ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2524 ทะเลกระบี่
ตอนที่ 2524 ทะเลกระบี่
ในเวลานี้ ได้ทำให้ทุกคนล้วนแล้วแต่อดที่จะรู้สึกใจหายใจคว่ำไม่ได้ ขณะมองดูแสงที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในแคว้นว่านเจิ้น เสมือนดั่งมีการเปิดขุมทรัพย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกประทับใจบนใบหน้า
ในเวลานี้ ได้ทำให้ทุกคนล้วนแล้วแต่อดที่จะรู้สึกใจหายใจคว่ำไม่ได้ ขณะมองดูแสงที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในแคว้นว่านเจิ้น เสมือนดั่งมีการเปิดขุมทรัพย์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดขึ้นมา ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกประทับใจบนใบหน้า
แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์เสียงหนึ่งที่ดังขึ้นเป็นระลอก ในพริบตาเดียวนี้เอง สิ่งที่ละเอียดอ่อนได้ปรากฏแก่สายตาโดยไม่มีการปิดบังซ่อนเร้น ทั่วทั้งแคว้นว่านเจิ้นปรากฏวงแหวนศักดิ์สิทธิ์แต่ละเส้นขึ้นมา วงแหวนศักดิ์สิทธิ์ทุกเส้นได้ก้าวข้ามอาณาเขตของแต่ละแคว้นโดยไม่มีสิ้นสุด เสมือนดั่งเป็นการทอดสะพานศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา โอบล้อมแคว้นที่อยู่บนสวรรค์อย่างนั้น เป็นที่ประทับใจผู้คนอย่างยิ่ง
จังหวะที่เสียงแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ดังขึ้นมานั้น ปรากฎกลิ่นอายสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมา โดยที่กลิ่นอายสายนี้มีความหนักแน่นน่าเกรงขาม พริบตาเดียวนั่นเอง ทุกคนล้วนแล้วแต่บังเกิดความเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง เหมือนว่าพลังที่ไม่สิ้นสุดล้วนแล้วแต่รวมตัวกันอยู่ที่แคว้นว่านเจิ้นอย่างนั้น
เหมือนว่าในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ทั่งทั้งแคว้นว่านเจิ้นได้รวบรวมพลังสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมดเอาไว้ ประดุจดั่งแคว้นว่านเจิ้นได้ควบคุมบังคับพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ทั้งหมดเอาไว้
ในขณะนี้ ทั่วทั้งแคว้นว่านเจิ้นเรียกว่ากลิ่นอายตลบอบอวล ปกคลุมด้วยไอหมอก ในเวลานี้เอง แคว้นว่านเจิ้นเสมือนดั่งได้กลับกลายเป็นแคว้นบนสวรรค์ เหมือนว่ามันได้กลายเป็นแดนเซียนไปแล้ว
‘ค่ายกลแคว้นของแคว้นว่านเจิ้น’ ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วกล่าวด้วยความตระหนกว่า “นี่แคว้นว่านเจิ้นต้องทุ่มทุนเท่าไรนะเนี่ย แม้แต่ค่ายกลแคว้นก็ยังปลุกให้ตื่นขึ้นมา”
“ยอดเยี่ยมมาก เมื่อค่ายกลแคว้นปรากฏ มันเท่ากับเป็นการปลุกเสกอย่างบ้าคลั่งให้กับตัวของราชันแท้จริงปาเจิ้นนะเนี่ย” ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันมองไปบนท้องฟ้ารอบๆ แคว้นว่านเจิ้น
“หนึ่งในสามค่ายกลยิ่งใหญ่รึ?” มีผู้อดที่จะพึมพำขึ้นมาไม่ได้
แคว้นว่านเจิ้นได้ชื่อว่ามีสามสุดยอดค่ายกล ซึ่งคิดค้นสร้างขึ้นโดยราชันแท้จริงว่านเจิ้น เล่าลือกันว่าสามสุดยอดค่ายกลของแคว้นว่านเจิ้นนั้นเรียกได้ว่าสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทั้งปฐพี อานุภาพนั้นปราศจากผู้เทียบเทียม
เรื่องนี้มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ค่ายกลที่แกร่งและทรงพลังมากที่สุดของแคว้นว่านเจิ้นก็คือตัวของแคว้นว่านเจิ้นเอง เล่าลือกันว่า ตัวของแคว้นว่านเจิ้นเองก็คือค่ายกลใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
