ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2456 โล่หินผา
หลี่ชิเย่มองดูเทพวายุที่คุกเข่าอยู่กับพื้นแวบหนึ่ง หัวเราะส่ายหน้าและกล่าวว่า พวกไร้สมองฝูงหนึ่งชัดๆ ไม่เห็นเลือดก็จะเข้าใจว่าโลกนี้มันก็แค่นี้เอง
ในเวลานี้ แม้ว่าคำพูดของหลี่ชิเย่จะพูดแบบที่เรียกว่าเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ว่าทุกคนในสำนักเสินสิงเหมินต่างตัวสั่นงันงก ทุกคนล้วนแล้วแต่คุกเข่าก้มกราบอยู่กับพื้น ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ธรรมดาทั่วไป หรือว่าเป็นระดับบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งล้วนแล้วแต่คุกเข่าก้มหน้าอยู่กับพื้น ร่างสั่นเทาอยู่ตรงนั้น
ในเวลานี้พวกเขาจึงได้รู้ว่าอะไรคือความน่ากลัว อะไรคือผู้ยิ่งใหญ่ สำหรับพวกเขาแล้วเป็นได้เพียงมดปลวกเท่านั้นเอง แม้ว่าเวลานี้พวกเขาคือหนึ่งในห้าแกร่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่แล้ว แม้ว่าในบรรดาระดับบรรพบุรุษเช่นพวกเขาจะมีระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกรมาแล้วก็ตาม แต่นาทีนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่แล้วก็ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง
เวลานี้ คนหนุ่มที่ไม่สะดุดตาตรงหน้าคนนี้ แค่ขยับตัวก็สามารถเล่นงานพวกเขาถึงตายได้ สามารถทำลายล้างสำนักเสินสิงเหมินทั้งหมดของพวกเขาจนหายวับไปกับตาได้อย่างง่ายดายด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายสบายๆ
กล่าวได้ว่า แม้สำนักเสินสิงเหมินในสายตาของผู้อื่นจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ แม้ว่าสำนักเสินสิงเหมินจะมีฐานะเป็นถึงหนึ่งในห้าแกร่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เวลานี้ในสายตาของคนหนุ่มที่ธรรมดาๆตรงหน้าแล้ว ก็เป็นได้แค่ฝุ่นผงบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง
เวลานี้บรรดาเหล่าบรรพบุรุษของสำนักเสินสิงเหมินล้วนแล้วแต่กำลังสั่นเทา ยิ่งเทียนเฮ่อเจินเหรินด้วยแล้วยิ่งเรียกได้ว่ารู้สึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง ในขณะนี้เขาไม่ได้กังวลถึงความปลอดภัยในชีวิตของตน แต่กังวลถึงสำนักเสินสิงเหมินโดยรวม ภายในใจของเทียนเฮ่อเจินเหรินไม่ต้องการให้ความโง่เขลาของตนทำลายสำนักเสินสิงเหมินทั้งหมด
ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นความผิดของเขาที่ทำให้สถานการณ์กลายเป็นเช่นนี้ ถ้าหากเป็นเพราะตัวเขาที่ทำให้สำนักเสินสิงเหมินต้องล่มสลายเพราะความโง่เขลาส่วนบุคคลของเขาเองแล้วล่ะก็ เขาคงละอายต่อบรรพชนของสำนักเสินสิงเหมิน แม้ว่าจะลงไปปรโลกแล้วก็ไม่มีหน้าที่จะไปสู้หน้าต่อปรัชญาเมธีของสำนักเสินสิงเหมินแต่ละรุ่นได้
ในเวลานี้ สีหน้าของเทียนเฮ่อเจินเหรินซีดเผือด นาที่นี้เขาจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่า เพราะอะไรหลี่ชิเย่ถึงได้พูดว่าสามารถทำให้การแต่งงานครั้งนี้ลุล่วงไปได้เป็นการคบหาผู้ที่สูงศักดิ์กว่าของพวกเขา การที่บุตรีของเขาสามารถอุ่นเตียงให้กับหลี่ชิเย่เป็นเกียรติของนาง เสียดาย ก่อนหน้านี้เขากลับโง่เขลายิ่ง ไม่สามารถคว้าโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้เอาไว้ได้
เวลานี้ต่อให้รู้สึกเสียใจภายหลังก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว ในใจของเทียนเฮ่อเจินเหรินรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่เพราะความโง่เขลาของเขาเองทำให้กลายเป็นเช่นนี้ ในขณะนี้เขารู้สึกว่าตนเองนั้นต่อให้ตายร้อยครั้งก็ไม่อาจชดเชยได้ ถ้าหากตายร้อยครั้งแล้วชดเชยได้เขาก็ยินดีตายร้อยครั้ง!
