ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2497 เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
- Home
- ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล
- ตอนที่ 2497 เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
ตอนที่ 2497 เหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง
ขณะที่ปิงฉือหานยวี่พูดคำพูดที่เสียงดังฟังชัดเปี่ยมด้วยพลัง บรรดาผู้คนทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์อดที่จะกลั้นลมหายใจเอาไว้
ในฐานะคู่หมั้นของราชันแท้จริงปาเจิ้น ขณะที่นางพูดคำพูดเช่นนี้ออกมา ก็เท่ากับเป็นตัวแทนของราชันแท้จริงปาเจิ้นที่หมายมั่นปั้นมือจะครองบัลลังก์ให้จงได้
ภายในใจของทุกๆ คนต่างก็รู้ว่า เป็นความจริงที่ราชันแท้จริงปาเจิ้นมีสิทธิ์เข้าชิงตำแหน่งฮ่องเต้ เพียงแต่จะประกาศออกมาหรือไม่ก็เป็นคนละเรื่องกัน
ทังเฮ่อเสียงเพียงส่งเสียงฮึเบาๆ ขึ้นมาสำหรับคำพูดเช่นนี้ของปิงฉือหานยวี่ และไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามากมายนัก ในฐานะที่เขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งอีกผู้หนึ่งในการเข้าชิงตำแหน่งฮ่องเต้ เขาย่อมจะไม่พอใจสำหรับคำพูดเช่นนี้ของปิงฉือหานยวี่
นับว่ามีเหตุผลจริงๆ อยู่บ้าง หลี่ชิเย่อดที่จะหัวเราะขึ้นมา มองดูปิงฉือหานยวี่ทีหนึ่ง และยิ้มกล่าวว่า ดูท่าเจ้ามีความมั่นใจในคู่หมั้นจริงๆ นะเนี่ย เพียงแต่ คาดหวังยิ่งมาก ผิดหวังก็จะยิ่งมาก
อาศัยเพียงเจ้ารึ? ปิงฉือหานยวี่มองหลี่ชิเย่ด้วยความเย้ยหยัน กล่าวอย่างทระนงว่า เทียนจือสมควรผู้อื่นให้ความเชื่อถือ สนับสนุนเขา ข้าเชื่อว่าเขาจะไม่ทำให้ผู้อื่นต้องผิดหวัง
แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่คู่ควรให้คนอื่นให้ความเชื่อถือ ไม่คู่ควรให้ผู้อื่นสนับสนุนล่ะ? เพียงแค่เพราะว่าทุกคนบอกว่าข้าเป็นฮ่องเต้ที่โง่เขลาเบาปัญญาไร้ความสามารถ ดังนั้น พวกเจ้าก็อาศัยองค์หญิงตัวปลอมมาทำตามสัญญาหมั้นหมายครั้งนี้หรอกรึ? หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มออกมา
ลูกพี่ลูกน้องหยิ่งเจี้ยนคู่กับเจ้า เพียงพอแล้ว ปิงฉือหานยวี่กล่าวอย่างทะนงตนขึ้นมา
พูดอย่างนี้แสดงว่าข้าไม่คู่ควรกับเจ้าแล้วสิ หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า เมื่อเป็นอย่างนี้ก็น่าสนใจแล้วสิ ตามความหมายของเจ้าคือต้องราชันแท้จริงปาเจิ้นคนนั้นจึงคู่ควรกับเจ้า
ถูกต้อง ปิงฉือหานยวี่ตัดสินใจเด็ดขาด กล่าวเสียงเย็นชาว่า คนเราควรจะรู้ตัวเอง! เจ้าควรรู้ว่ามันยากและละทิ้งเสีย
ในเมื่อทุกสิ่งล้วนแล้วแต่แน่นอนแล้ว ปิงฉือหานยวี่ก็ไม่แก้ต่างอะไรให้กับตนเอง คำตอบที่ตอบจึงง่ายๆ และตรงประเด็น
ข้ากลับมีความคิดหนึ่งขึ้นมากะทันหัน หลี่ชิเย่เอามือลูบคาง และกล่าวด้วยท่าทีสบายอกสบายใจว่า ในเมื่อเจ้าคิดว่ายอดเยี่ยมเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะสังหารราชันแท้จริงปาเจิ้นเสีย แล้วให้เจ้ามาเป็นวัวเป็นควาย เจ้าคิดว่าอย่างไร? ข้ากลับรู้สึกขึ้นมากะทันหันว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความหมายยิ่ง
