ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2446 ศิลาจารึกไร้อักษร
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2446 ศิลาจารึกไร้อักษร
จางเจี้ยนชวนพาหลี่ชิเย่ไปยังเขาปรมาจารย์เพื่อดูชมศิลาจารึกไร้อักษร
ในสำนักเสินสิงเหมินประกอบด้วยภูเขาแต่ละลูกที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ จากที่พักของหลี่ชิเย่ไปยังเขาปรมาจารย์ต้องก้าวข้ามภูเขาแต่ละลูก โดยมีสะพานศักดิ์สิทธิ์แต่ละแห่งที่พาดผ่านท้องฟ้าก้าวข้ามภูเขาแต่ะละลูก
ภายใต้จางเจี้ยนชวนที่เป็นเพื่อนนำพาหลี่ชิเย่ไปยังเขาปรมาจารย์นั้น ระหว่างทางได้พบกับศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักจำนวนไม่น้อย และยังได้พบกับผู้อาวุโสของสำนักบางคน
สำนักเสินสิงเหมินในฐานะที่เป็นหนึ่งในห้าแกร่ง มีกำลังกล้าแข็งอย่างยิ่ง และมีธาตุแท้ภายในที่มากด้วยพลัง แม้ว่าพื้นที่บรรพชนของสำนักเสินสิงเหมินจะซ่อนอยู่บนท้องฟ้า เสมือนดั่งห่างไกลจากความวุ่นวายของโลกมนุษย์ แต่ทว่าพื้นที่บรรพชนของสำนักเสินสิงเหมินไม่เงียบเหงา และไม่เหี่ยวเฉา เนื่องจากพื้นที่บรรพชนของสำนักเสินสิงเหมินมีศิษย์นับหมื่น กล่าวได้ว่าภาพรวมพื้นที่บรรพชน ของสำนักเสินสิงเหมินนันคึกครื้นยิ่งนัก
“ศิษย์พี่รอง…” ระหว่างทางได้พบเจอกับศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันกล่าวทักทายกับจางเจี้ยนชวน
แม้ว่าจางเจี้ยนชวนจะไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรนักในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ แต่ทว่าตำแหน่งและฐานะในสำนักเสินสิงเหมินยังนับว่าสูงมาก จะอย่างไรเสียในฐานะที่เป็นศิษย์คนรองของสำนักเสินสิงเหมิน ตัวเขาเองก็คือสัญลักษณ์ของกำลังความสามารถอย่างหนึ่ง จึงมีฐานะที่สูงส่งเพียงพอในสำนักเสินสิงเหมิน อยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านการบำเพ็ญเพียร พรสวรรค์ หรือการวางตัวและการปฏิบัติงานของจางเจี้ยนชวน ล้วนแล้วแต่ ได้รับการเคารพรักจากศิษย์พี่ศิษย์น้องของสำนักเสินสิงเหมิน
จางเจี้ยนชวนเองที่พบเจอกับศิษย์พี่ศิษย์น้องก็พยักหน้าเป็นการทักทายกับทุกๆ คน
มองเห็นจางเจี้ยนชวนที่ให้การปรนนิบัติอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ด้วยความเคารพ ซึ่งทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักจำนวนไม่น้อยรู้สึกแปลกใจ จางเจี้ยนชวนในฐานะที่เป็นศิษย์พี่รองของสำนักเสินสิงเหมิน ผู้อาวุโสภายในสำนักเสินสิงเหมินที่ต้องให้เขาปรนนิบัติด้วยตนเองนั้นมีอยู่ไม่มากแล้ว
แต่แล้วชายหนุ่มที่แลดูมีอายุไม่ได้แตกต่างอะไรกับจางเจี้ยนชวนสักเท่าไร อีกทั้งชายหนุ่มผู้นี้พลันที่มองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นผู้บำเพ็ญตนน้อยที่เพิ่งอยู่ในขั้นแรกเริ่มเท่านั้น หาใช่ประเภทยอดฝีมืออัจฉริยะบุคคลที่เกรียงไกรไปเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน
เพราะอะไรชายหนุ่มลักษณะเช่นนี้ถึงต้องให้ศิษย์พี่รองของพวกเขาให้การปรนนิบัติด้วยความเคารพถึงเพียงนี้เล่า? เวลานี้ ทำให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุรู้สึกแปลกใจ
