ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2473 หญิงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2473 หญิงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากที่ฉินเจี้ยนเหยาจากไปแล้ว หลิ่วชูฉิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ฝ่าบาท ท่าน ท่านทำกับฉินเจี้ยนเหยาเช่นนี้ดูจะทำเกินไปหรือไม่ล่ะ? นาง นางมาทักทายก็นับเป็นความหวังดี”
“ความหวังดี? ” หลี่ชิเย่ลูบไล้เส้นผมของนางเบาๆ ดูจะรักเอ็นดูด้วยความทะนุถนอมอยู่ และกล่าวว่า “เด็กโง่ เจ้าน่ะจิตใจดีเกินไปแล้ว กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว จะไปมีอะไรหวังดีไม่หวังดีกัน ยิ่งไม่มีความเมตตากรุณาอะไรอยู่แล้ว กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว มีเพียงมีค่าหรือไม่เท่านั้นเอง”
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ? ” หลิ่วชูฉิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง นางเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเรียบง่ายไม่ปรุงแต่งและซื่อสัตย์คนหนึ่ง
“ถ้าหากว่าวัดจิ้งเหลียนกวานต้องการสนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นมาสักคนจริงๆ ขณะที่ฮ่องเต้องค์ใหม่อย่างข้าจะขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นช่วงชิงอำนาจฮ่องเต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดว่าวัดจิ้งเหลียนกวานจะทำอย่างไร? ” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย
ฆ่าเสีย…แม้ว่าหลิ่วชูฉิงจะมีจิตใจเรียบง่ายไม่ปรุงแต่งและซื่อสัตย์ แต่ไม่ได้หมายความว่านางโง่เขลา เมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ นางเองก็เข้าใจได้ในทันที
“ต่อให้ฮ่องเต้อย่างข้าไม่ไปขัดขวางการก้าวขึ้นบัลลังก์ของฮ่องเต้องค์ใหม่ แต่ว่า อย่าลืมไปสิ ท้ายที่สุดแล้วข้าก็คือฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฮ่องเต้เพียงหนึ่งเดียวในยุคปัจจุบันของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย” หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ และกล่าวว่า “ถ้าหากคนอื่นขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าวัดจิ้งเหลียนกวานจะวางใจฮ่องเต้อย่างข้าอย่างนั้นรึ? เจ้าคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้ข้าลอยนวลอยู่ด้านนอกตามอำเภอใจรึ? ต่อให้วัดจิ้งเหลียนกวานไม่ฆ่าข้า เกรงว่าก็ต้องจับข้าไปขังเอาไว้”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้หลิ่วชูฉิงพลันนิ่งเงียบขึ้นมา เหตุผลในนี้นางเองก็เข้าใจได้ทันทีที่มีการชี้ให้เห็น พันล้านปีที่ผ่านมา วัดจิ้งเหลียนกวานกับอำนาจฮ่องเต้มีความสัมพันธ์ที่แน่นเฟ้น ศิษย์สาวของวัดจิ้งเหลียนกวานก็มีอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยที่ได้เป็นฮองเฮา
แม้ว่าพันล้านปีที่ผ่านมา น้อยครั้งนักที่วัดจิ้งเหลียนกวานจะเข้าควบคุมอำนาจฮ่องเต้โดยตรง แต่ว่า พวกเขาให้การสนับสนุนฮ่องเต้มาไม่น้อย
