอยู่ในสภาพที่หยุ่งเหยิงไปทั่ว เขายังคงชมบุปผามองจันทร์ โลกที่สับสนวุ่นวายด้านนอกไม่อาจส่งผลกระทบต่อเขาได้เลย
สำหรับผู้ที่ต้องการหลบหนี และหรือผู้ถือโอกาสปล้นสะดมนั้น หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจและไม่ควบคุม ปล่อยให้พวกเขาทำตามอำเภอใจ เขาเหมือนเป็นเพียงผู้ชมคนหนึ่งที่มองดูทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเงียบๆ
“ฝ่าบาท ไปจากที่นี่ตอนนี้ยังทัน” ด้านนอกได้สับสนวุ่นวายไปหมดขณะที่กองทัพยังยกมาไม่ถึง ราชวงศ์โต่วเซิ่นพ่ายแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้สู้
ขณะที่ทุกคนล้วนแล้วแต่หลบหนีไป จางเจี๋ยตี้ยังคงยืนหยัดจนถึงนาทีสุดท้าย มองเห็นกองทัพใหญ่กำลังจะยกมาถึงอยู่แล้ว จึงได้เกลี้ยกล่อมให้หลี่ชิเย่รีบหนีไป
สำหรับความภักดีของจางเจี๋ยตี้นั้น หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เจี๋ยตี้เอ๊ย เจ้าไปเถอะไม่ต้องสนใจข้า ข้าจะรอจนถึงสุดท้ายน่ะ ข้าอยากจะดูฉากเด็ด หากไม่ได้ดูฉากเด็ดนี้แล้ว คงเสียทีที่ได้เป็นรัชทายาทกับเขาแล้วล่ะ”
“แต่ว่า ฝ่าบาท ข้าศึกประชิดเมือง มีอันตรายรอบทิศ หากฝ่าบาทมีอะไรต้องพลาดพลั้งไป จะให้ข้าน้อยไปเผชิญหน้ากับฮ่องเต้องค์ก่อนในปรโลกได้เล่า” จางเจี๋ยตี้ยังคงพยายามกล่อมให้หลี่ชิเย่ล่าถอยออกไป
“วางใจเถอะ พวกเราจะต้องได้พบกันอีกอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ตบไหล่จางเจี๋ยตี้และยิ้มกล่าวว่า “อีกทั้ง เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเผชิญหน้ากับฮ่องเต้องค์ก่อนในปรโลก”
หลี่ชิเย่ยังคงสงบนิ่งสบายๆ ภายใต้การเกลี้ยกล่อมของจางเจี๋ยตี้ครั้งแล้วครั้งเล่า และออกคำสั่งให้เขาไปจากที่นี่
สุดท้าย จางเจี๋ยตี้จนด้วยเกล้า จึงได้แต่คุกเข่าลงกราบและกล่าวด้วยความเคารพว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยไร้ความสามารถ ขอล่วงหน้าไปก่อน ขอฝ่าบาทถนอนพระวรกายด้วย”
“รักษาตัวด้วย” หลี่ชิเย่พยักหน้าและยิ้มกล่าวออกมาตามอารมณ์
จางเจี๋ยตี้จนปัญญา กระทืบเท้าทีหนึ่ง ท้ายสุดได้แต่หันหลังจากไป นำพาคนล่าถอยออกไปจากวัง
หลังจากที่จางเจี๋ยตี้ถอนตัวออกไปจากวังแล้ว หลี่ชิเย่เอนนอนอยู่ในพระราชอุทยาน มองดูแนวป้องกันแต่ละชั้นที่ส่งประกายแวบวับพร่างพราวบนท้องฟ้า ถึงกับเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา และกล่าวว่า “แผ่นดินจะล่มสลายแล้ว ใครกันนะที่จะอดกลั้นเอาไว้ไม่ได้ในที่สุด ข้าอยากจะดูว่าใครกันที่อดกลั้นไม่ไหวแล้วปรากฎตัวขึ้นมากะทันหัน ช่างน่าสนใจเหลือเกิน”
หลี่ชิเย่ที่มองดูท้องฟ้าอดที่จะเผยอมุมปากทีหนึ่ง และเอ่ยเฉยเมยขึ้นมาว่า “ตกลงใครกันแน่ที่เป็นผู้เดินหมากกันเล่า ข้าอยากจะเห็นความตื่นเต้นยามที่เกิดการพลิกผันในวันนั้น” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ถึงกับมีรอยยิ้มเต็มใบหน้าปรากฏขึ้นมา
ตูม…ตูม…ตูม…ในที่สุด กองทัพใหญ่ได้ประชิดเมือง ทั่ววังหลวงถูกทหารหลายสิบล้านปิดล้อมเอาไว้จนกระทั่งน้ำยังเล็ดรอดไปไม่ได้
ตึง ตึง ตึงในเวลานี้เอง ภายในกำแพงวังหลวงปรากฏเสียงอาวุธดังขึ้นเป็นระลอก ประกายเยือกเย็นแวบวับ ทหารที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่บนกำแพงเมืองทุกนายล้วนแล้วแต่อาวุธออกจากฝัก เผยกลิ่นอายการฆ่าออกมา
แม่ว่าวังหลวงจะอยู่ในสภาพวุ่นวายโกลาหล แต่ทหารที่เฝ้ารักษาการณ์ยังคงอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ยังคงไม่หวั่นไหว เหมือนว่าจะยังคงรักษาวังหลวงเอาไว้อย่างมั่นคง