หลี่ชิเย่เพียงมองดูอย่างเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สำหรับบรรดาศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินทั้งหมดที่คว่ำหน้าอยู่กับพื้นด้วยท่าทางตัวสั่นงันงกแล้วรู้สึกไม่มีอารมณ์ กล่าวเฉยเมยขึ้นมาว่า ช่างเถอะ สังหารพวกเจ้าทั้งหมดก็ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงอำนาจที่ปราศจากผู้ต่อกรของข้าได้ ไสหัวไป
ขอบพระทัยฝ่าบาท…เทพวายุและบรรดาศิษย์ทุกระดับชั้นของสำนักเสินสิงเหมินล้วนแล้วแต่รู้สึกเหมือนเป็นการอภัยโทษครั้งใหญ่อย่างนั้น เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ต่างมีการการสั่นเทาดั่งกระชอนอย่างนั้นรีบไปยืนอยู่ด้านข้าง ในขณะนี้พวกเขาต่างมีเหงื่อเย็นที่ไหลโทรมกาย เสื้อที่สวมใส่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หลังจากหลี่ชิเย่สั่งการออกไปแล้ว ทุกระดับชั้นในสำนักเสินสิงเหมินต่างโขกหัวสามครั้งคำนับเก้าครั้ง แล้วจึงลุกขึ้นไปยืนอยู่ด้านข้างแต่โดยดี ไม่กล้าแม้กระทั่งหายใจแรง
หลี่ชิเย่รู้สึกหมดอารมณ์ โยนโล่หินที่อยู่ในมือไปให้กับจางเจี้ยนชวนที่อยู่ข้างกายไปตามอารมณ์ กล่าวเฉยเมยว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาเจ้าคอยรับใช้ข้าตลอดมา ข้าดีต่อคนข้างกายของข้าตลอดมา โล่หินผานี้ประทานให้เจ้าก็แล้วกัน นับว่าเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง
การที่หลี่ชิเย่ได้ประทานโล่หินให้กะทันหัน ทำให้จางเจี้ยนชวนถึงกับตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก ยืนเหม่ออยู่ตรงนั้นและอ้าปากกว้าง ไม่สามารถเรียกสติกลับมาได้ในเวลานี้
ใช่เพียงแต่จางเจี้ยนชวนเท่านั้นที่ยากจะเรียกสติกลับมาได้ในเวลานี้ แม้แต่บรรดาศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดของสำนักเสินสิงเหมินก็ถูกทำให้หวั่นไหว ก่อนหน้านี้พวกเขายังอยู่ในอาการตัวสั่นงันงก ขวัญหนีดีฝ่อขณะที่นาทีนี้ก็ถูกทำให้หวั่นไหวกับความมือเติบเช่นนี้ของหลี่ชิเย่
พวกเขาต่างสามารถดูออกว่า โล่หินนี้เป็นของวิเศษที่ยอดเยี่ยมมาก มีความเป็นไปได้ที่อานุภาพของมันจะเทียบเคียงกับอาวุธปฐมบรรพบุรุษ กระทั่งอาจจะมีอานุภาพที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเสียอีก
ของวิเศษที่สุดยอดถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่อยากได้มันมาครอบครองเป็นอันมาก โล่หินลักษณะเช่นนี้หากตกไปอยู่ภายนอก รับรองได้ว่าต้องก่อให้เกิดลมคาวฝนเลือดขึ้นมาดั่งคลื่นยักษ์แน่นอน ไม่ว่าสำนักใดก็ตามต้องแย่งชิงกันเพียงเพราะโล่อันนี้จนหัวร้างข้างแตกแน่นอน
แต่ทว่า หลี่ชิเย่กลับมีท่าทีที่เอ้อระเหยอย่างยิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ประทานโล่หินที่สุดยอดที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองให้กับจางเจี้ยนชวนไปตามอารมณ์ยิ่งนัก
ที่ได้สติกลับมาก่อนผู้อื่นยังคงเป็นเทพวายุที่มีประสบการณ์มากที่สุด รีบกล่าวเตือนสติจางเจี้ยนชวนไปว่า ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาท
ในเวลานี้ ภายในใจของเทพวายุก็รู้สึกดีใจ แม้ว่าสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขาได้ทำความผิดใหญ่หลวงที่ไม่อาจให้อภัยได้ โง่เขลาอย่างยิ่ง แต่ว่า อย่างน้อยที่สุดสำนักเสินสิงเหมินขพวกเขาก็ยังคงมีศิษย์ผู้หนึ่งที่เข้าตาหลี่ชิเย่ได้ สิ่งนี้นับว่าได้คงไว้ซึ่งวาสนาอยู่นิดหนึ่ง
จางเจี้ยนชวนได้สติกลับมาแล้วถึงกับร่างสั่นเทิ้ม รีบคุกเข่าลงกราบกับพื้น ซาบซึ้งอย่างหาที่สุดไม่ได้และกล่าวว่า ขอบพระทัยฝ่าบาทที่พระราชทาน!
