ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2442 สำนักเสินสิงเหมิน
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2442 สำนักเสินสิงเหมิน
ภายในใจของเทพวายุเรียกว่าอึดอัดมาก แต่ หากว่าหลี่ชิเย่ไม่ยอมถอยเรื่องแต่งงานในครั้งนี้เขาเองก็จนด้วยเกล้า แม้จะกล่าวว่าด้วยศักยภาพของเขาสามารถบีบบังคับให้หลี่ชิเย่มอบสัญญาแต่งงานออกมาโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังคงมีขีดยอมรับต่ำสุดที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา เมื่อรับปากฮ่องเต้ไท่ชิงแล้วก็ไม่ต้องการไปฉีกทำลายคำมั่นสัญญาของตน
ไป… เทพวายุถือโอกาสไม่พูดไม่จาให้รู้แล้วรู้รอดไป พาตัวหลี่ชิเย่แวบเดียวก็หายตัวไปทันที
เมื่อหลี่ชิเย่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง พวกเขายังคงอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆเหมือนเดิม เพียงแต่ทอดสายตามองออกไปท่ามกลางทะเลเมฆนี้ เห็นเป็นเทือกเขาที่ขึ้นลงสลับ เสมือนดั่งเป็นแผ่นดินที่อยู่บนสวรรค์
สิ่งนี้หาใช่เป็นเพราะเทพวายุมีความรวดเร็วยิ่ง แต่เป็นเพราะเขาได้ก้าวข้ามพื้นที่ของช่องว่างจากช่องหนึ่งไปยังอีกช่องหนึ่งโดยฉับพลันทันที
และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่เทพวายุมีความเชี่ยวชาญมากที่สุดในด้านของอาณาเขต เนื่องจากเขาได้ฝึก ‘สิงมี่’ ที่อยู่ในจิ่วมี่ ซึ่งไม่เพียงทำให้เขามีความรวดเร็วที่ยอดเยี่ยมปราศจากผู้เทียบเทียมแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทำให้เขาสามารถก้าวข้ามช่องว่างได้ตลอดเวลา
ด้วยเหตุที่เทพวายุได้ฝึกวิชาเคล็ดลับสิงมี่นี่เอง เขาจึงได้กลับกลายเป็นเหมือนเทพแห่งลมที่สามารถไปถึงได้ทุกที่อย่างนั้น
ในฐานะที่เป็นถึงระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ศักยภาพในการก้าวข้ามช่องว่างก็นับว่าแข็งแกร่งมากพอแล้ว หลังจากได้ฝึกเคล็ดลับสิงมี่แล้ว ก็ยิ่งทำให้มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้าแล้ว
ในบรรดาปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งห้า หากพูดถึงเรื่องของการก้าวข้ามช่องว่าง เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถแซงล้ำหน้าเทพวายุได้อีกแล้ว แม้แต่ฮ่องแต้ไท่ชิงขณะยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังห่างชั้นเทียบไม่ได้กับเทพวายุ
ด้วยเหตุนี้เอง ถ้าหากเทพวายุคิดจะหลบหนีล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีใครในแดนลัทธิราชันสามารถขวางเขาเอาไว้ได้
การไปปรากฏตัวยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งอย่างฉับพลัน ฟ้าดินที่อยู่ตรงหน้านับได้ว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เกรงว่าผู้คนจำนวนมากต้องชมเปาะด้วยความตะลึงหลังจากที่ได้มาถึงแล้ว