ภายหลังราชันแท้จริงว่านเจิ้นได้เลือกสถานที่แห่งนี้ก่อตั้งเป็นแคว้นว่านเจิ้น โดยทำการเสริมแต่งชัยภูมิของพื้นที่แห่งนี้เพิ่มเติมเล็กน้อยเท่านั้น ก็กลายเป็นสุดยอดค่ายกลที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง มีอานุภาพที่ปราศจากผู้เทียบเทียม นี่แหละคือค่ายกลแคว้นของแคว้นว่านเจิ้น
ค่ายกลแคว้นของแคว้นว่านเจิ้นเป็นการอาศัยลักษณะชัยภูมิฟ้าดินของแคว้นว่านเจิ้นทั้งหมด กระทั่งมีผู้กล่าวว่า เมื่อค่ายกลแคว้นของแคว้นว่านเจิ้นถูกปลุกเร้าให้ตื่นขึ้น มันสามารถหยิบยืมและบังคับควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ พลันทำให้ค่ายกลแคว้นของแคว้นว่านเจิ้นโดยรวมกลับกลายเป็นทรงพลังแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้เองจึงเคยมีผู้ที่กล่าวไว้ว่า หากคิดจะทำลายค่ายกลแคว้นของแคว้นว่านเจิ้นเรียกได้ว่ายากเย็นอย่างยิ่ง กระทั่งเคยมีระดับบรรพบุรุษของแคว้นว่านเจิ้นได้กล่าวถ้อยคำที่ฮึกเหิมว่า ค่ายกลแคว้นของแคว้นว่านเจิ้นไม่มีใครสามารถทำลายได้
เวลานี้ มองเห็นแคว้นว่านเจิ้นถึงกับปลุกเร้าให้ค่ายกลแคว้นตื่นขึ้นมา สิ่งนี้สร้างความตื่นตระหนกขึ้นในใจของทุกคน เนื่องจากค่ายกลแคว้นของแคว้นว่านเจิ้นอาศัยพลังทั้งหมดของแคว้นว่านเจิ้นเป็นตัวสนับสนุน หากต้องการปลุกเร้าให้ค่ายกลแคว้นเช่นนี้ตื่นขึ้น จำเป็นต้องอาศัยความสิ้นเปลืองเป็นจำนวนมากเท่าไร โดยปรกติสำหรับแคว้นว่านเจิ้นแล้ว หากไม่ถึงยามที่แคว้นว่านเจิ้นตกอยู่ในห้วงความเป็นความตาย แคว้นว่านเจิ้นจะไม่ทำการปลุกเร้าค่ายกลแคว้นให้ตื่นขึ้นโดนง่ายดายอยู่แล้ว เวลานี้แคว้นว่านเจิ้นกลับปลุกเร้าเอาค่ายกลแคว้นให้ตื่นขึ้นมา แล้วจะไม่ให้ทุกคนต้องตื่นตระหนกได้อย่างไรเล่า
เสียงแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะที่ค่ายกลแคว้นของแคว้นว่านเจิ้นถูกปลุกเร้าให้ตื่นขึ้นนั้น ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้ปรากฏเป็นแสงสว่างแต่ละเส้นขึ้นมา โดยแสงสว่างแต่ละเส้นได้ยื่นออกมาจากแคว้นว่านเจิ้นไปยังพื้นที่แต่ละแห่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ เหมือนเป็นลายเต๋าแต่ละเส้นที่ทำการคว้าจับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เอาไว้แน่นอย่างนั้น และทำการดึงเอาพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เข้าไปยังแคว้นว่านเจิ้น
ขณะที่หลังจากแสงสว่างแต่ละเส้นได้ยืดยาวออกไปถึงทุกที่แล้ว ได้ยินเสียงตูมดังสนั่นขึ้นมา มองเห็นพลังของแคว้นว่านเจิ้นดูจะยิ่งทวีความน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น เหมือนว่าตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นอายที่น่ากลัวยิ่งนักขึ้นในทันที
“ราชันแท้จริงปาเจิ้นยังคงไม่มีความมั่นใจนะเนี่ย ต้องขับเคลื่อนธาตุแท้ภายในของแคว้นว่านเจิ้น หยิบยืมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่” ทุกคนที่มองเห็นภาพนี้แล้วต่างก็เข้าใจได้ทันที
แคว้นว่านเจิ้นเปิดธาตุแท้ภายในออกมา ปลุกเร้าค่ายกลแคว้นให้ตื่นขึ้น อาศัยและควบคุมบังคับพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เพื่ออะไร? ก็แค่ต้องการปลุกเสกพลังเพิ่มอย่างบ้าคลั่งให้กับราชันแท้จริงปาเจิ้น ให้พลังของราชันแท้จริงปาเจิ้นเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เพิ่มขึ้นกระทั่งถึงระดับที่สามารถสู้กับหลี่ชิเย่ได้