“ศิษย์พี่ คนผู้นี้เป็นใครรึ?” ศิษย์น้องผู้หญิงที่มีความร่าเริงและอยากรู้อยากเห็นเมื่อมองเห็นจางเจี้ยนชวนที่กำลังให้การปรนนิบัติอยู่ ได้เดินเข้าไปเอ่ยถาม
จางเจี้ยนชวนระมัดระวังอย่างยิ่งกับคำถามลักษณะเช่นนี้ ตอบด้วยใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นแขกผู้มีเกียรติคนหนึ่งของสำนักเสินสิงเหมินพวกเรา”
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า จางเจี้ยนชวนนับเป็นผู้มีประสบการณ์สูงคนหนึ่ง คำพูดคำนี้พูดได้แนบเนียนมาก
แน่นอนที่สุด โลกนี้ไม่มีความลับอยู่แล้ว หลี่ชิเย่พักอาศัยอยู่ในสำนักเสินสิงเหมินนานถึงเพียงนี้ จึงมีศิษย์ของสำนักที่มีตำแหน่งฐานะสูงทราบถึงฐานะของเขามานานแล้ว
“ผู้ที่อยู่ข้างกายศิษย์พี่รองนั้นเป็นใครกันนะ? ถึงกับต้องให้ศิษย์พี่รองคอยปรนนิบัติรับใช้” มีศิษย์ที่เอ่ยถามกับศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่สาวที่อยู่ข้างกาย
ศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่สาวมองดูหลี่ชิเย่ที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อทีหนึ่ง ส่งเสียงฮึออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “เขา เขาก็คือฮ่องเต้องค์ใหม่!”
“ฮ่องเต้องค์ใหม่…” ศิษย์น้องชายน้องสาวที่อายุน้อยเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วพลันรู้สึกใจหายใจคว่ำ กดโทนเสียงให้ต่ำลง และกล่าวว่า “เขา เขาก็คือฮ่องเต้องค์ใหม่ที่สิ้นชาติแผ่นดินถูกทำลายรึ? ฮ่องเต้ของราชวงศ์โต่วเซิ่นที่ครองราชย์ได้สั้นที่สุด!”
มีศิษย์พี่สาวที่พูดออกมาโดยไม่เกรงใจว่า “นอกจากเขาแล้วยังจะมีใครอีก ฮ่องเต้ชั่วที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม หากไม่สิ้นชาติสิแปลก สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้ นับว่าโชคดีมากแล้ว”
ท่าทีศิษย์พี่สาวผู้นี้รู้สึกเหยียดหยามอย่างชัดเจน นางได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ใหม่ที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมมานานแล้ว สำหรับผู้ชายประเภทบ้ากามไร้ความสามารถประเภทนี้ นางดูถูกจากก้นบึงของหัวใจ เพื่อผู้หญิงแล้วแม้แต่แผ่นดินก็รักษาเอาไว้ไม่ได้ ผู้ชายแบบนี้สวะชัดๆ
“อิ อิ…อย่าพูดเสียงดังนัก” ศิษย์พี่สาวอีกคนพูดเสียงแผ่วเบาว่า “จะอย่างไรเสียเขาก็คือแขกของพวกเรา”
“ไม่เห็นจะวิเศษวิโสอะไร” ศิษย์พี่อีกคนพูดไม่เกรงใจว่า “เวลานี้ไม่ใช่ยุคของราชวงศ์โต่วเซิ่นอีกแล้ว หรือคิดว่าใต้หล้านี้ยังเป็นแผ่นดินของเขาอย่างนั้นรึ? แค่ฮ่องเต้ที่มั่วโลกีย์ไร้ความสามารถคนหนึ่ง แค่สวะเท่านั้น ไม่คู่ควรกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราอยู่แล้ว”
“นั่นสิ” ศิษย์พี่สาวคนนี้รีบกล่าวสนับสนุนว่า “ศิษย์พี่ของพวกเราคือสตรีผู้สูงศักดิ์ พรสวรรค์เหนือผู้คน คือไข่มุกสำนักเสินสิงเหมินของพวกเรา เฉกเช่นศิษย์พี่ที่เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งงดงามพรั่งพร้อมด้วยพรสวรรค์ แน่นอนที่สุดผู้ที่จะคู่ควรย่อมต้องเป็นบุรุษผู้มีความฉลาดเป็นเลิศ ประเภทสวะที่สูญเสียแผ่นดินเพราะผู้หญิง ไหนเลยจะคู่ควรกับศิษย์พี่ของพวกเราได้เล่า”