เจ้าน่ะหรือ? ปิงฉือหานยวี่เข้าไปดูหลี่ชิเย่ใกล้ๆ กล่าวเสียงเย็นชาว่า ข้าปิงฉือหานยวี่ไม่อวดดียกตนข่มท่าน แต่ก็ไม่ดูถูกตัวเอง คู่ครองของข้าก็คือราชันแท้จริง ต้องการให้ข้าสยบจะต้องเป็นมังกรแท้จริงบนฟ้า… เวลานี้คำพูดของปิงฉือหานยวี่เรียกได้ว่ายกตนข่มท่าน เย็นชาอวดดี แต่ทว่า นางเองก็มีสิทธิ์เย็นชาอวดดีได้อย่างแท้จริง เดิมทีนางก็คือกิ่งทองใบหยกในฐานะที่เป็นองค์หญิงของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉืออยู่แล้ว เลือดที่ไหลรินอยู่ในกายของนางคือสายเลือดที่สูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้น ตัวของนางเองมีพรสวรรค์ที่สูงมากอยู่แล้ว เป็นความจริงนางที่เป็นหญิงงามแต่กำเนิดก็นับว่าหาใช่ผู้ชายทั่วไปสามารถคู่ควรกับนางได้
มาถึงวันนี้ การหมั้นหมายระหว่างปิงฉือหานยวี่กับราชันแท้จริงปาเจิ้นได้กำหนดเอาไว้แล้ว ดังนั้น นาทีนี้ปิงฉือหานยวี่จึงไม่ลังเลที่ยืนอยู่ข้างฝ่ายของราชันแท้จริงปาเจิ้น สร้างกระแสให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้น
ข้ารู้ว่าเจ้าหยิ่งทะนงตน หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่งกล่าวตัดบทปิงฉือหานยวี่ และกล่าวว่า แต่ทว่า ขอเพียงข้าลงมือ ไม่มีผู้หญิงที่ข้าสยบไม่ได้
ฝันเฟื่องของคนปัญญาอ่อน… ปิงฉือหานยวี่ยิ้มเย็นชา และกล่าวท่าทีเย็นชาว่า เจ้าสามารถดีเด่นมากไปกว่าราชันแท้จริงรึ? สามารถโดดเด่นยิ่งกว่าอัจฉริยบุคคลที่ยอดเยี่ยมรึ…หาไม่แล้ว เอาอะไรให้ข้าสยบ!
ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ยุคปัจจุบันนี้ ผู้ชายที่สามารถทำให้นางยินยอมแต่งด้วย ผู้ชายที่ทำให้นางยินดีไปปรนนิบัติด้วยก็มีเพียงราชันแท้จริงปาเจิ้นเท่านั้น ผู้ชายเฉกเช่นฮ่องเต้องค์ใหม่คิดจะให้นางสยบ มันคือการฝันเฟื่องของคนปัญญาอ่อนชัดๆ
ไม่ต้องพูดมากแล้ว วันนี้ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน หลี่ชิเย่โบกมือทีหนึ่งและกล่าวว่า รอให้เรื่องราวที่นี่เสร็จสิ้นแล้วให้ข้าสั่งสอนเจ้าอย่างดี วางใจเถอะ ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักว่าเป็นผู้หญิงต้องทำอย่างไร จะอย่างไรเสียเฉกเช่นเจ้าที่เป็นผู้หญิงงดงามที่สวยหยาดเยิ้มเช่นนี้ การจะสอนให้ดีคงเหนื่อยน่าดู
เจ้า… เมื่อถูกหลี่ชิเย่ใช้คำพูดที่หยาบเช่นนี้ พลันทำให้ปิงฉือหานยวี่เพลิงแห่งความโกรธทะลักออกมา ใบหน้าแดงก่ำ จะอย่างไรเสียงนางก็เป็นสาวเป็นแส้คนหนึ่ง พลันที่ฟังคำเช่นนี้ก็รู้ว่ามันหยาบคาย
ฮึ…พลันที่หลี่ชิเย่ใช้คำพูดที่หยาบคายพูดออกมา ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองที่อยู่ข้างกายปิงฉือหานยวี่ส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา หนึ่งในสองได้ก้าวออกมาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร กล่าวน่าเกรงขามว่า ทางที่ดีเจ้าพูดให้มันดีหน่อย!