ฮ่องเต้ไท่ชิงสวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่สูญเสียแผ่นดิน สถานการณ์การเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวถูกทำลาย ภายใต้โอกาสอันดีงามเช่นนี้ เกรงว่าวัดจิ้งเหลียนกวานก็ต้องพืจารณาให้การสนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นมาสักองค์ เพียงแต่ตัวเลือกประเภทมั่วโลกีย์ไร้คุณธรรม โง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถอย่างเช่นหลี่ชิเย่ ไม่สามารถเข้าตาวัดจิ้งเหลียนกวานได้อยู่แล้ว
หากวัดจิ้งเหลียนกวานได้ให้การสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ขึ้นมาได้จริง ขณะที่หลี่ชิเย่ซึ่งเป็นฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวนี้ยังคงมีชีวิตอยู่ล่ะก็ เกรงว่าวัดจิ้งเหลียนกวานคงไม่สามารถวางใจได้
สุดท้ายแล้ว หลิ่วชูฉิงได้แต่ทอดถอนใจเบาๆ คำหนึ่ง นางอยู่ที่หอหลินไห่เก๋อมาโดยตลอด น้อยครั้งนักที่ท่องอยู่ข้างนอก ดังนั้น จึงไม่ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจบนโลกใบนี้
“สัญญาหมั้นหมายคือสัญญาที่เป็นกระดาษขาวตัวอักษรสีดำ ไม่ก็ถึงตายก็ไม่ลงนาม ในเมื่อลงนามแล้วก็ต้องไปปฏิบัติตาม” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “สำนักสักแห่งก็ดี ผู้บำเพ็ญตนสักคนก็ช่าง พูดแล้วต้องทำให้ได้ ในขณะนี้สัญญาหมั้นหมายในสายตาของวัดจิ้งเหลียนกวานมันก็แค่เศษกระดาษเท่านั้นเอง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมข้าจะต้องทำดีให้กับวัดจิ้งเหลียนกวานเล่า? ” หลี่ชิเย่ยิ้มบางๆ และหลี่ชิเย่ “เหมือนดั่งที่ข้าพูดเอาไว้ มอบตำแหน่งสาวใช้กับนางก็นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณแล้วล่ะ”
“แต่ แต่ว่า นางคือเทพธิดาฉินนะ จะ จะมาเป็นสาวใช้ของข้าได้อย่างไร” ทำเอาหลิ่วชูฉิงตื่นตระหนกยิ่งนักและไม่มีความมั่นใจ เมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้ล้อเล่น
“ศิษย์สาวคนหนึ่งของสำนักแห่งหนึ่งเท่านั้น เทพไม่เทพธิดาอะไรกัน” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าและกล่าวว่า “แค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดากลุ่มหนึ่งยกย่องให้เกียรติเท่านั้นเอง เทพธิดาไหนเลยราคาถูกขนาดนี้ แค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ถึงขั้นเทพธิดาอะไร”
“อีกอย่าง ต่อให้เป็นเทพธิดาจริงๆ เมื่อข้าหลี่ชิเย่เอ่ยปากก็ต้องเป็นสาวใช้ให้กับเจ้าแต่โดยดี” หลี่ชิเย่ที่มีท่าทีเอ้อระเหยหัวเราะและกล่าวว่า “บนโลกใบนี้เทพธิดามีค่าเท่าไร มีเพียงข้าให้ความสนใจจึงประเมินค่าไม่ได้โดยแท้จริง”
หลิ่วชูฉิงถึงกับจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทางเหม่อลอยเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ นาทีนี้ภายในใจของนางไม่รู้ว่าหวานซึ้งเพียงใด ความหวานซึ้งในลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่าหวานเข้าไปในกระดูก รู้สึกไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว เหมือนหัวใจทั้งดวงถูกแช่อยู่ในน้ำผึ้ง ท่าทางเหมือนเบาหวิวลอยอยู่บนเมฆอย่างนั้น ช่างมีความสุขและโชคดีเหลือเกิน