ทหารรักษาพระนครเป็นกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของวังหลวง และได้รับการมองว่าเป็นเทพผู้พิทักษ์ของวังหลวง เป็นแนวป้องกันสุดท้ายของวังหลวง
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง ทวนยาวได้กระแทกกับพื้นอย่างแรง สะเก็ดไฟแตกกระจาย มองเห็นชายหนุ่มที่สวมชุดเกราะทั้งตัวคนหนึ่งยืนอยู่บนกำแพงเมือง ท่าทางชายหนุ่มผู้นี้เปี่ยมด้วยปณิธานการต่อสู้ พลังดุดันรุนแรง
แม้ว่าลักษณะท่าทางของชายหนุ่มผู้นี้จะไม่เท่ากับราชันแท้จริงปาเจิน แต่ทว่า ตัวของเขาก็คล้ายเป็นทวนศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่งอย่างนั้น ยามที่เขายืนอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกของท่วงท่าที่ไม่สามารถสั่นคลอนได้
“ทังเฮ่อเสียงเขาจะรักษาเมืองสุดชีวิตหรือไม่นะ? จะร่วมเป็นร่วมตายกับราชวงศ์โต่วเซิ่นหรือไม่?” ระดับบรรพบุรุษทั้งหมดที่มองเห็นชายหนุ่มซึ่งยืนเฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองแล้ว ต่างอดที่จะพึมพำออกมาไม่ได้
ทังเฮ่อเสียง แม่ทัพของทหารรักษาพระนคร และเป็นอัจฉริยะบุคคลของราชวงศ์โต่วเซิ่น เขามีสายเลือดที่สูงส่งจากการที่มีชาติกำเนิดเป็นราชนิกูลอยู่แล้ว อีกทั้งเขายังมีกำลังความสามารถที่แข็งแกร่ง ก้าวถึงระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ตั้งแต่อายุยังน้อยมาก ดังนั้น เขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพทหารรักษาพระนคร
แม้ว่าเขาจะไม่ใช่แม่ทัพที่แข็งแกร่งมากที่สุดภายในกองทัพ แต่ จะอย่างไรเสียเขามีชาติกำเนิดเป็นราชนุกูล มีสายเลือดที่สูงส่ง กระทั่งถูกมองว่าเป็นผู้สืบทอดในอนาคต ดังนั้น เขาจึงสามารถเป็นผู้นำของหนึ่งในเจ็ดทัพใหญ่ของราชวงศ์โต่วเซิ่น ซึ่งก็คือทหารรักษาพระนครนั่นเอง
ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงอยู่ในช่วงวิกฤต ผู้คนจำนวนมากต่างเข้าใจว่าฮ่องเต้ไท่ชิงจะแต่งตั้งทังเฮ่อเสียงขึ้นเป็นรัชทายาท จะอย่างไรเสียทังเฮ่อเสียงได้รับการยอมรับสูงมากในหมู่ราชนิกูล และปรมาจารย์ในราชนิกูลก็มีจำนวนไม่น้อยที่ให้การสนับสนุนต่อทังเฮ่อเสียง ดังนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างเข้าใจว่าทังเฮ่อเสียงจะต้องได้เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้คนทั้งหมดคาดไม่ถึงก็คือ ฮ่องเต้ไท่ชิงถึงกับแต่งตั้งผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงอย่างหลี่ชิเย่ขึ้นเป็นรัชทายาท อีกทั้งยังเป็นผู้เยาว์ไร้ชื่อเสียงที่มีประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน
การกระทำที่ดื้อรั้นเช่นนี้ของฮ่องเต้ไท่ชิง ทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นมูลเหตุสำคัญที่สุดที่ส่งผลให้ราชวงศ์โต่วเซิ่นล่มสลายโดยตรง
“หม่าหมิงชุน เจ้าทรยศราชวงศ์ ควรมีโทษสถานใด!” เวลานี้ ทังเฮ่อเสียงที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองได้ร้องกล่าวเสียงดังกับกองทัพส่วนกลาง
หม่าหมิงชุนคือแม่ทัพของกองทัพส่วนกลาง เวลานี้เขายืนอยู่บนท้องฟ้า กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “แม่ทัพทัง ข้าน้อยไม่เคยคิดจะทรยศราชวงศ์ เพียงแต่ฮ่องเต้องค์ใหม่โง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถ มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม สังหารผู้จงรักภักดีอย่างโหดเหี้ยม เข่นฆ่าประชาชน พวกเราแค่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับอาณาประชาราษฎร์เท่านั้นเอง…”