“ใครเล่าที่กล้าบอกว่าตัวเองมีการมั่นใจ ในการเผชิญหน้ากับฮ่องเต้องค์ใหม่ในเวลานี้?” ระดับบรรพบุรุษได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “อย่าว่าแต่เป็นราชันแท้จริงปาเจิ้นเลย ต่อให้เป็นฮ่องเต้ไท่ชิงฟื้นชีพขึ้นมาใหม่ ก็ไม่เห็นจะกล้าพูดว่าตัวเองมีความหมั่นใจสามารถสู้กับฮ่องเต้องค์ใหม่ได้”
คำพูดเช่นนี้พลันทำให้ทุกคนได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ความน่ากลัวของฮ่องเต้องค์ใหม่เป็นสิ่งที่พวกเขาต่างได้ประจักษ์กับสายตาของตนเอง แม้แต่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะยังคงเหมือนดั่งมดปลวกเมื่ออยู่ในมือของเขา ผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่น่ากลัวถึงเพียงนี้ จะมีสักกี่คนที่กล้าบอกว่าตนเองมีความมั่นใจที่จะสู้กับฮ่องเต้องค์ใหม่ได้?
“ราชันแท้จริงปาเจิ้นมิใช่บรรลุค่ายกลโบราณจูเซียนมารึ? ไหนบอกว่าค่ายกลโบราณจูเซียนมีความฝืนลิขิตสวรรค์อย่างยิ่งมิใช่รึ?” มีกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่พูดถึงความยอดเยี่ยมของค่ายกลโบราณจูเซียนแบบชักแม่น้ำทั้งห้า ทำให้กลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ได้ยินได้ฟังว่าค่ายกลโบราณจูเซียนทรงพลังถึงเพียงนี้ ต่างอดที่จะลุกขึ้นยืนด้วยความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง รู้สึกเคารพเลื่อมใสยิ่งอยู่ในใจ
“นั่นมันอดีต หากเป็นเมื่ออดีตเกรงว่าคงไม่มีปัญหา” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสอดที่จะยิ้มเจื่อนๆ อย่างช่วยไม่ได้ และกล่าวว่า “เวลานี้คงไม่ได้ ใครใช้ให้เวลานี้ฮ่องเต้องค์ใหม่น่ากลัวถึงเพียงนี้เล่า”
ก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างทำการคาดเดาเกี่ยวกับค่ายกลโบราณจูเซียน ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจว่า เมื่อไรที่ราชันแท้จริงปาเจิ้นสามารถควบคุมค่ายกลโบราณจูเซียนได้ล่ะก็ กลุ่มคนรุ่นใหม่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ แม้แต่ระดับเทพแท้จริงขั้นอมตะรุ่นอาวุโสก็ต้องเป็นกังวล อาจกล่าวได้ว่าเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ราชันแท้จริงปาเจิ้นมีความมั่นคงในตำแหน่งฮ่องเต้แล้ว
แต่ทว่า เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ลงมือ พลันทำลายความมั่นใจของทุกคนจนแตกสลายไปโดยพลัน แม้ว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นจะควบคุมค่ายกลโบราณจูเซียนได้ก็ใช้การไม่ได้
“ลองคิดดู หม่าหมิงชุนนั้นดำรงอยู่ในฐานะเช่นใด? เทพแท้จริงขั้นอมตะ เป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะที่จริงแท้แน่นอน ไม่ปฏิเสธว่า ในบรรดากลุ่มคนรุ่นใหม่ราชันแท้จริงปาเจิ้นนั้นยอดเยี่ยมมาก แต่ว่า อย่าลืมไปสิ ราชันแท้จริงสองลัคนานั้น ต่อให้แข็งแกร่งอย่างใดก็มีขีดจำกัด ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับเทพแท้จริงขั้นอมตะ ต่อให้ค่ายกลโบราณจูเซียนของราชันแท้จริงปาเจิ้นฝืนลิขิตสวรรค์มากไปกว่านี้…”
