ราชันเทพสงคราม[唐寅在异界] - บทที่ 187
บทที่ 187
เหลียงซิง อู่หยูและจี้หยางจิตใจสั่นไหว พวกเขามองหน้ากันจากนั้นก็ก้มหน้านิ่งเงียบ ด้วยกำลังคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน
มันเป็นข้อเสนอที่พวกเขามองว่าดีกว่าการที่ถังหยินจะเข้ารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แน่นอน ว่าแต่ใครล่ะที่ควรจะเข้ามารับตำแหน่งนี้ ?
แม้ว่าเหลียงซิงจะไม่สามารถนำทัพได้ แต่เขาก็มีลูกชายที่โดดเด่นอย่าง เหลียงฉี ซึ่งถ้าให้เขาต้องเลือก งั้นแล้วก็คงต้องเป็นเหลียงฉีนี่แหละ เช่นเดียวกับจี้หยางที่มีความคิดที่ไม่ต่างกันมากนัก ส่วนทางอู่หยูก็ดูมีความสุขมากกว่าพวกเขาสองคน ด้วยแม้ว่าตระกูลอู่จะไม่ได้เฟื่องฟูเท่าเก่าอีกแล้ว หากแต่ลูกสาวทั้งสองก็ไม่ใช่ธรรมดา โดยเฉพาะอู่เหม่ยที่มีความสัมพันธ์กับถังหยินไม่ได้ตื้นเขิน จากข้อเท็จจริงที่ว่าชายหนุ่มยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปในวังเพื่อช่วยชีวิตออกมา ทำให้เห็นได้ชัดว่าถ้าถังหยินเลือกใครสักคน เขาก็คงจะเลือกอู่เหมยอย่างแน่นอน !
ทั้งสามคนมีแรงจูงใจแอบแฝงของตัวเอง และแต่ละคนต่างก็เชื่อมั่นในตัวพวกเขาเอง ดังนั้นหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง พวกเขาทุกคนก็พากันเงยหน้าขึ้นก่อนยิ้มให้ถังหยิน เอาล่ะ พวกข้าตกลงตามข้อเสนอของท่าน !
ถังหยินแอบดีใจ หากแต่เขาต้องแสร้งทำเป็นสงบและถามว่า แล้ว…พวกท่านคิดว่าใครกันที่คู่ควรกับตำแหน่งนี้ ?
โดยไม่รอให้คนอื่นได้พูด จี้หยางก็เป็นฝ่ายชิงพูดก่อน แน่นอน ข้าคนนี้ยังไงล่ะ เขามองไปที่เหลียงซิงและอู่หยูอย่างภาคภูมิใจก่อนพูดต่อไปว่า ตระกูลจี้หยางของข้าทำงานในฐานะแม่ทัพมาหลายชั่วอายุคน ดังนั้นการเป็นผู้นำกองกำลังทหารในการรบจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้าแต่อย่างใด ท่านเสนาบดีทั้ง 2 คนเล่า ไม่เห็นด้วยงั้นหรือ ?
ฮึ ! เหลียงซิงตะคอกและพูดช้า ๆ ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น เคยมีแม่ทัพที่นำกองทัพที่แข็งแกร่งจำนวนกว่า 2 แสนนายเข้าโจมตี ก่อนจะต้องสูญเสียกองกำลังเกือบทั้งหมดที่เขตเฮอตงนั่น ซึ่งแม่ทัพที่ว่าก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแม่ทัพของตระกูลจี้หยาง ช่วงเวลาที่ว่านั่นผ่านไปนานเท่าไหนกัน ทำไมท่านถึงได้ลืมไปแล้วเช่นนี้ ?