ในเวลานี้เอง นางรู้สึกว่าการได้รับความโปรดปรานจากผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ช่างเป็นเรื่องที่หวานหยดย้อย เป็นเรื่องที่ช่างมีความสุข ช่างโชคดีอะไรอย่างนั้น
นาทีนี้ ในสายตาของนางผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน ช่างทำให้นางมีจิตที่หลงไหลมัวเมา อยากจะโผเข้าไปในอ้อมอกของเขาให้เขาได้รักอย่างสุดซึ้ง…
ด้านนอกเขาหงฮวงซานไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่กลั้นลมหายใจเอาไว้และมองดูตำหนักศิลา ทุกคนต่างต้องการรู้ว่าเทพธิดาฉินและฮ่องเต้องค์ใหม่ได้คุยอะไรกันบ้าง
จะอย่างไรเสียสถานการณ์ในปัจจุบันของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่มีความอ่อนไหวยิ่ง โดยเฉพาะเฉกเช่นวัดจิ้งเหลียนกวานที่มีกำลังพอที่จะสนับสนุนฮ่องเต้ขึ้นมาสักคน ทุกๆ ความเคลื่อนไหวของพวกเขาจึงได้รับการจับตามองของผู้คนทั่วหล้า
ขณะที่ฉินเจี้ยนเหยามาพบกับฮ่องเต้องค์ใหม่นั้น ยิ่งทำให้ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยเต้นกระตุกทีหนึ่ง หรือว่าวัดจิ้งเหลียนกวานคิดจะสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์อีกครั้ง หรือว่าฉินเจี้ยนเหยาต้องการแต่งงานกับฮ่องเต้องค์ใหม่จริงๆ
สำหรับประการหลังนั้น เป็นเรื่องที่ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไม่รู้จำนวนเท่าไรไม่ต้องการจะเห็น โดยเฉพาะระดับอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความเพ้อฝัน ยิ่งไม่ต้องการให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
เอี๊ยดดด…ประตูศิลาเปิดออก ทุกคนต่างมองไปที่ตรงนั้น เวลานี้มองเห็นฉินเจี้ยนเหยาก้าวออกมาจากตำหนักศิลา พลันสายตาทั้งหมดล้วนแล้วแต่รวมอยู่บนตัวของฉินเจี้ยนเหยา
“ออกมาแล้ว” ผู้คนจำนวนไม่น้อยพูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมาเมื่อเห็นฉินเจี้ยนเหยาก้าวเดินออกมาจากตำหนักศิลา เวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกเป็นกังวลไม่เป็นสุขขึ้นมา
จะอย่างไรเสียการติดสินใจของฉินเจี้ยนเหยาอาจมีความเป็นไปได้ที่จะไปทำลายภาพเพ้อฝันของผู้คนจำนวนไม่น้อยจนแหลกละเอียด และอาจส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมด
คู่สายตานับไม่ถ้วนที่ตกอยู่บนตัวของฉินเจี้ยนเหยา ผู้คนจำนวนไม่น้อยจ้องมองใบหน้าที่งดงามของฉินเจี้ยนเหยา หวังจะมองอะไรออกจากท่าทีของนาง
แม้จะกล่าวว่าภายในใจของฉินเจี้ยนเหยาไม่สบายใจอย่างยิ่ง แต่นางเป็นผู้ที่ไม่แสดงออกทางสีหน้า ทุกคนจึงยากที่จะมองเห็นความนัยจากสีหน้าท่าทางของนางได้
เพียงแต่ฉินเจี้ยนเหยาไปจากเขาหงฮวงซานอย่างรวดเร็ว ท่วงท่าดังเมฆาที่ลอยล่องและสายน้ำ โดยไม่ได้หยุดพักและไม่ได้เหลียวหลังกลับไปมอง สิ่งนี้ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าฉินเจี้ยนเหยาไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว
ผู้ที่มากด้วยประสบการณ์พลันมองเห็นความนัยได้ทันที เมื่อเห็นฉินเจี้ยนเหยาไปจากเขาหงฮวงซานดั่งเมฆาที่ลอยล่องและสายน้ำ