ความแข็งแกร่งของโล่หินอันนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทักษะยุทธของเจ้า แต่อยู่ที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้า หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า ขอเพียงเจ้ามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่งที่แข็งแกร่งมั่นคงเพียงพอ ก็สามารถควบคุมมันได้ อีกทั้ง ยิ่งจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าแข็งแกร่งมากเท่าไรมันก็จะมีความแข็งแกร่งมากเท่านั้น ถ้าหากจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเจ้าแข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้ เช่นนั้นแล้ว มันก็จะสามารถต้านการโจมตีส่วนใหญ่บนโลกนี้กับเจ้า น้อยคนนักบนโลกนี้สามารถทำอันตรายให้กับเจ้าได้!
ข้าน้อยเข้าใจ จางเจี้ยนชวนได้สติกลับมาจึงกราบอีกครั้ง ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
น่าเบื่อ…สุดท้าย หลี่ชิเย่มองหน้าพวกของเทพวายุตามอารมณ?แวบหนึ่ง ขี้คร้านจะไปสนใจพวกเขาอีกต่อไป หันหลังล่องลอยจากไป
เทพวายุกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่แล้วคำพูดของเขายังไม่ทันหลุดออกจากปาก หลี่ชิเย่ก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว
เทพวายุได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความไวมากที่สุดในยุคปัจจุบัน ได้รับการยกย่องว่าปรากฏตัวได้ทุกที่ แต่ว่า เวลานี้เมื่อเปรียบเทียบกับความไวของหลี่ชิเย่แล้วช่างไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้อยู่แล้ว
ไม่ง่ายนักกว่าที่เทพวายุจะได้สติกลับมา ถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ อันที่จริงนี่คือโอกาสที่ฟ้าประทาน น่าเสียดายที่สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขากลับไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้ ปล่อยให้มันหลุดลอยจากมือไปอย่างน่าเสียดาย
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เทพวายุสีหน้าเคร่งเครียดและสั่งการออกมาว่า นับแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักเสินสิงเหมินปิดสำนัก ห้ามศิษย์คนใดก็ตามก้าวออกจากสำนักแม้เพียงก้าวเดียวโดยไม่ได้รับอนุญาต เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ไม่ว่าใครก็ตามห้ามเปิดเผยต่อโลกภายนอกแม้แต่น้อย มิฉะนั้น ฆ่าไม่มีละเว้น!