เจ้า ? ใบหน้าของจี้หยางแดงก่ำ เขาลุกขึ้นพรวดแล้วจ้องไปที่เหลียงซิงเขม็ง
ท่านแม่ทัพโปรดหยุดก่อน ข้าว่าแม่ทัพของกองกำลัง 3 ตระกูลของเรานั้นจะเป็นใครก็ได้ หากแต่พวกเขาจะต้องไม่ใช่คนของตระกูลจี้หยางของเจ้าแน่นอน อู่หยูกล่าวขึ้นขัดจังหวะพวกเขา และด้วยครั้งนี้มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะอยู่ข้างเดียวกับเหลียงซิง ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะกำจัดตระกูลจี้หยางออกก่อนเพื่อลดจำนวนคู่ต่อสู้ลง
เหอะ ! จี้หยางดูโกรธจัด กระแทกตัวลงบนเก้าอี้ ก่อนจะกอดอกแน่น ในขณะที่ก็จ้องไปยังเหลียงซิงและอู่หยูด้วยอยากดูว่าใครจะเป็นคนสุดท้าย !
อู่หยูยิ้มให้ถังหยินและพูดว่า ข้าเกรงว่าถ้าเป็นแบบนี้ เราคงจะไม่สามารถหาผู้ที่เหมาะสมได้ งั้นแล้วเรื่องนี้ให้ท่านถังเป็นผู้ตัดสินเองน่าจะดีกว่า !
โห ? ถังหยินพึมพำกับตัวเอง ส่ายหัวและพูดว่า ไม่ดีหรอก !
ไม่เป็นไรหรอกท่าน ! จี้หยางพูดเสียงดัง มันจะเป็นการดีที่สุดแล้วที่ท่านจะเป็นคนเลือกคนที่น่าเชื่อถือ ! ตอนนี้เหลียงซิงและอู่หยูได้กีดกันเขาอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นชายชราจึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่ถังหยิน
เมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา ชายหนุ่มก็พยักหน้าราวกับว่าเขาจำใจยอมรับหน้าที่นี้
เขาพึมพำกับตัวเอง แม้ว่าตระกูลจี้หยางจะเป็นนายพลมาหลายชั่วอายุคน แต่ในการต่อสู้ที่เฮอตงในตอนนั้นเขาก็สูญเสียผู้คนไปมากเกินไป และหากคนจากตระกูลจี้หยางขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ งั้นแล้วข้าก็เกรงว่ามันคงยากที่จะทำให้ผู้คนไว้ใจได้
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองไปที่อู่หยูและกล่าวว่า ผู้หญิงทั้ง 2 คนจากตระกูลอู่มีทั้งความรู้ ศิลปะการต่อสู้และความกล้าหาญ หากแต่สำหรับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แล้วนั้น คำพูดของพวกนางก็ดูจะขาดพลังอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทหารที่เป็นเรื่องยากเลย ยังไงเสีย เด็กผู้หญิงก็ควรจะอยู่ห่าง ๆ จากกองทัพดีกว่า
และในขณะที่ชายชราตระกูลอู่กำลังจะพูด ถังหยินก็เป็นฝ่ายชิงกล่าวต่อไปว่า แม้ว่าท่านเสนาบดีเหลียงจะไม่เหมาะที่จะนำทัพ หากแต่เหลียงฉี บุตรชายของเขาก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะในการนำทัพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคราศึกที่ประตูหน้าด่านตง ด้วยเหตุนี้ศักดิ์ศรีของเขาในกองทัพก็ถือได้ว่าสูงมากอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อพูดจบ เหลียงซิงก็มีความสุขมากจนแทบจะหุบยิ้มไม่อยู่ เขาไม่เคยนึกฝันแม้แต่น้อยเลยว่า ถังหยินผู้ซึ่งมีความไม่พอใจกับเขาจะเลือกคนที่มาจากตระกูลเหลียงได้ และในทางกลับกัน อู่หยูก็กำลังสั่นสะท้านด้วยความโกรธ ด้วยเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ถังหยินที่ดูจะไว้ใจตระกูลอู่ของพวกเขาจะผลักดันตำแหน่งสำคัญเช่นนี้ให้กับศัตรูทางการเมือง
เขาต้องการที่จะคัดค้านการตัดสินใจครั้งนี้ หากแต่เขาเป็นคนที่เสนอให้ถังหยินเลือกคนที่เหมาะสมขึ้นมาเอง ดังนั้นแล้วชายชราจะกลับคำที่ตัวเองเป็นคนพูดเองได้ยังไงกัน ?