สำนักเสินสิงเหมิน แผ่นดินที่หลี่ชิเย่มองเห็นอยู่ตรงหน้าก็คือสำนักเสินสิงเหมิน เป็นหนึ่งในห้าสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
สำนักเสินสิงเหมินนับเป็นสำนักที่ค่อนข้างลึกลับในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เนื่องจากผู้ที่รู้ว่าพื้นที่บรรพชนของสำนักเสินสิงเหมินว่าอยู่ที่ใดนั้นมีอยู่ไม่มาก
แม้แต่ศิษย์บางคนของสำนักเสินสิงเหมินเองก็ไม่รู้ว่าพื้นที่บรรพชนของสำนักตนเองตั้งอยู่ที่ใด
ทอดสายตามองไปข้างหน้า มองเห็นทะเลเมฆที่สุดลูกหูลูกตา ทะเลเมฆก็คล้ายดั่งเป็นดินแดนที่ไร้ขอบเขต ท่ามกลางดินแดนที่เป็นทะเลเมฆแบบนี้ มีภูเขาแต่ละลูกตั้งอยู่ กระทั่งมีภูเขาที่เขียวขจีซ้อนกันเป็นชั้นๆ และติดกันเป็นพืด เสมือนดั่งเป็นภูเขาและแม่น้ำที่ทอดยาวเป็นหมื่นลี้อย่างนั้น
ท่ามกลางทะเลเมฆนี้ มีภูเขาจำนวนมากที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆโดยตรง และมีภูเขาอยู่จำนวนไม่น้อยที่ขึ้นลงสลับล่องลอยอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ มองไปแล้วถูกล้อมรอบด้วยเมฆหมอก เป็นการแต่งแต้มให้ภูเขาแต่ละลูกที่มีลักษณะเช่นนี้เพิ่มกลิ่นอายความลึกลับมากขึ้นไปอีก
มีภูเขาที่ตั้งตระหง่านตรงขึ้นไปบนท้องฟ้าท่ามกลางทะเลเมฆ ภูเขาที่สูงตระหง่านเช่นนี้มีน้ำตกที่พุ่งตรงลงมาด้านล่าง มองจากระยะห่างไกลแล้วแลดูอลังการยิ่งนัก นี่แหละที่เรียกว่าน้ำตกที่อลังการพุ่งลงมาอย่างรวดเร็วรุนแรง ทำให้สงสัยว่าคือทางช้างเผือกที่เทลงมาจากบนฟ้า!
ท่ามกลางทะเลเมฆที่มีเทือกเขาขึ้นลงสลับนี้ ไม่ว่าภูเขาแต่ละลูกที่ขึ้นลงสลับเหล่านี้ลอยล่องอย่างไร้ระเบียบอย่างไรก็ตาม แต่ทว่า เมื่อสังเกตดูอย่างละเอียดแล้วก็จะพบว่า บรรดาภูเขาที่ขึ้นลงสลับอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆล้วนแล้วแต่ห้อมล้อมภูเขาหลายลูกเอาไว้อยู่รางๆ อีกทั้งภูเขาหลายลูกที่ว่าก็เป็นภูเขาที่ใหญ่และสูงที่สุดในบรรดากลุ่มภูเขาทั้งหมด เหมือนว่าภูเขาหลายลูกนี้เป็นผู้บงการฟ้าดินแห่งนี้อย่างนั้น
กลุ่มของภูเขาหลายลูกดังกล่าวก็คือพื้นที่ที่เป็นแกนกลางสำคัญของสำนักเสินสิงเหมิน และมีเพียงระดับบรรพบุรุษที่มีตำแหน่งฐานะสูงมากจึงมายังสถานที่แห่งนี้ได้ ที่ตรงนี้ได้เก็บซ่อนของวิเศษและสิ่งที่มีคุณสมบัติพิเศษที่ได้สั่งสมเอาไว้มาทุกยุคทุกสมัยของสำนักเสินสิงเหมิน
สำนักเสินสิงเหมินคือหนึ่งในห้าสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ มีเคล็ดลับสิงมี่ของจิ่วมี่อยู่ในครอบครอง
ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ หากมีจิ่วมี่ก็จะเป็นการบ่งชี้ว่ามีธาตุแท้ภายในที่ดั่งได้รับการเอ็ดดูจากสวรรค์เป็นพิเศษ ขณะเดียวกันก็เป็นการตัดสินว่าสำนักดังกล่าวจะมีการสืบทอดเคล็ดวิชาไปในลักษณะเช่นใด