“ฮ่องเต้องค์ใหม่ถูกทอดทิ้งไปแล้ว” ผู้บำเพ็ญตนที่ค่อนข้างอาวุโสมองออกถึง ความนัยและเอ่ยขึ้นช้าๆ เมื่อเห็นฉินเจี้ยนเหยาไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย
ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากถึงกับหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเห็นฉินเจี้ยนเหยาไปจากเขาหงฮวงซานทันทีโดยไม่หยุดพักแม้แต่น้อย โดยเฉพาะกับอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีความเพ้อฝันยิ่งหายใจยาวๆ ออกมา จิตใจที่เป็นกังวลกลับมาคงที่ได้อย่างสิ้นเชิง
“ฮึ คางคกก็คิดจะกินเนื้อห่านฟ้า” มีอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เชิดใส่และกล่าวว่า “ฮ่องเต้องค์ใหม่นับเป็นตัวอะไร เป็นเพียงสวะที่ไม่เป็นโล้เป็นพายเท่านั้นเอง เป็นเพียงเจ้าโง่ที่เจ้าชู้เท่านั้นเอง ขยะเช่นเขาไม่รู้จักตักน้ำมองดูเงาตนเองว่าคู่ควรกับเทพธิดาฉินรึ ฮึ มีสัญญาหมั้นหมายแล้วอย่างไร เวลานี้ก็เป็นเพียงกระดาษเปล่าเท่านั้น”
“ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว หาใช่แผ่นดินของราชวงศ์โต่วเซิ่นอีกแล้ว” ผู้บำเพ็ญตนที่ค่อนข้างอาวุโสไม่อาจไม่ยอมรับว่า “ฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่กุมอำนาจใต้หล้าแต่เพียงผู้เดียวอีกแล้ว คิดจะอาศัยกระดาษหมั้นหมายแต่งงานมาผูกมัดแม่นางฉินเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว มาถึงวันนี้ เรียกว่าเป็นการคบผู้มีฐานะสูงกว่าอย่างวัดจิ้งเหลียนกวานเสียแล้ว แม่นางฉินยอมมองเขาอีกสักแวบหนึ่งก็นับว่าให้ความชื่นชมมากแล้ว”
ยอดฝีมือบางส่วนที่มีอาวุโสไม่ค่อยจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับความรักชายหญิงเช่นนี้ เมื่อเห็นฉินเจี้ยนเหยาไม่มีการหยุดพักแม้แต่น้อยพลันเข้าใจและเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ฮ่องเต้องค์ใหม่คิดจะขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เกรงว่าเขาจะถูกปลดอย่างสิ้นเชิงแล้ว แม้แต่วัดจิ้งเหลียนกวานก็ไม่ให้การสนับสนุนเขาที่เป็นฮ่องเต้เพียงคนเดียวที่ถูกต้องการกฎหมาย เป็นการบ่งบอกชัดเจนว่าเขาไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้อีกแล้ว”
ในเวลานี้ ยอดฝีมือของสำนักเจ้าลัทธิและตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อยต่างก็ตระหนักถึงจุดนี้ แม้แต่วัดจิ้งเหลียนกวานก็ทอดทิ้งฮ่องเต้องค์ใหม่แล้ว ย่อมบ่งบอกว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่มีค่าใดๆ บนตัวอีกแล้ว
หลังจากที่ฉินเจี้ยนเหยาไปจากเขาหงฮวงซานแล้วก็ตรงเข้าไปที่หนึ่งในเก้าทะเลสาบ เข้าพักบนเกาะเซียงหลีที่อยู่ในทะเลสาบ
การเข้าพักบนเกาะเซียงหลีของฉินเจี้ยนเหยา ทำให้ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าฉินเจี้ยนเหยาก็มาด้วยเรื่องเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้าเช่นกัน
แม้จะกล่าวว่า ฉินเจี้ยนเหยามาด้วยเรื่องของการเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบนั้น ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากรับรู้ได้ถึงความกดดันไม่น้อย แต่ว่ามีผู้คนจำนวนมากกว่าที่ยินดีได้เห็นฉินเจี้ยนเหยารั้งอยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซาน จะอย่างไรเสียไม่แน่นักอาจมีโอกาสได้ใกล้ชิดฉินเจี้ยนเหยา