หัวใจของอู่หยูเต็มไปด้วยความโกรธ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นเหลียงซิงที่กำลังฉีกยิ้มด้วยความพอใจ จนทำให้เกิดความคิดขึ้นว่า ถ้าหากตระกูลอู่ของเขาเข้าควบคุมกองทหารไม่ได้ งั้นแล้วเขาเองก็จะไม่ปล่อยให้ตระกูลเหลียงได้มันไปเช่นกัน !
และไม่ว่าจะยังไงก็ตาม พวกเขาก็จะต้องหาทางส่งมอบอำนาจทางการทหารให้กับถังหยินแทน เพราะบางทีฝ่ายหลังอาจไม่กล้าแม้แต่จะแย่งอำนาจทางการทหารไปจากเขาด้วยซ้ำ !
เมื่อนึกถึงตรงจุดนี้ ชายชราก็พลันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ข้าไม่ขัดข้องกับคนที่ท่านถังเลือก แต่แทนที่จะปล่อยให้เหลียฉีสั่งกองทัพทั้งหมด จะเป็นการดีกว่าไหมถ้าท่านถังจะปล่อยให้ข้าเป็นคนเลือกผู้ที่จะมาบริหารจัดการทหาร 3 หมื่นนายในตระกูลอู่ของข้าเอง ซึ่งตัวข้านั้นก็ยินดีที่จะมอบอำนาจที่ว่าให้กับท่านถัง !
เมื่อได้ยินเช่นนั้น โดยไม่ต้องรอให้ถังหยินพูด จี้หยางก็พลันรีบสนับสนุนความคิดนี้ขึ้นในทันที ข้าก็เห็นด้วยเหมือนกันเช่นกัน ! กำลังทหาร 3 หมื่นนายจากตระกูลจี้หยางของข้าเต็มใจที่จะรับใช้ท่านถังเช่นกัน แม้จะไม่ฉลาดแกมโกงเท่าอู่หยู แต่เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร เพราะฉะนั้นชายชราจึงไม่ลังเลที่จะสนับสนุนความคิดที่ว่า !
เหลียงซิงและจี้หยางช่างสมกับที่เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์นัก พวกเขาคิดหาทางแก้ ด้วยการมอบอำนาจทางการทหารให้ถังหยินแทน ซึ่งการที่ทั้งสองคิดทำเช่นนั้น มันก็เพราะพวกเขาไม่อยากยกอำนาจทางการทหารของตนให้กับตระกูลเหลียง !
เมื่ออู่หยูและจี้หยางคิดจะส่งมอบอำนาจทางทหารให้กับเขา งั้นแล้วมีหรือที่ชายหนุ่มจะบอกปัด ! เขารีบจับมือทั้งสองทันทีและกล่าวว่า เนื่องจากท่านเสนาบดีอู่และนายพลจี้หยางเชื่อใจข้าขนาดนี้ ดังนั้นแล้วข้าคงไม่อาจไม่ตอบรับได้ ไว้ใจได้เลย ข้าจะดูแลกำลังทหารของพวกท่านทั้งสองอย่างดี !
เหตุที่อู่หยูพูดไปเช่นนั้น เป็นเพราะเขาคิดว่าถังหยินที่เป็นเพียงผู้ว่ามณฑลและมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับลูกสาวของเขาจะไม่กล้าใช้อำนาจทางทหารของเขาอย่างแน่นอน หากแต่ใครจะรู้ว่าชายหนุ่มไม่ได้สนใจอะไรเช่นนั้นเลย กลับรับปากพร้อมกับสรุปเสร็จสรรพโดยไม่แม้แต่จะให้โอกาสชายชราได้พูดอีก
ผลลัพธ์เช่นนี้ทำเอาอู่หยูและจี้หยางต่างก็ตกตะลึงไปเป็นเวลานาน และเมื่อเห็นแบบนั้น เหลียงซิงก็ไม่อาจอดกลั้นได้อีก ยกมือขึ้นตบโต๊ะพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างสุดกั้น
อู่หยูคิดว่าตัวเองฉลาดและคิดว่าถังหยินจะเข้าข้างเขา แต่นี่มันอะไรกัน ? กลับกลายเป็นว่าชายชราถูกถังหยินหลอกเข้าให้แล้ว ! และเมื่อเกิดเรื่องขึ้นเช่นนี้ มันจะมีหรือที่เหลียงซิงจะยอมทิ้งโอกาสที่ดีนี้ในการซ้ำเติมคนล้ม ก็ดี กำลังทหารของตระกูลอู่และตระกูลจี้หยางจะถูกดูแลโดยท่านถัง ส่วนกำลังทหารของตระกูลเหลียงของข้านั้นจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเหลียงฉี ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ!