เฉกเช่นแคว้นว่านเจิ้น พวกเขามีเคล็ดลับเจิ้นมี่ของจิ่วมี่อยู่ในครอบครอง ดังนั้น แคว้นว่านเจิ้นจึงเป็นสำนักที่เชี่ยวชาญด้านของค่ายกลในแดนลัทธิราชัน และเป็นแคว้นที่มีความแข็งแกร่งด้านค่ายกลมากที่สุด
เฉกเช่นตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ พวกเขามีเคล็ดลับปิงมี่ที่อยู่ในจิ่วมี่อยู่ในครองครอง ดังนั้นฝีมือการหลอมสร้างอาวุธของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือจึงสุดยอดมีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า ปราศจากผู้เทียบเทียม ดังนั้นจึงมีผู้ที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า ในแดนลัทธิราชันนั้น อาวุธที่ดีที่สุดมักจะกำเนิดมาจากตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ ซึ่งคำพูดคำนี้หาใช่คำพูดที่สวยหรู
สำนักเสินสิงเหมินมีเคล็ดลับคำว่าสิงมี่อยู่ในครอบครอง กล่าวได้ว่า เคล็ดวิชาของสำนักเสินสิงเหมินจำนวนมากล้วนแล้วแต่วิวัฒนาการมาจากสิงมี่ทั้งสิ้น
ดังนั้น ศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินจึงเก่งในเรื่องการเคลื่อนที่ หากจะกล่าวว่า มีการจัดการแข่งขันระยะไกลขึ้นมาล่ะก็ เกรงว่าทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ กระทั่งทั่วแดนลัทธิราชัน ก็คงไม่มีสำนักใดสามารถเทียบได้กับสำนักเสินสิงเหมินได้
การที่สำนักเสินสิงเหมินได้ครองครองเคล็ดลับสิงมี่ ดังนั้น พวกเขาไม่เพียงแค่เก่งในด้านการเคลื่อนที่ ขณะเดียวกันศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินยังมีท่าร่างที่เป็นหนึ่งใต้หล้า ความเร็วนั้นเรียกว่ามีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า
เคยมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ถ้าหากจะวิ่งหนีเอาชีวิตรอดล่ะก็ ผู้ที่หนีได้ไวที่สุด และหนีได้ง่ายดายที่สุด ต้องเป็นศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินอย่างแน่นอน
จากการที่ทางสำนักเสินสิงเหมินมีความได้เปรียบที่มีมาแต่กำเนิด ในช่วงต้นนั้นทางสำนักเสินสิงเหมินจึงมีระบบการเผยแพร่ข่าวสารที่รวดเร็ว และสมบูรณ์แบบมากที่สุดทั่วทั้งแดนลัทธิราชัน
กระทั่งมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า แรกเริ่มการก่อตั้งขึ้นมาของสำนักเสินสิงเหมินนั้น อาศัยการสืบเสาะหาข่าว การขุดคุ้ยข่าวลับ และมีระบบด้านข่าวสารที่สมบูรณ์ที่สุดทั่วแดนลัทธิราชันทั้งหมด
ดังนั้น ในช่วงเริ่มต้น สำนักต่างๆ เป็นจำนวนมากต่างจ่ายค่าตอบแทนสูงให้กับสำนักเสินสิงเหมิน เพื่อแลกกับข่าวสารและหรือข่าวกรองต่างๆ