หลังจากที่ฉินเจี้ยนเหยาเข้าพักบนเกาะเซียงหลีแล้ว จึงมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนบางส่วนไปเยี่ยมคารวะนาง ในจำนวนนั้นมีทั้งอัจฉริยะบุคคลกลุ่มคนรุ่นใหม่ และยอดฝีมือของสำนักเจ้าลัทธิ
แน่นอนที่สุด ผู้ที่มาเยี่ยมคารวะฉินเจี้ยนเหยาไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นผู้ที่ต้องการใกล้ชิดกับฉินเจี้ยนเหยาทั้งหมด มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่ต้องการเชื่อมสัมพันธ์กับฉินเจี้ยนเหยา จะอย่างไรเสียความแข็งแกร่งของวัดจิ้งเหลียนกวานไม่รู้ว่าได้ทำให้ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องการประจบ ถ้าหากสามารถปีนขึ้นไปยังต้นไม้ใหญ่อย่างวัดจิ้งเหลียนกวานต้นนี้ได้ กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้วเป็นเรื่องได้รับประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว
แต่ว่า สำหรับแขกที่มากันอย่างไม่ขาดสายนั้น ฉินเจี้ยนเหยาปิดประตูไม่รับแขก อ้างฝึกปรือไม่พบแขก
แม้แต่หม่าจินหมิงที่เดินทางไปขอพบด้วยตนเอง ฉินเจี้ยนเหยาก็ไม่ให้พบ สมควรทราบว่าในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่นั้น ฐานะของหม่าจินหมิงเรียกได้ว่าอยู่ในตำแหน่งสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม
ครั้นทุกคนมองเห็นแม้กระทั่งหม่าจินหมิงก็ไม่ได้รับการให้เข้าพบจากฉินเจี้ยนเหยาจึงเข้าใจได้ว่า คิดจะได้รับการนิยมชมชื่นจากฉินเจี้ยนเหยายังต้องเป็นผู้ที่มีน้ำหนักพอ ยอดฝีมือทั่วไป หรืออัจฉริยะบุคคลทั่วไปยังคงยากจะเข้าตาของฉินเจี้ยนเหยา
แต่ทว่า เมื่อมีชายหนุ่มผู้หนึ่งมาขอพบ ยากนักที่ฉินเจี้ยนเหยายอมปรากฏตัวให้พบได้
“ศิษย์หยางฟู่ฝาน ได้รับการไหว้วานจากท่านอาจารย์มาเยี่ยมคารวะเทพธิดา” ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ได้รูปงามนัก แต่ว่าให้ความรู้สึกผู้คนถึงความยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม เหมือนว่าตัวเขาคือภูเขาที่สูงตระหง่านลูกหนึ่ง
หยางฟู่ฝาน…ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับหวั่นไหวเมื่อได้ยินชื่อของคนผู้นี้ เวลานี้สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนต่างรวบรวมอยู่บนตัวของชายหนุ่มผู้นี้
“ศิษย์ที่ได้รับการถ่ายทอดมากับมือจากราชันแท้จริงปาเจิ้น” ทุกคนต่างจดจำประวัติความเป็นมาของเขาได้ทันทีเมื่อได้เห็นชายหนุ่มผู้นี้
“อัจฉริยะบุคคลรุ่นเยาว์ที่ยอดเยี่ยม กระทั่งมีผู้กล่าวว่าเขาคืออัจฉริยะบุคคลอันดับหนึ่งของรุ่นเยาว์” แม้แต่อัจฉริยะบุคคลรุ่นเยาว์บางคนก็ต้องชมเปาะด้วยความตระหนก
มีผู้ยกย่องให้ราชันแท้จริงปาเจิ้น กับฉินเจี้ยนเหยาโดยจัดอยู่ในกลุ่มของวัยหนุ่มสาว ขณะที่เฉกเช่นหยางฟู่ฝานรุ่นนี้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของรุ่นเยาว์
ขณะที่หยางฟู่ฝานก็คือบุคคลระดับผู้นำทัพที่เป็นรุ่นเยาว์ มีชื่อเสียงโด่งดัง
…………..