ศิษย์เข้าใจ…ในเวลานี้ ศิษย์ทุกคนต่างคุกเข่าลงกับพี้นและเอ่ยขึ้นมาด้วยความเคารพ
เทพวายุมองหน้าเทียนเฮ่อเจินเหรินแวบหนึ่ง ส่ายหน้า และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า เจ้าไปสำนึกตนให้ดี เป็นที่ผิดหวังมากเหลือเกิน ในฐานะที่เป็นเจ้าสำนักคนหนึ่ง เจ้านับว่าบกพร่องในหน้าที่อย่างยิ่ง เกือบจะผลักให้สำนักตกต่ำไม่ได้ผุดได้เกิดอีก
ศิษย์รับบัญชา เทียนเฮ่อเจินเหรินรู้สึกอับอายอย่างยิ่ง ก้มกราบกับพื้น
เทพวายุอดที่จะมองดูจางเจี้ยนชวนที่ยังคงยืนเหม่อมองดูโล่หินที่อยู่ในมือทีหนึ่ง ภายในใจของเขาอดที่จะพูดจากใจไม่ได้ เขารู้ดีว่าการที่หลี่ชิเย่ให้อภัยสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขานั้นไม่ได้เป็นเพราะเห็นแก่หน้าของเขา และไม่ได้เห็นแก่บรรพชนอะไรที่ว่า แต่เป็นเพราะเห็นแก่ศิษย์คนนี้ที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก
เจ้าหมั่นฝึกปรือให้ดีก็แล้วกัน มีอะไรไม่เข้าใจให้มาถามข้าได้ทุกเมื่อ เทพวายุพูดด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนต่อจางเจี้ยนชวนว่า หนทางในอนาคตยังยาวไกลนัก ความแข็งแกร่งของสำนักต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว
หากเป็นช่วงเวลาปรกติ ศิษย์ที่เฉกเช่นจางเจี้ยนชวนในสำนักเสินสิงเหมินไม่สามารถได้รับการชี้แนะจากระดับปรมาจารย์อย่างเทพวายุได้อยู่แล้ว
จะอย่างไรเสีย จางเจี้ยนชวนมีฐานะเป็นเพียงผู้เยาว์ที่เป็นศิษย์รุ่นหลานไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีผู้อาวุโสระดับก่อนหน้าของเขาที่คิดอยากจะได้รับการชี้แนะจากเทพแท้จริงบ้างเล่า
ยิ่งไปกว่านั้น จางเจี้ยนชวนก็ไม่ใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์ และทักษะสูงสุดในกลุ่มของชนรุ่นหลัง บอกได้แต่เพียงเป็นผู้ที่โดดเด่นในกลุ่มคนรุ่นใหม่เท่านั้น
ศิษย์ลักษณะเช่นนี้ไม่อาจได้รับการชี้แนะด้วยตนเองจากระดับปรมาจารย์ผู้มีอำนาจสูงสุดอยู่แล้ว ต่อให้มีการชี้แนะก็เป็นเพียงบังเอิญที่อาจมีการชี้แนะบ้างเท่านั้น
แต่ทว่า เวลานี้กลับกลายเป็นแตกต่างเสียแล้ว จางเจี้ยนชวนได้กลายเป็นเสาหลักของสำนักเสินสิงเหมินไปแล้ว เป็นเสาค้ำให้กับสำนักเสินสิงเหมิน ในอนาคตสำนักเสินสิงเหมินสามารถรอดพ้นจากเคราะห์กรรมบางอย่างไปได้หรือไม่นั้น ล้วนฝากไว้บนตัวของเขา
ดังนั้น ไหนเลยที่เทพแท้จริงจะไม่ไปบ่มเพาะสำหรับศิษย์ที่มีพลังแฝงเช่นนี้เป็นอย่างดีได้อย่างไร?
ไม่ง่ายนักกว่าจางเจี้ยนชวนจะได้สติกลับมา รีบก้มลงกราบกับพื้น กล่าวว่า ขอบคุณท่านปรมาจารย์
ควรเป็นสำนักที่ขอบคุณเจ้า เทพวายุถึงกับพยุงจางเจี้ยนชวนให้ลุกขึ้นและพูดจากใจว่า เป็นเจ้าที่ได้ช่วยสำนักเอาไว้ จากนี้ไปจงพยายามให้ดีก็แล้วกัน
ศิษย์ทราบแล้ว จางเจี้ยนชวนรีบกล่าวตอบ
สุดท้าย เทพวายุอดที่จะมองดูธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนเหม่อลอยอยู่ด้านข้างทีหนึ่ง ภายในใจของเขาถึงกับทอดถอนใจด้วยความหดหู่ ต้องร้องไห้สะอื้นเบาๆ เป็นยิ่งนัก
ในครั้งนั้น ภายใต้ความต้องการของฮ่องเต้ไท่ชิงกำหนดให้มีการแต่งงานในครั้งนี้ขึ้นมา ในครั้งนั้นนอกเหนือจากสยบใต้อำนาจของฮ่องเต้ไท่ชิงแล้ว ในขณะเดียวกันก็มีจิตคิดจะตอบแทนบุญคุณของฮ่องเต้ไท่ชิงที่ส่งเสริม