เหลียงซิงต้องการทำให้อู่และจี้หยางอ่อนแอลงเท่านั้น หากแต่ใครจะคิดว่าถ้า 2 ตระกูลนี้ยังอ่อนแอลงได้ งั้นแล้วตระกูลเหลียงของเขาจะสบายใจได้อย่างไร ?
อย่างที่เขาคิดเอาไว้
ไม่ถึง 2 วันหลังจากการประชุม ถังหยินก็ยังคงไม่ยอมรับแม่ทัพนายกองของตระกูลอู่และจี้หยางอย่างเป็นทางการ ในทางกลับกัน เหลียงฉีกลับเป็นผู้นำกองทหารของตระกูลเหลียงเข้าไปแสดงความเคารพต่อถังหยินเพื่อแสดงว่าพวกเขาเต็มใจที่จะฟังคำสั่งของชายหนุ่ม
ซึ่งการกระทำเช่นนั้น มันก็ได้ทำให้ถังหยินนำทั้ง 4 กองพันที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเขาเข้าสู่กองทัพชางชุย พร้อมทั้งแต่งตั้งเหลียงฉีให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพ !
ส่วนแม่ทัพไป่หยงที่แต่เดิมดำรงตำแหน่งนั้นก็เปลี่ยนเป็นรองผู้บัญชาการแทน
ถึงจะถูกลดตำแหน่งลง หากแต่ตัวไป่หยงก็ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย ด้วยความแข็งแกร่งของเขานั้นต่างก็เป็นที่ยอมรับ อีกอย่างเขาก็เป็นแม่ทัพหาใช้ชายเจ้าสำอางบอบบางปลิวลมไม่
อย่างไรก็ตาม เหลียงฉีนั้นแตกต่างออกไป ด้วยแม้ว่าเขาจะอายุน้อย หากแต่เขาก็มีภูมิหลังที่สูงส่งและชื่อเสียงของเขาในฐานะทหารก็แพร่หลายไปทั่ว
แน่นอนว่าไป่หยงเข้าใจความตั้งใจของถังหยินดี ว่าการเป็นผู้ช่วยของเหลียงฉีนั้นมีความสำคัญเช่นไร !
การที่จู่ ๆ เหลียงฉีจากตระกูลเหลียงก็เข้าร่วมกับถังหยิน ทำให้เหลียงซิงไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี ทว่าถึงจะคิดห้ามอันใด มาตอนนี้มันก็คงจะสายเกินไปแล้ว…
เมื่อเหลียงฉีกลายเป็นแม่ทำใหญ่ มันก็ทำให้จำนวนกองทหารที่เขารับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น สวนทางกับชื่อเสียงของเขาที่ลดลง เพราะตอนนี้เขากลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของถังหยิน ทำให้ถ้าในอนาคตเหลียงฉียังคงทำงานให้กับถังหยิน งั้นแล้วต่อไปตระกูลเหลียงจะนับเป็นตัวอะไรกัน ?
สิ่งต่าง ๆ ได้มาถึงจุดนี้แล้ว และเขาก็ไม่มีโอกาสหยุดยั้งมันด้วยซ้ำ ได้แต่รู้สึกเสียดายด้วยถูกหลอก และไม่ใช่แค่ตัวเขาเองเท่านั้น หากแต่อีก 2 ตระกูลที่เหลือก็ล้วนแล้วแต่ถูกหลอกโดนถังหยินทั้งสิ้น !