ทำไมรึ? คิดจะต่อยตีกันรึ? หลี่ชิเย่อดที่จะหัวเราะเสียงดังขึ้นมา และกล่าวว่า พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อต่อยตี ในเมื่อพวกเจ้ารนมาหาถึงที่เอง เช่นนั้นแล้วข้าก็จะจับพวกเจ้าทั้งสองมา
ผู้เฒ่าทั้งสองพลันโกรธจัดเมื่อหลี่ชิเย่ดูถูกพวกเขาขนาดนี้ พวกเขามีความแข็งแกร่งมากกว่าหยางฟู่ฝาน หม่าจินหมิง ดวงตาทั้งสองจึงเผยปณิธานการฆ่าออกมาทันที
ผู้เฒ่าทั้งสองไม่ต้องโมโห จังหวะที่ผู้เฒ่าทั้งสองมีความคิดจะลงมือ ปิงฉือหานยวี่ได้ขวางพวกเขาเอาไว้ จ้องมองหลี่ชิเย่และกล่าวเสียงเย็นชาว่า เทียนจือกำลังจะมาถึงอยู่แล้ว ให้เขาเป็นผู้ลงมือจะดีกว่า
ผู้เฒ่าทั้งสองส่งเสียงฮึเย็นชา ถอยกลับไปอยู่ข้างกายปิงฉือหานยวี่ช้าๆ
เอาล่ะ วันนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่อยู่ที่นี่แล้ว หลี่ชิเย่มองไปยังพวกเขาที่อยู่รอบๆ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า ที่สมควรคิดบัญชีก็จะได้คิดเสีย ใครจะก้าวออกมาก่อนล่ะ? ถ้าหากเวลานี้ไม่ยังไม่ยอมก้าวออกมา เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วคิดอยากจะเป็นฮ่องเต้ มิสู้หดหัวอยู่ในกระดองของตนเถอะ อย่าได้มีความคิดที่ฝันเฟื่องอีกเลย
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้ สายตาได้ตกไปอยู่บนตัวของทังเฮ่อเสียง ท่าทางดูตามอารมณ์ยิ่ง แต่ความหมายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง
ในเวลานี้ สายตาของทุกคนก็ตกไปอยู่บนตัวของทังเฮ่อเสียง ทุกคนต่างรู้ดีว่า ทังเฮ่อเสียงมีความทะเยอทะยานในตำแหน่งฮ่องเต้ตลอดมา ฮ่องเต้องค์ใหม่ในฐานะฮ่องเต้ที่ถูกต้องตามกฎเพียงหนึ่งเดียว เวลานี้คำพูดของเขาพูดชัดเจน ต้องดูว่าทังเฮ่อเสียงจะมีความกล้าพอที่จะไปท้าสู้กับฮ่องเต้องค์ใหม่เวลานี้หรือไม่แล้ว
ดวงตาทั้งสองของทังเฮ่อเสียงดูเยือกเย็น แต่ว่า นาทีนี้เขาไม่รีบเร่งที่จะลงมือ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า ที่สมควรมา จะอย่างไรก็ต้องมา ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้
แม้ว่าข้าไม่คิดจะเป็นฮ่องเต้ที่น่าปวดหัว แต่ทว่า เห็นท่านมีความมั่นใจถึงเพียงนี้ ข้ากลับต้องการศึกษาแลกเปลี่ยนกับท่านสักหลายกระบวนท่า ขณะที่ทังเฮ่อเสียงไม่ตอบรับที่จะต่อสู้ ดาบอริยะกวานไห่ที่อยู่ข้างๆ อดหัวเราะเสียงดังออกมาไม่ได้
ศิษย์พี่… หลิ่วชูฉิงแสดงความไม่พอใจ กระทืบเท้าทีหนึ่ง และกล่าวท่าทีโมโหขึ้นมา เมื่อเห็นดาบอริยะกวานไห่ก้าวออกมาท้าสู้กับหลี่ชิเย่
ดาบอริยะกวานไห่หัวเราะและกล่าวต่อหลิ่วชูฉิงว่า นังหนู วางใจเถอะ ข้าไม่เอาชีวิตเขาหรอกนะ แค่สั่งสอนเขาสักหน่อยก็พอแล้ว
แม้ว่าคำพูดนี้ของเจ้าจะอวดดีไปนิด หลี่ชิเย่มองดูดาบอริยะกวานไห่ทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า แต่ทว่า เห็นแก่หลิ่วชูฉิงแล้ว ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า
วาจาสามหาวยิ่งนัก! ดวงตาทั้งสองของดาบอริยะกวานไห่อดเพ่งตรงไปข้างหน้าไม่ได้ ปณิธานดาบยโส กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า ข้าไม่ได้เจอะเจอผู้ที่ถือดีเช่นนี้มานานแล้ว