ต่อมา ฮ่องเต้ไท่ชิงสวรรคต ราชวงศ์โต่วเซิ่นล่มสลาย ฮ่องแต้องค์ใหม่กลายเป็นฮ่องแต้สิ้นชาติ แม้ว่าเขาจะไม่ได้บังคับให้หลี่ชิเย่ต้องถอนหมั้น แต่ในใจของเขาก็หวังว่าสักวันหนึ่งหลี่ชิเย่จะสละด้วยตนเอง
แต่แล้วใครจะไปนึกเลยว่า มาวันนี้เรื่องราวจะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ เมื่อเรื่องราวผ่านเลยมาถึงตรงนี้แล้ว ธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว และการแต่งงานในครั้งนี้นับว่าถูกทำลายลงไปแล้ว
ก่อนหน้านี้ มีศิษย์ของสำนักเสินสิงเหมินจำนวนเท่าใดที่เข้าใจว่าเป็นการผูกสัมพันธ์กับผู้มีฐานะสูงส่งกว่าของหลี่ชิเย่ เวลานี้จึงได้เข้าใจแล้วว่าเป็นสำนักเสินสิงเหมินของพวกเขาที่คบผู้ที่สูงส่งกว่า อย่างไรก็ตามเวลานี้แม้พวกเขาคิดจะคบผู้ที่สูงส่งกว่าจากการแต่งงานก็ไม่มีสิทธิ์เสียแล้ว
เทพวายุในเวลานี้ต้องร้องไห้สะอื้นเป็นอย่างยิ่ง ครั้งนั้นตัวเขาเป็นผู้ที่ตกลงเรื่องการแต่งงานในครั้งนี้ ซึ่งเดิมทีมันได้ซ่อนวาสนายิ่งใหญ่อยู่ภายใน เสียดาย สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขากลับทำเสียของโดยเปล่าประโบชน์ กระทั่งเกือบนำมาซึ่งความล่มสลายให้กับตนเอง
ในขณะนี้ เทพวายุอดที่จะจ้องมองไปยังทิศทางที่หลี่ชิเย่หายตัวไป ภายในใจได้ผุดความคิดมากมายขึ้นมาในเวลานี้
ในที่สุดนาทีนี้เขาจึงได้เข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรฮ่องเต้ไท่ชิงจึงได้เลือกที่จะให้หลี่ชิเย่มาเป็นฮ่องแต้แล้ว และเขาไม่อาจไม่ยอมรับว่า ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด สายตาของฮ่องเต้ไท่ชิงยังคงร้ายกาจมากกว่าพวกเขายิ่งนัก
ฮ่องแต้องค์ใหม่ปราศจากผู้ต่อกรนะเนี่ย ถ้าหากผู้คนบนโลกทราบข่าวเรื่องนี้ล่ะก็ มันช่างป็นเรื่องราวที่สร้างความหวั่นไหวเหลือเกิน ในสายตาของผู้อื่นมองฮ่องแต้องค์ใหม่ที่เป็นเพียงสวะ ถึงกับน่ากลัวยิ่งกว่าฮ่องเต้ไท่ชิง แข็งแกร่งยิ่งกว่าฮ่องเต้ไท่ชิงเสียอีก ถ้าหากมีผู้คนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่รู้ข่าวเรื่องนี้ เกรงว่าไม่รู้มีผู้คนจำนวนเท่าไร และสำนักจำนวนเท่าไรต้องสั่นเทาแล้ว
ขณะที่ฮ่องเต้ไท่ชิงยังคงมีชีวิตอยู่ก็เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า เกรียงไกรไปทั่วหล้า ถ้าหากฮ่องแต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์อีกครั้ง ใต้หล้ายังจะมีผู้ใดต่อกรได้? ในเวลานี้ สายตาของเทพวายุถึงกับมองไปที่เมืองกัวชางเฉิง เวลานี้ กองทัพใหญ่แต่ละกองทัพ ปรมาจารย์ทั้งหลายของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ แคว้นว่านเจิ้นเหล่านนี้ต่างหลงระเริงกับการแย่งชิงอำนาจความเป็นฮ่องแต้กันสนุกสนาน
แต่ว่า พวกเขาเคยรู้ไหมว่า เรื่องที่พวกเขาเข้าใจว่าตนเองได้กำไพ่ตายเอาไว้นั้น พวกเขาทุกคน และเรื่องทุกเรื่อง มันก็แค่เป็นเบี้ยตัวหนึ่งบนกระดานหมากรุกของคนอื่นเท่านั้นเอง
หลังจากทีงแล้ว เทพวายุถึงกับเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย ในเวลานี้เขาอดที่จะรู้สึกว่าบังเอิญมีความโชคดีอยู่ไม่น้อย ดูท่าการที่สำนักเสินสิงเหมินของพวกเขาต้องประสบเหตุการณ์เช่นนี้ก็นับว่าเป็นความโชคดีบนความโชคร้าย ถ้าหากยังคงไปยุ่งกับเรื่องนี้ต่อไปอีกล่ะก็ ยากจะจินตนาการถึงผลที่จะตามมา!
……………………………