“…อย่างมากที่สุดก็เทียบเคียงกับเทพแท้จริงขั้นอมตะเท่านั้นเอง กระทั่งไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับหม่าหมิงชุน ทีนี้มาดูว่าจุดจบของหม่าหมิงชุนเป็นอย่างไร ฮ่องเต้องค์ใหม่อาศัยท่าเตะวงกว้างทีเดียวก็สังหารเขาได้แล้ว เจ้าลองคิดดูราชันแท้จริงปาเจิ้นต้องมีศักยภาพเช่นใดจึงสามารถต่อต้านกับเขาได้? ”
ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ระดับบรรพบุรุษผู้นี้อดที่จะมองไปยังแคว้นว่านเจิ้นจากระยะห่างไกล และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “หากราชันแท้จริงปาเจิ้นคิดจะสู้กับฮ่องเต้องค์ใหม่ เขาจะต้องอาศัยธาตุแท้ภายในของแคว้นว่านเจิ้น ค่ายกลแคว้น และพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จึงจะมีความหวังนิดหนึ่ง มิฉะนั้นแล้ว ราชันแท้จริงปาเจิ้นก็คงมีแต่ตายสถานเดียว”
ไม่รู้ว่ามีกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนเท่าไรต้องนิ่งเงียบกับสิ่งนี้
ก่อนหน้านี้ ผู้คนจำนวนเท่าไรที่เลื่อมใสศรัทธาราชันแท้จริงปาเจิ้น ผู้คนจำนวนเท่าไรที่คิดว่าราชันแท้จริงปาเจิ้นคืออัจธริยะขุคคลที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองในหล้า ผู้คนจำนวนเท่าไรที่เห็นว่าราชันแท้จริงปาเจิ้น นั้นยอดเยี่ยมมาก
แต่ว่า มาวันนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่กลับเสมือนดั่งเป็นภูเขาลูกใหญ่ลูกหนึ่งที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ และกดทับอยู่ในใจของทุกคน ทำให้หายใจไม่ออก แม้แต่ราชันแท้จริงปาเจิ้นที่น่าทึ่งและสร้างความหวั่นไหวในใจก็ต้องสลดและอับแสง
“คึกครื้นเหลือเกินนะเนี่ย” ขณะที่ทุกคนกำลังกลั้นลมหายใจมองดูแคว้นว่านเจิ้นที่อยู่ห่างไกลนั้น ภายในเขาจิ่วเหลียนซานปรากฏเสียงที่เอ้อระเหยเสียงหนึ่งดังขึ้น
ผู้คนจำนวนไม่น้อยทยอยกันหันหลังกลับไปดู มองเห็นหลี่ชิเย่ที่ก้าวเดินออกมาจากบ้านหิน และยืนอยู่บนยอดเขาเขาหงฮวงซานมองไกลไปยังแคว้นว่านเจิ้น ข้างกายของเขายังติดตามด้วยหลิ่วชูฉิง และปิงฉือหานยวี่
ในขณะนี้ ปิงฉือหานยวี่ที่หยิ่งยโสเรียกได้ว่าหัวคิ้วต่ำและดูไม่ขัดหูขัดตาติดตามอยู่ด้านหลังของหลี่ชิเย่ ดวงตาดูอ่อนโยน นางที่มีความสวยหยาดเยิ้มเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งดูพราวเสน่ห์และสวยหยาดเยิ้มเพิ่ม มากขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าที่งดงามและอ่อนเยาว์เสมือนดั่งมีความอ่อนโยนมากเป็นพิเศษ
ผู้คนจำนวนไม่น้อยแอบมองหน้าซึ่งกันและกันเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้เข้า แม้ว่าทุกคนไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่า เรื่องบางเรื่องสามารถจินตนาการได้อยู่แล้ว ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นที่แน่นอนแล้ว
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และมีคนที่ในใจเข้าใจแล้วว่า เพราะอะไรราชันแท้จริงปาเจิ้นเกิดอาการโมโหสุดขีดแล้ว ดูท่าราชันแท้จริงปาเจิ้นก็สามารถเข้าใจได้
“ฝ่าบาทมาแล้ว” มีผู้ที่พูดเสียงแผ่วเบา เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่
ในขณะนี้ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดในเขาจิ่วเหลียนซานไม่จำเป็นต้องรอให้หลี่ชิเย่พูดสักคำ ต่างทยอยกันคุกเข่าแสดงความคารวะ เวลานี้พวกเขาล้วนแล้วแต่รู้ว่าฮ่องเต้องค์ใหม่มีอำนาจสูงสุด ขอเพียงหนึ่งความนึกคิดของเขา ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่หัวหลุดจากบ่า