คำพูดของดาบอริยะกวานไห่ก็ใช่ว่าจะเป็นการอวดดี จะอย่างไรเสียเขาท่องเที่ยวไปทั่วหล้า มีชื่อเสียงโด่งดัง สามารถคบหาเสมอด้วยฐานะกับพวกของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ย่อมเพียงพอที่จะมองเห็นกำลังความสามารถของเขาได้แล้ว
ดาบอริยะกวานไห่ใจร้อนไปแล้ว เวลานี้ฉินเจี้ยนเหยายิ้มหวาน ยามที่นางยิ้มนั้นสวยหยาดเยิ้ม ดูมีความงดงามสงบเงียบ ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เหนือธรรมดาและไม่ติดนิสัยหยาบคาย สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนด้วยความงดงามยิ่งนัก พลันทำให้บรรยากาศคลี่คลาย
ฝ่าบาท วันนี้พวกเรามาอยู่กันที่ตรงนี้ ไม่ได้ต้องการอำนาจทางโลก และไม่หวังจะเข่นฆ่านองเลือด ที่พวกเรามารวมตัวกันที่นี่ก็เพื่อบรรลุธรรม ฉินเจี้ยนเหยากล่าวขึ้นช้าๆ ว่า หวนคืนสู่ดั้งเดิม นี่แหละคือสิ่งที่พวกเรามุ่งหวังในวันนี้
แม้ว่าเจ้าจะดูธรรมดาจนเหลืออด…แต่ต้องยอมรับว่าเจ้ามีฝีมืออยู่บ้างโดยแท้ การพูดการจาเช่นนี้นับว่าสมฐานะของเจ้า หลี่ชิเย่ยิ้มพลางและกล่าวว่า เจ้ามาเพื่อกลับคืนสู่ดั้งเดิมในวันนี้ อะไรคือสิ่งที่ต้องการจะบรรลุ
ฉินเจี้ยนเหยาเองไม่แสดงความโกรธออกมา แม้จะถูกเปรียบจนไม่เหลือราคา มาคราวนี้นางได้วางท่าทีเอาไว้ต่ำมาก ทำการย่อตัวโดยมือวางประสานที่เอวแสดงความเคารพ และกล่าวว่า แม้เจี้ยนเหยาจะได้ฝึกปรือ ‘เคล็ดวิชาเจียมี่ เลียดมี่’ สองเคล็ดวิชาจิ่วมี่มา แต่ทั้งสองเคล็ดวิชาจะอย่างไรเสียก็หาใช่ต้นตำรับ แต่เป็นบรรพบุรุษของพวกเราบรรลุมาจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิ ดังนั้น มาวันนี้เจี้ยนเหยาหวังจะระลึกฟ้าดิน คาดหวังสามารถได้ความลึกซึ้งยอดเยี่ยมของสัจธรรมที่เข้ากันได้ เพื่อได้มาซึ่งความแท้จริง
แบบนี้ดูจะยึดเอาความจริงมาเป็นหลักการอยู่บ้าง หลี่ชิเย่พิจารณาดูฉินเจี้ยนเหยาทีหนึ่ง ยิ้มกล่าวราบเรียบว่า อย่างน้อยที่สุดไม่ถึงกับทะเยอทะยานจนเกินตัว พอไปได้
แล้วฝ่าบาทมาด้วยเรื่องอันใด? ฉินเจี้ยนเหยาใบหน้าแฝงรอยยิ้ม งดงามปราศจากผู้เทียบเทียม ไม่รู้ว่าได้ทำให้บุรุษกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนเท่าไรรู้สึกรักใคร่ในตัวนาง และทำให้บุรุษจำนวนเท่าไรต้องอิจฉาริษยา
สมควรทราบว่า แม้ฉินเจี้ยนเหยาจะดูเกรงใจกับผู้อื่น แต่ว่า ไม่ว่ากับใครก็ตามจะมีความเหินห่างอยู่อย่างหนึ่ง ทำให้ผู้คนยากที่จะเข้าถึง ยากที่จะคบหา การที่นางสามารถให้การรับรองด้วยรอยยิ้มเช่นนี้ นับว่าพบเห็นได้ยากยิ่ง
แต่ทว่า หลี่ชิเย่ไม่เห็นความงามของนางอยู่ในสายตาอยู่แล้ว มองดูนางเหมือนเช่นขี้หมูราขึ้หมาแห้ง เพียงยิ้มนิดหนึ่ง และกล่าวว่า เคล็ดวิชาจิ่วมี่ที่ว่านั้นกล่าวสำหรับข้าแล้ว สามารถคว้าเอามาได้แค่เอื้อมมือออกไป ไหนเลยต้องไปบรรลุ ที่ข้ามาที่นี้เพียงต้องการหยิบฉวยสิ่งหนึ่งเท่านั้นเอง