เพียงแต่ ต่อมาภายหลัง จากการที่สำนักเสินสิงเหมินมีศักยภาพที่กล้าแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ สำนักเสินสิงเหมินจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปไม่ไปธุรกิจด้านการซื้อขาย และหันไปเอาดีบนเส้นทางที่มุ่งสู่ความเป็นเจ้า แย่งชิงอำนาจมาครอง ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้สำนักเสินสิงเหมินไม่เป็นสำนักที่ยังคงซื้อขายข่าวคราวและข่าวกรองอีกต่อไป แต่กลายเป็นสำนักที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
มองเห็นร่างเงาแวบหนึ่ง เทพวายุก็ได้นำพาหลี่ชิเย่ไปยืนอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดลูกหนึ่งของสำนักเสินสิงเหมิน ณ ที่ตรงนี้มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทุกตารางนิ้วของดินที่อยู่บนยอดเขาล้วนแล้วแต่ส่งประกายแวบวับ ภูเขาทั้งลูกได้รับการปลุกเสกที่ทรงพลังปราศจากผู้ต่อกรเอาไว้
บนยอดเขาแห่งนี้มีบ้านศิลาอยู่หลังหนึ่ง ด้านหน้าของบ้านศิลามีป้ายไม้แขวนอยู่ และสลักคำว่า ‘คลังลับ’ สองคำ ที่ตรงนี้ก็คือคลังตำราที่ใหญ่ที่สุด ครบถ้วนที่สุด และลึกลับมากที่สุดของสำนักเสินสิงเหมิน มีเคล็ดวิชา และเคล็ดลับจำนวนมากของสำนักเสินสิงเหมินล้วนแล้วแต่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ภายในคลังลับแห่งนี้
แน่นอนที่สุด ภายในกคลังลับแห่งนี้ก็ได้เก็บเอกสารบันทึกเรื่องราวจำนวนมหาศาล รวมทั้งข่าวลับ และเรื่องราวที่มีหลักฐานชัดเจนที่ปฏิเสธไม่ได้ต่างๆ เป็นต้น
ปรกติแล้ว บุคคลภายนอกไม่สามารถเข้ามายังคลังลับแห่งนี้ได้ แม้แต่ศิษย์ทั่วไปของสำนักเสินสิงเหมินเองก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เข้าไป เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากปรมาจารย์ มิฉะนั้นล่ะเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ามายังคลังลับแห่งนี้ได้
เอี๊ยด…เอี๊ยด…เอี๊ยด…เสียงประตูหินที่หนักอึ้งดังขึ้น เทพวายุได้นำหลี่ชิเย่เข้าไปภายในคลังลับ
แม้ว่าหลี่ชิเย่จะเป็นคนนอกคนหนึ่ง แต่ว่า อาศัยฐานะที่สูงสุดในสำนักเสินสิงเหมินของเทพวายุ สามารถไปได้ทุกที่อย่างสะดวกภายในสำนักเสินสิงเหมิน
ดูจากภายนอกแล้ว บ้านศิลาหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่เมื่อเดินเข้าไปแล้วก็จะพบว่าสถานที่แห่งนี้กว้างขวางใหญ่โตมาก เสมือนหนึ่งได้เข้าไปยังพื้นที่ช่องว่างอีกแห่งหนึ่งอย่างนั้น
เมื่อเข้าไปยังสถานที่แห่งนี่แล้ว ปรากฏกลิ่นสาบๆ ของหนังสือโชยมาปะทะใบหน้า ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าภายในคลังตำราแห่งนี้ได้เก็บรวบรวมตำราโบราณไว้เท่าไร
เมื่อเดินเข้าไปยังคลังลับแล้วก็จะพบว่า สถานที่ตรงนี้ได้เก็บรวบรวมตำราไว้มากมายดั่งดาวทีอยู่บนท้องฟ้า ชั้นวางตำราจำนวนนับไม่ถ้วนที่วางเรียงเป็นแถวเป็นแนวสูงขึ้นไปบนอากาศ ตำราที่มากมายวางอยู่กระจายไม่มีสิ้นสุด