มิน่าเล่าบรรดาศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินถึงได้มีอคติมากมายต่อหลี่ชิเย่ที่เป็นฮ่องเต้องค์ใหม่เช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาของสำนักเสินสิงเหมิน
ในสายตาของเหล่าศิษย์สำนักเสินสิงเหมิน ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาไม่เพียงมีสายเลือดที่สูงส่ง ขณะเดียวกันธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาคือผู้ที่มีพรสวรรค์และรูปโฉมที่งดงามรวมอยู่ในคนๆ เดียว สุดยอดสาวงามในหล้าเช่นนี้คือความภูมิใจสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขา เป็นหัวแก้วหัวแหวนของสำนักเสินสิงเหมิน
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรในสำนักเสินสิงเหมินที่เป็นผู้เลื่อมใสศรัทธาในตัวธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวา และไม่รู้ว่ามีศิษย์ที่เป็นชายหนุ่มรักใคร่ชื่นชมในตัวนาง
ในความคิดของพวกเขามองว่า การที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาพวกเขาแต่งงานกับฮ่องเต้ที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม บ้ากามไร้ความสามารถ เท่ากับเป็นการเอาดอกไม้ปักบนขึ้วัว ทำให้ภายในใจของศิษย์จำนวนไม่น้อยของสำนักเสินสิงเหมินรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ยิ่งไปกว่านั้น เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ได้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดินแล้ว ยิ่งไม่คู่ควรกับธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวาของพวกเขา ดังนั้น จึงมีศิษย์สำนักเสินสิงเหมินรู้สึกไม่เป็นธรรมต่อธิดาศักดิ์สิทธิ์เฟยฮวามากยิ่งขึ้น และเมินใส่ฮ่องเต้องค์ใหม่ที่เป็นฮ่องเต้ที่สิ้นชาติเช่นนี้!
“เขาก็คือฮ่องเต้องค์ใหม่นะเนี่ย” ระหว่างทางมีศิษย์สำนักเสินสิงเหมินจำนวนไม่น้อยที่ชี้มือชี้ไม้ต่อหลี่ชิเย่ และพูดเสียงแผ่วเบาว่า “คนนี้ก็คือฮ่องเต้ที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมคนนั้นนะเนี่ย”
“เวลานี้ไม่ใช่ฮ่องเต้องค์ใหม่อีกแล้ว เป็นฮ่องเต้สิ้นชาติ หมดที่พึ่งไร้ญาติขาดมิตร” มีศิษย์ที่กล่าวเหยียดหยามว่า “เวลานี้เขามีที่ที่ซุกหัวนอนก็นับว่าไม่เลวแล้วล่ะ สามารถรักษาชีวิตได้ก็นับว่าดีมากแล้ว”
“นั่นสิ” มีศิษย์ที่พูดสนับสนุนทันทีว่า “ถ้าหากไม่เป็นเพราะสำนักเสินสิงเหมินพวกเราให้ที่ปกป้องคุ้มครอง เกรงว่าคงตายไปนานแล้วล่ะ”
จางเจี้ยนชวนเองก็จนด้วยเกล้าเมื่อได้ยินคำซุบซิบนินทาเช่นนี้ ยิ้มเจื่อนๆ และกล่าวต่อหลี่ชิเย่ด้วยความรู้สึกเสียใจว่า “ฝ่าบาท ท่านอย่าได้เก็บมาใส่ใจเลย พวกเขาพูดไปโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้น”