“…ที่แม่ทัพหม่าพูดมานั้นถูกต้องที่สุด” ในเวลานี้เอง ราชันแท้จริงปาเจิ้นได้ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้า อานุภาพราชันตลบอบอวล เสมือนดั่งเป็นฮ่องเต้องค์หนึ่งที่มาถึง สามารถจัดการทุกอย่างให้จบสิ้นในคราเดียว
ราชันแท้จริงปาเจิ้นกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “พี่ทัง ข้ารูว่าท่านเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดี แต่ บางครั้งก็ต้องตัดสินใจเลือก ฮ่องเต้องค์ใหม่ใช้กำลังชิงหญิงสาวชาวบ้าน มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม เป็นการทำร้ายใต้หล้า แผ่นดินนี้เป็นแรงกายแรงสมองของฮ่องเต้องค์ก่อน ไม่ควรถูกทำลายด้วยน้ำมือของฮ่องเต้ที่เป็นทรราช พวกเราไม่คิดจะโค่นล้มราชวงศ์โต่วเซิ่น เพียงแต่ต้องการให้ทรราชลงจากบัลลังก์ ให้ฮ่องเต้ที่ปรีชา เฉลียวฉลาดเป็นผู้ปกครองแผ่นดินใต้หล้า…”
คำบอกเล่าของราชันแท้จริงปาเจิ้นพูดขึ้นมาช้าๆ ทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้
ในเวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ทังเฮ่อเสียง ทุกคนต่างก็รู้ว่า ทั้งสองต่างก็เป็นอัจฉริยะบุคคลของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ทังเฮ่อเสียงนั้นเคยพ่ายแพ้ให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้น พวกเขาทั้งสองนับได้ว่าเป็นศัตรู วันนี้พบกันในสมรภูมิรบจะมีการสู้กันอย่างดุเดือดหรือไม่
ความจริงแล้ว ภายในใจของผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกจริงจังและหนักแน่นขึ้น เนื่องจากกองทหารรักษาพระนครในฐานะหนึ่งในเจ็ดกองทัพ มีศักยภาพที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยธาตุแท้ภายในที่ทรงพลังยิ่งของเมืองกัวชางเฉิง โดยมีเมืองกัวชางเฉิงเป็นสมรภูมิการสู้รบ ทำให้ทหารรักษาพระนครมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และมีไพ่ตายที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ถ้าหากทหารรักษาพระนครจะสู้ถวายหัวเมืองกัวชางเฉิงล่ะก็ ต่อให้พวกของราชันแท้จริงปาเจิ้นสามารถตีเมืองกัวชางเฉิงจนแตก เกรงว่าก็ต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่สูงมาก
เมื่อพวกของราชันแท้จริงปาเจิ้นได้รับความเสียหายอย่างหนัก มิเท่ากับเปิดโอกาสให้กับพวกของหอหลินไห่เก๋อ เวลานั้นก็จะเป็นเวลาที่สามผู้ยิ่งใหญ่ที่เหลือได้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์กันแล้ว
ดังนั้น ในเวลานี้เอง ท่าทีของทังเฮ่อเสียงนั้นสำคัญอย่างยิ่ง กระทั่งเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของสถานการณ์ใต้หล้าทั้งหมด
เวลานี้ทุกคนต่างจ้องมองไปที่ทังเฮ่อเสียง ทุกคน*ล้วนแล้วแต่ต้องการรู้ว่า ตกลงทังเฮ่อเสียงจะรักษาวังหลวงอย่างถวายหัว หรือว่าแปรพักตร์เปลี่ยนนายกันแน่? เวลานี้บรรยากาศกลับกลายเป็นหนักแน่นขึ้นมาแล้ว
“แม่ทัพทัง ฮ่องเต้องค์ใหม่สละราชสมบัติ ราชวงศ์โต่วเซิ่นยังคงอยู่ กองทัพใหญ่ทั้งห้ายังคงขึ้นอยู่กับราชวงศ์โต่วเซิ่น” ในเวลานี้ แม่ทัพของกองทัพอื่นๆ ก็ทยอยกันมาเกลี้ยกล่อมทังเฮ่อเสียง
“พวกเราขอเพียงฮ่องเต้องค์ใหม่สละราชสมบัติ แล้วให้ฮ่องเต้ที่มีพระปรีชาฉลาดเฉลียวขึ้นกุมอำนาจแทน หาใช่เป็นการกบฏต่อราชวงศ์” แม่ทัพคนอื่นๆ ก็ทยอยกันกล่าวขึ้นมา
จะอย่างไรเสีย ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าวังหลวงและทหารรักษาพระนครล้วนแล้วแต่เป็นกระดูกชิ้นใหญ่ที่เคี้ยวยาก คิดจะตีเอาวังหลวงให้ได้จำเป็นต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่ไม่น้อยทีเดียว
…..