ทั้ง 3 คนต่อสู้อย่างเปิดเผยและลับ ๆ มาตลอดชีวิต โดยที่พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีความฉลาดมากกว่าชายหนุ่มทั้งสิ้น กระนั้นพวกเขาก็เห็นแล้วว่าพวกตนนั้นมองถังหยินผิดไป ดูถูกความทะเยอทะยานของอีกฝ่าย ที่คิดจะต่อต้านอำนาจทางการทหารของพวกเขาทั้ง 3 ตระกูลต่ำไป ! และสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือแม้แต่เหลียงฉีก็ยังถูกซื้อตัวไป !!
ไม่ว่าอู่หยูจะเสียใจหรือเคียดแค้นจี้หยางแค่ไหน หากแต่ทั้ง 3 ตระกูลก็ได้ส่งมอบอำนาจทางทหารออกไปด้วยตัวเอง ซึ่งตัวถังหยินก็ไม่ได้บังคับให้พวกเขาทำแต่อย่างใด !
ความคืบหน้าเรื่องการเปลี่ยนถ่ายอำนาจเป็นไปอย่างราบรื่นกว่าที่ถังหยินคิดไว้มาก อาจด้วยเพราะชายหนุ่มไม่ได้ใช้วิธีการสุดโต่งใด ๆ เพื่อบังคับพวกเขา ใช้เพียงแค่กลอุบายกับตระกูลทั้ง 3 เท่านั้น
โดยในระหว่างนั้น เขาก็ได้ทำการปรับเปลี่ยนตำแหน่งของ พวกเหลียง อู่และจี้หยาง ด้วยการย้ายแม่ทัพของพวกเขาทั้งหมดออกไป
กองทัพเทียนหยวนขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความแข็งแกร่งของทั้งกองทัพเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด และโดยพื้นฐานแล้วทุกกองพันต่างก็จะมีตำแหน่งแม่ทัพและรองแม่ทัพว่างอยู่ ซึ่งการย้ายแม่ทัพนับพันคนที่เป็นคนของถังหยินมันก็แทบจะไม่สามารถชดเชยตำแหน่งว่างเหล่านี้ได้หมด แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้ตระกูลเหลียง อู่และจี้หยางอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
ตำแหน่งแม่ทัพใหญ่มีบทบาทสำคัญในกองทหาร นับได้ว่าเป็นส่วนสำคัญของกองทัพ และหากแม่ทัพใหญ่ถูกจับตัวไป มันก็จะต้องถูกแทนที่ด้วยผู้ช่วยที่เชื่อถือได้ โดยทั้งกองพันก็จะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของคนผู้นั้น
ถังหยินและซ่งเทียนได้ทำการปรับเปลี่ยนทั้งกองทัพด้วยกันทั้งคู่เพื่อความเหมาะสม หากแต่ผลลัพธ์นั้นก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันว่าจะออกมาเป็นเช่นไร
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น คนที่ได้รับการเลื่อนขั้นก็จะมีความสุข ส่วนคนที่ไม่ได้ก็อิจฉา ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่พวกเขาทุกคนก็คิดตรงกันว่าพวกเขานั้นไม่ได้ถูกเลือกปฏิบัติหรือกีดกันโดยถังหยินแต่อย่างใด ทุกคนล้วนมีโอกาสในการยกระดับตำแหน่งของตนเองถ้ามีความสามารถมากพอ
และด้วยความรู้สึกดังกล่าว มันก็ทำให้การเปลี่ยนตัวแม่ทัพใหญ่เป็นไปอย่างปกติ ไม่เกิดปัญหาขึ้นแต่อย่างใด
ถึงแม้เป้าหมายจะเหมือนกัน หากแต่ถ้าใช้การกระทำที่ต่างกัน งั้นแล้วผลลัพธ์ที่ออกมามันก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และนี่ก็คือความแตกต่างระหว่างซ่งเทียนและตัวเขาเอง