กล่าวสำหรับจางเจี้ยนชวนที่รั้งอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่มานานแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกว่าหลี่ชิเย่เป็นฮ่องเต้ที่มั่วโลกีย์ไร้คุณธรรมจริงๆ เขาไม่เหมือนเช่นที่มีการเล่าลือกันภายนอกแน่นอน
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มนิดหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้พูดอะไรออกมา และขี้คร้านจะไปพูดถึง สำหรับการชี้มือชี้ไม้และวิพากวิจารณ์เบาๆ เช่นนี้
ภูเขาปรมาจารย์ สูงตระหง่านทะลุสวรรค์ ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม บนภูเขาปรมาจารย์มีตำหนักโบราณและเรือนศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ ถูกล้อมรับด้วยเมฆหมอกและอากาศธาตุสีเขียว มองจากระยะห่างไกลแล้วภูเขาปรมาจารย์ก็คล้ายดั่งเป็นภูเขาเซียน ยิ่งไปกว่านั้น ครั้นก้าวขึ้นไปยังยอดเขาสูงสุดแล้ว ให้ความรู้สึกถึงกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม เหมือนว่าภายใต้ยอดเขาสูงสุดมีมังกรยักษ์นอนจำศีลอยู่อย่างนั้น กลิ่นอายเช่นนั้นเสมือนสามารถทะลุเมฆา ทะลุท้องฟ้าอย่างนั้น
บริเวณหน้าผาของเขาปรมาจารย์มีหินก้อนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ หินก้อนนี้ถูกตั้งไว้บนพื้น แม้ว่าไม่ได้ถูกฝังเอาไว้ในดิน แต่การที่มันตั้งอยู่ตรงนั้นก็ไม่สามารถเคลื่อนได้ คล้ายรากงอกไปแล้วอย่างนั้น
ก้อนหินก้อนนี้มีสีออกเป็นสีน้ำตาลแดง โดยก้อนหินดังกล่าวตั้งเปลือยโล่งอยู่ตรงนั้น อีกทั้งก้อนหินดังกล่าวยังไม่ได้ผ่านการแกะสลักใดๆ อีกด้วย ก้อนหินทั้งก้อนตั้งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้มีร่องรอยของมนุษย์แม้แต่น้อย
ก้อนหินลักษณะเช่นนี้คล้ายขุดเอามาจากบนเขา จากนั้นก็นำมาวางไว้ตรงนี้โดยตรงโดยไม่ได้ผ่านการแกะสลักแม้แต่น้อย ร่องรอยที่ปรากฏอยู่บนก้อนหินก้อนนี้นอกเหนือจากการถูกลมและฝนชะล้างแล้ว ก็คือร่องรอยการลูบคลำที่ดูเป็นสีจางๆ แล้ว
ความจริงแล้ว การที่บนก้อนหินจะมีรอยจางๆ ที่เกิดจากการลูบคลำก็เป็นเรื่องที่เข้าใจกันได้ เนื่องจากมันคือศิลาจารึกไร้อักษรที่ตั้งโดยราชันแท้จริงเสินสิง พันล้านปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินจำนวนเท่าไรที่มาบรรลุก้อนหินก้อนนี้ ไม่รู้ว่ามีศิษย์จำนวนเท่าไรที่เคยลูบคลำก้อนหินก้อนนี้ หวังอาศัยการลูบคลำแล้วบังเกิดแรงบันดาลใจหรือความลึกซึ้งยอดเยี่ยมอะไรบางอย่าง
เสียดาย ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครทำได้สำเร็จ ก้อนหินก้อนนี้ยังคงเป็นก่อนหินก้อนหนึ่ง เหมือนว่ามันก็คือก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
ความจริงแล้ว พันล้านปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีอัจฉริยะบุคคลที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งของสำนักเสินสิงเหมิน จำนวนเท่าไรที่เคยมาบรรลุก้อนหินก้อนนี้ แต่ว่าก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ หลายปีก่อนหน้านี้สำนักเสินสิงเหมินเคยเชิญมู่เส้าเฉิงสุดยอดอัจฉริยะบุคคลจากตระกูลมู่มา แต่ก็ไม่สามารถบรรลุอะไรได้