“เอาล่ะ แค่มาดูความคึกครื้นเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องเข้มงวดเช่นนี้ สมควรทำอะไรก็ทำไปเถอะ” ครั้นทุกคนได้คุกเข่าลงกราบกับพื้น หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ
พลันที่หลี่ชิเย่พูดขาดคำ ทุกคนจึงหายใจด้วยความโล่งอก ทยอยกันลุกขึ้นยืน และมีผู้คนจำนวนมากที่บังเกิดอารมณ์ต่างๆ นานาขึ้นในใจ แต่ว่า แล้วจะไปทำอะไรได้ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นที่แน่นอนแล้ว
ในขณะนี้ ปิงฉือหานยวี่ และหลิ่วชูฉิงได้ยกเอาโต๊ะและเก้าอี้มา คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายหลี่ชิเย่
ทุกคนต่างนิ่งเงียบเมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว ก่อนหน้านั้น ปิงฉือหานยวี่นั้นสูงส่งเพียงใด และมีความหยิ่งยโสเช่นใด ไม่เคยต้องทำงานบ้านด้วยตัวเอง แต่ทว่า เวลานี้กลับเสมือนดั่งเป็นสาวคนหนึ่งที่คอยปรนนิบัติฮ่องเต้องค์ใหม่
หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ มองไกลไปยังแคว้นว่านเจิ้นแวบหนึ่ง ยิ้มๆ และกล่าวว่า “น่าสนุก” ปิงฉือหานยวี่ในเวลานี้ได้เงยหน้ามองไกลไปถึงแคว้นว่านเจิ้น นางอดที่จะทอดถอนใจออกมาเบาๆ หลับตาลง และไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกแล้ว
เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นมาเสียงหนึ่ง นาทีนี้ภายในแคว้นว่านเจิ้นปรากฎแผ่นดินสั่นไหวเป็นระลอก มองเห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดในแคว้นว่านเจิ้น พริบตาเดียวนั่นเองผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์เสมือนหนึ่งกลับกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สูงใหญ่ปราศจากผู้เทียบเทียม โดยเฉพาะยามที่กลิ่นอายราชันแท้จริงพวยพุ่งขึ้นมานั้น มีท่าทีที่หมางเมิน เก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน
‘ราชันแท้จริงปาเจิ้น’ มีผู้ที่ร้องกล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมา เมื่อได้เห็นชายหนุ่มผู้นี้แล้ว
ในขณะนี้ ก็ได้มีผู้ที่แอบเล็งไปที่หลี่ชิเย่แวบหนึ่ง
ในครั้งนั้น เป็นราชันแท้จริงปาเจิ้นที่ตีวังหลวงแตก แล้วขับไล่ฮ่องเต้องค์ใหม่ลงจากบัลลังก์ ทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่ต้องหนีไปเหมือนไร้ญาติขาดมิดหมดที่พี่ง
แต่ว่า มาถึงวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ฮ่องเต้องค์ใหม่ปราศจากผู้ต่อกร แม้แต่ราชันแท้จริงปาเจิ้นผู้เคยเย้ยหยันทั่วหล้า ในเวลานี้ก็ต้องรอบคอบเข้าไว้
ตูม ตูม ตูมในพริบตาเดียวนั้นเอง เสียงดังตูมตามดังขึ้นไม่ขาดสาย มองเห็น ลำแสงแต่ละสายที่พุ่งเข้าไปในตัวของราชันแท้จริงปาเจิ้น
นาทีนี้เสมือนดั่งพลังของแคว้นว่านเจิ้นทั้งหมด กระทั่งพลังที่หยิบยืมมาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็ถูกกรอกเข้าไปภายในร่างกายของราชันแท้จริงปาเจิ้นทั้งหมด
ในเวลานี้ เสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหวไม่ขาดสาย สัจธรรมทั้งหมดในร่างกายร้องประสานเสียง พลันพวยพุ่งหลักกฎเกณฑ์สัจธรรมขึ้นมา หลักกฎเกณฑ์แต่ละข้อเสมือนดั่งน้ำตกที่กดทับเหล่าชั้นฟ้าจนพัง
………………………………………….