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่จนตาค้างเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ คำพูดนี้ออกจะยโส อวดดีมากเกินไปแล้วกระมัง เคล็ดวิชาจิ่วมี่คือเคล็ดวิชาสูงสุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ผู้คนจำนวนเท่าไรที่อยากได้แต่ไม่ได้มันมาครอบครอง นับตั้งแต่อดีตกาลเป็นต้นมา ผู้คนจำนวนเท่าไรที่ไม่สามารถบรรลุมันได้ ผู้ที่สามารถฝึกปรือได้นั้นมีไม่กี่คนเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มาวันนี้หลี่ชิเย่กลับบอกว่าแค่เอื้อมมือก็คว้าเอามาได้แล้ว คำพูดลักษณะเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ต้องบอกว่าอวดดีมากเกินไปแล้ว
ฮึ…ทังเฮ่อเสียงอดที่จะส่งเสียงฮึเย็นชาขึ้นมา กล่าวท่าทีเย็นชาว่า นับแต่อดีตกาลที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถฝึกปรือเคล็ดวิชาจิ่วมี่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มีใครบ้างที่สามารถยื่นมือก็คว้าเอามาได้ ต่อให้ต้องการคุยโวโอ้อวดก็ควรจะมีขีดจำกัด กล่าวพลางเผยท่าทีที่เหยียดหยามออกมา
คำพูดของทังเฮ่อเสียงใช่จะปราศจากความชัดเจน จะอย่างไรเสียนับตั้งแต่อดีตกาลเป็นต้นมา ผู้ที่ได้ฝึกเคล็ดวิชาจิ่วมี่อย่างแท้จริงมีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ตัวเขาเองก็คือผู้ที่เคยฝึก ‘เคล็ดวิชาเจ่อมี่’ มาก่อน มีเพียงผู้ที่ได้ฝึกปรือเคล็ดวิชาจิ่วมี่มาก่อนจึงจะรู้ว่าเคล็ดวิชาจิ่วมี่นั้นมีความลึกซึ้งยอดเยี่ยมเช่นใด มีความยากในการที่จะบรรลุอย่างไร
นั่นเป็นเพราะเจ้ามันโง่เขลา สำหรับท่าทีที่เหยียดหยามของทังเฮ่อเสียงนั้น หลี่ชิเย่เพียงตอบไปคำหนึ่งตามอารมณ์
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้ใบหน้าของทังเฮ่อเสียงแดงก่ำ จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ ปณิธานการฆ่าในแววตายิ่งรุนแรงมากขึ้น วันนี้เขาจะต้องสังหารฮ่องเต้องค์ใหม่ตรงหน้าให้ได้
ฮึ ต่อให้คนที่มีสติปัญญามากกว่านี้ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุเคล็ดวิชาจิ่วมี่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ปิงฉือหานยวี่กล่าวท่าทีเย็นชาว่า สามารถฝึกได้หนึ่งเคล็ดวิชาก็นับว่ามีสติปัญญาที่ผาดโผนแล้ว ยิ่งผู้ที่ฝึกสองเคล็ดวิชาได้แล้วเรียกว่าปราดเปรื่องน่าทึ่งปราศจากผู้ต่อกร…
สติปัญญาที่ผาดโผนอะไร โง่เท่านั้นเอง หลี่ชิเย่กล่าวตัดบทคำพูดของปิงฉือหานยวี่ และกล่าวว่า แค่หนึ่งเคล็ดวิชาเท่านั้น พูดเสียจนยอดเยี่ยมอะไรอย่างนั้น เจ้าต้องการพูดยกย่องตัวเอง หรือยกย่องราชันแท้จริงปาเจิ้น?
พรสวรรค์ของเทียนจือยากจะพบเห็นในยุคปัจจุบัน ไหนเลยที่ข้าต้องไปยกยอ ปิงฉือหานยวี่กล่าวท่าทีเย็นชาว่า ตัวเขาได้บรรลุ ‘เคล็ดวิชาเจิ้นมี่’ ขั้นสมบูรณ์แล้ว ได้รับโชคจากฟ้าจึงทำให้เขาบรรลุค่ายกลโบราณจูเซียน เขาไม่จำเป็นต้องคุยโวโอ้อวด และไม่อวดดีหลงตัวเองอย่างเจ้า สองเคล็ดวิชาของราชวงศ์โต่วเซิ่นก็ยังไม่ทันได้ฝึกปรือ กลับมาคุยโวว่าเคล็ดวิชาจิ่วมี่แค่เอื้อมมือก็คว้าเอามาได้ตามใจ
…………………………………………………….