สถานที่ตรงนี้ได้เก็บรวบรวมตำราเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ข่าวสาร ข่าวกรองที่สำนักเสินสิงเหมินแต่ละรุ่นแต่ละยุคได้รวบรวมและขุดค้นมา ยังมีตำราประเภทต่างๆ จำนวนมากที่ศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินได้รวบรวมเอามาจากสถานที่ทุกแห่งในหล้า
สืบเนื่องจากสำนักเสินสิงเหมินถือกำเนิดขึ้นจากเรื่องของข่าวสารข่าวกรอง ซึ่งแตกต่างจากผู้บำเพ็ญตนของสำนักต่างๆ ดังนั้น ศิษย์แต่ละรุ่นของสำนักเสินสิงเหมินล้วนแล้วแต่มีนิสัยชอบการสะสมตำรา กล่าวสำหรับศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินในแต่ละรุ่นที่ผ่านมานั้น ไม่ว่าตำราเหล่านั้นจะมีประโยชน์หรือไม่ มีความล้ำค่าหรือไม่ บรรดาตำราเหล่านี้ก็ได้มีการบันทึกข่าวสารเอาไว้เป็นจำนวนมาก
ดังนั้นในยุคหลัง หลังจากผ่านการคัดสรรแล้ว ตำราและความลับดึกดำบรรพ์จำนวนนับไม่ถ้วนล้วนแล้วแต่ถูกนำเข้าไปเก็บเอาไว้ภายในคลังลับ ซึ่งไม่เพียงมีตำราที่บันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์เอาไว้ ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลับที่ศิษย์สำนักเสินสิงเหมินแต่ละรุ่นได้ขุดค้นมาได้ และหรือข่าวกรองที่สืบเสาะมาได้ ทั้งหมดได้ถูกจดบันทึกเอาไว้เป็นบันทึกลายมือตนเอง และหรือจดบันทึกสดๆ ณ เหตุการณ์ขณะนั้น ท้ายสุดแล้วถูกเก็บรักษาเอาไว้ภายในคลังลับ
กล่าวได้ว่า ท่ามกลางเอกสารจำนวนมหาศาลเหล่านี้ได้จดบันทึกข่าวสารที่ถูกต้องแม่นยำมากที่สุดในแดนลัทธิราชัน อีกทั้งข่าวสารเหล่านี้มีหลากหลายมากมาย
ประเภทล้ำค่า เป็นต้นว่าประสบการณ์การสยบใจมารขณะที่กำลังบรรลุสัจธรรมของปฐมบรรพบุรุษคนหนึ่ง ประเภทข่าวลือ เป็นต้นว่าปฐมบรรพบุรุษผู้หนึ่งชั่วชีวิตของเขามีผู้หญิงกี่คน เคยกุ๊กกิ๊กกับใครมาบ้าง…เป็นต้น โดยข่าวลับและข่าวลือที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการและมีน้อยคนที่รู้ล้วนแล้วแต่มีการจดบันทึกเอาไว้
เทพวายุพาหลี่ชิเย่เข้าไปยังบริเวณส่วนที่เก็บตำรา และบันทึกดึกดำบรรพ์ กวาดตามองดูรอบหนึ่งและกล่าวกับหลี่ชิเย่ว่า ยกเว้นบริเวณที่เก็บรักษาเคล็ดวิชาและเคล็ดลับแล้ว ส่วนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เปิดกว้างให้กับเจ้า เจ้าสามารถเขาไปอ่านตำราทั้งหมดที่มีอยู่
การที่เทพวายุทำเช่นนี้นับได้ว่าใจกว้างมากแล้ว การให้บุคคลภายนอกคนหนึ่งเข้าไปยังคลังลับ ทั้งยังอนุญาตให้เขาได้เปิดอ่านตำราได้ทั้งหมดยกเว้นตำราที่เกี่ยวกับเคล็ดวิชา และเคล็ดลับเท่านั้น เช่นนี้ก็นับว่าปฏิบัติอย่างดีต่อหลี่ชิเย่แล้ว