แต่ว่า กล่าวสำหรับศิษย์สำนักเสินสิงเหมินแต่ละรุ่นแล้ว พวกเขาเชื่อว่าหินก้อนนี้ต้องมีค่าในตัวของมันเองอย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วราชันแท้จริงเสินสิง ปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาคงไม่นำมันมาตั้งไว้ที่ตรงนี้โดยไร้เหตุผล เพียงแต่ศิษย์รุ่นหลังไม่สามารถบรรลุมันได้ทะลุปรุโปร่งเท่านั้นเอง
ด้านหน้าของศิลาจารึกไร้อักษรมีศาลาพักร้อนอยู่หลังหนึ่ง เป็นศาลาพักร้อนที่ใหญ่มาก สามารถจุคนได้หลายร้อยคน เมื่อหลี่ชิเย่และจางเจี้ยนชวนมาถึงศาลาพักร้อนหลังนี้ ได้มีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่มาทำบรรลุศิลาจารึกไร้อักษรที่ตรงนี้อยู่ก่อนแล้ว แน่นอน มีศิษย์บางส่วนถึงกับเอาตัวพิงแนบอยู่กับก้อนหินก้อนนี้เสียแน่น อาศัยร่างกายของตนไปสัมผัสศิลาจารึกไร้อักษรให้มาก ดูว่าสามารถรับรู้อะไรได้บ้าง
หลังจากที่จางเจี้ยนชวนนำพาหลี่ชิเย่เข้าไปยังศาลาพักร้อนแล้ว ได้ทำให้ศิษย์จำนวนไม่น้อยทยอยกันเหลือบมอง และมีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่กล่าวทักทายต่อจางเจี้ยนชวน
หลังจากที่มาถึงศาลาพักร้อนแล้ว จางเจี้ยนชวนไม่พูดพล่ามทำเพลง ช่วยหลี่ชิเย่จัดวางโต๊ะให้เรียบร้อย ช่วยจุดธูปที่ทำให้มีกลิ่นหอม เพื่อทำให้เป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่สบายและเงียบเหมาะแก่การบรรลุสัจธรรม
ขณะที่หลี่ชิเย่ได้นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะตัวนี้และมองดูศิลาจารึกไร้อักษรอยู่ จางเจี้ยนชวนไม่พูดอะไรสักคำ ได้ก่อไฟขึ้นที่ข้างๆ ศาลาพักร้อนจุดไฟก่อเตาเพื่อชงน้ำชาให้กับหลี่ชิเย่
การที่เทพวายุส่งจางเจี้ยนชวนมาปรนนิบัตรหลี่ชิเย่ใช่จะไม่มีเหตุผล ขอเป็นคำสั่งที่มีการสั่งการลงมา จางเจี้ยนชวน ก็จะปฏิบัตอย่างดี โดยไม่มีการอู้งาน
เนื่องด้วยมีคำสั่งจากเทพวายุ ดังนั้นจางเจี้ยนชวนก็จะไม่เพียงเพราะหลี่ชิเย่คือฮ่องเต้สิ้นชาติ ก็จะไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างประมาทแม้แต่น้อย เขายังคงมีความรับผิดชอบ และละเอียดรอบคอบ ยังคงปฏิบัติอย่างจริงจังเพื่อปรนนิบัติหลี่ชิเย่ให้ดี
ศิษย์สำนักเสินสิงเหมินจำนวนไม่น้อยรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อมองเห็นจางเจี้ยนชวนปรนนิบัติหลี่ชิเย่ถึงเพียงนี้ ขณะที่หลี่ชิเย่ยังคงเหมือนว่ามันเป็นการสมเหตุสมผลอย่างนั้น ในทัศนะคติพวกเขามองว่าการที่หลี่ชิเย่วางมาดเช่นนี้เป็นการทำให้ศิษย์พี่รองพวกเขาต้องอับอาย เป็นการรังแกเหยียดหยามสำนักเสินสิงเหมินพวกเขา
“ฮึ แค่ฮ่องเต้สิ้นชาติคนหนึ่งเท่านั้น ยังวางมาดยิ่งใหญ่เพียงนี้ ยังคงเข้าใจว่าที่ตรงนี้คือราชวงศ์โต่วเซิ่นหรือนี่ นึกว่าแผ่นดินผืนนี้คือของเขานะเนี่ย” มีศิษย์ที่ไม่สบอารมณ์ กล่าวพร้อมกับส่งเสียงฮึออกมาเย็นชา
“นั่นสิ มีเพียงศิษย์พี่รองเท่านั้นที่มีอารมณ์ดีขนาดนี้ หากเปลี่ยนเป็นข้าคงไม่อยู่ปรนนิบัตินานแล้ว” มีศิษย์น้องที่มองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีเหยียดหยามทีหนึ่ง
…