หลี่ชิเย่ยิ้มๆ เดินไปยังมุมๆ หนึ่งตามอารมณ์ ที่ตรงนั้นยังมีโต๊ะและม้าหิน บนโต๊ะยังมีตะเกียงและหมึก พลันที่เห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเคยมีผู้นั่งจดบันทึกประวัติศาสตร์จริงและข่าวลับอยู่ที่ตรงนี้
เพียงแต่โต๊ะหินตัวนี้ไม่ได้มีคนมานั่งนานแล้ว ปรากฏฝุ่นที่จับอยู่บนโต๊ะดังกล่าว
หลี่ชิเย่หยิบเอาหนังแกะขึ้นมาชิ้นหนึ่งจากกระบอกเก็บตำราตามอารมณ์ คลี่ออกมาดู ปรากฎว่าเป็นแผนที่โบราณที่ยังเขียนไม่เสร็จ หลังจากมองดูแล้วก็หัวเราะตามอารมณ์ขึ้นมา
ดูท่าสำนักเสินสิงเหมินของพวกเจ้าไม่มีใครมาเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ หรือจดบันทึกข่าวลือที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการและมีน้อยคนที่รู้มานานมากแล้วสิ หลี่ชิเย่กล่าวและหัวเราะขึ้นมา
เทพวายุนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่พูดได้ถูกต้อง แม้ว่าสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขาถือกำเนิดขึ้นมาโดยอาศัยการสืบเสาะหาข่าว ขุดค้นความลับ แต่ทว่า จากการที่สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขามีความแข็งแกร่งมากขึ้นๆ จึงทำให้ศิษย์ที่ยินดีจะไปแสดงในบทลักษณะเช่นนี้ลดน้อยลงไปทุกที เวลานี้แม้แต่ศิษย์ที่ยินดีไปทำงานเกี่ยวกับการสืบหาข่าวคราว ขุดคุ้ยเรื่องความลับก็มีจำนวนน้อยลง ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึงศิษย์ที่จะมานั่งเรียบเรียงจดบันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เป็นความจริง และข่าวลือที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการและมีน้อยคนที่รู้ซึ่งเป็นงานที่จืดชืดอีกต่อไป
ดังนั้น เวลานี้ยังมีศิษย์ส่วนหนึ่งที่ทำงานด้านการสืบเสาะหาข่าวสารอยู่ แต่ ประเภทเขียนเรียบเรียงเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เป็นความจริง และข่าวลือที่ไม่ได้มีการบันทึกอย่างเป็นทางการและมีน้อยคนที่รู้ไม่มีใครทำอีกแล้ว ซึ่งขาดช่วงไปหลายยุคสมัยแล้ว
กระทั่งกล่าวได้ว่า ในช่วงระยะเวลาที่ยาวนานที่ผ่านมานี้ หลี่ชิเย่เป็นคนแรกที่ให้ความสนใจตำราที่อยู่ในนี้
จะอย่างไรเสีย กล่าวสำหรับศิษย์สำนักเสินสิงเหมินในปัจจุบัน พวกเขาไม่ได้สนใจในตำราเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย ที่พวกเขาเสาะแสวงหาคือกำลังความสามารถที่แข็งแกร่ง พวกเขาหลงใหลอยู่กับการฝึกยุทธ ที่พวกเขากระหายอยากจะได้มาคือเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งพิสดาร หรือของวิเศษที่ทรงพลัง ไม่ใช่การบันทึกประวัติศาสตร์ที่เป็นจริงซึ่งน่าเบื่อและจืดชืดเช่นนี้
เมื่อหลี่ชิเย่สามารถหยิบเอาหนังแกะแผ่นหนึ่งแล้วดูจนเหม่อ และอ่านได้อย่างออกรสออกชาตินั้น ทำให้เทพวายุยังต้องรู้สึกเหนือความคาดคิด
……………………………………………….